โหลชีเหลือบมองเขาและตัดสินใจ หลอกผู้เฒ่า ไม่สิ ขอให้ช่วย
"ท่านผู้เฒ่า ท่านต้องการขยับกล้ามเนื้อกระดูกของท่านซักหน่อยหรือไม่ ถ้าท่านไม่ขยับ ข้าเกรงว่าในอนาคตท่านจะยกกระดูกเก่าๆของท่านไม่ไหว ถ้าเป็นอย่างนั้นท่านคงจะแสดงอะไรไม่ได้อีกแล้ว"
ชายชราเป่าเคราของเขาและจ้องมาที่นาง และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งเขาก็ตกตะลึง "แสดงละครอะไร?"
"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าท่านกำลังแสดงละครอะไรอยู่?ท่านจิน"
ตาเฒ่าจิน ทันทีที่คำสามคำนี้หลุดออกมา ผู้เฒ่าก็กระโดดถอยหลังออกไปสามก้าว ตาของเขาจ้องนางเหมือนตาของวัว เขามองนางอย่างไม่เชื่อสายตา "เป็นไปไม่ได้ เจ้าจำได้อย่างไร"
โหลชีกลอกตา "ข้าแค่เด็กกว่าท่าน ไม่ได้โง่กว่าท่านนิ?"
ก่อนอื่นทุกคนล้วนมีกลิ่นลมหายใจเป็นของตัวเอง คนธรรมดาอาจจะไม่ได้กลิ่นมัน แต่โหลชีที่อาบน้ำด้วยยามาตั้งแต่เด็ก ได้ผ่านการแช่ตัวในยาที่ฉุนและยังได้กลิ่นมันฝรั่งทอดที่นักพรตเลวกินอยู่นอกบ้าน
ตอนแรกนางก็สงสัย ต่อมาผู้เฒ่าก็รู้ว่านางอาจไม่จำเป็นต้องช่วยชีวิตนาง อีกทั้งยังปล่อยให้นางกินผลไม้วิเศษ ที่ตัวเองตามหามาตั้งครึ่งปีอีก ความรู้สึกปวดใจซักนิดก็ไม่มี เมื่อให้เขานำทางไปหางูยักษ์เย็นสารทฤดู และยังพาพวกเขาไปตั้งสองชั่วยามโดยไม่ปริปากบ่น แล้วยังพาแมวของนางมาที่นี่เพื่อปกป้องงูยักษ์เย็นสารทฤดูเป็นเวลานาน ถ้าบอกว่าเป็นคนแปลกหน้าเจ้าจะเชื่อไหม?
ใครจะดีกับคนแปลกหน้าได้ขนาดนี้?
อีกอย่าง ท่านจินเป็นเฒ่าทารก อยู่ไม่เป็นร่องเป็นรอย เขาชอบแสดงบทบาทสมมุติ ครั้งสุดท้ายที่เขากลับไปที่อุทยานเขาเฟิงหยุน เขาก็แสร้งทำเป็นชาวเรือโลภมาก และตอนนี้ก็แสร้งเป็นยอดฝีมือผู้สูงส่งอยู่ในหุบเขาเทพมาร ยังมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก
เฉิงสิบและโหลวซิ่นต่างก็มองไปที่ท่านจินอย่างไม่เชื่อสายตา พวกเขาจำไม่ได้เลย--
ไม่คิดมาก่อนเลยว่า ท่าผู้เฒ่าผู้นี้จะกลายเป็นท่านจิน
พวกเขาจะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ได้ จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก แสดงได้เก่งจริงๆ
ท่านจินกลอกตา "ไม่สนุก ไม่สนุกเลย พวกเจ้ามองออกหมดเลย นังหนูชี เจ้าบอกข้าที ข้าบกพร่องตรงไหน ข้าจะกลับไปแก้ไข"
"เรื่องนี้ไว้มีเวลาค่อยว่ากัน ตอนนี้ข้าจะไปฆ่าคน ท่านจะไปหรือไม่ไป"
"นังหนูชี ไปฆ่าคนนะ พูดเหมือนกับจะไปกินข้าวอย่างไรอย่างนั้น เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าเป็นแบบนี้แล้วพ่อหนุ่มที่ทั้งดื้อและเย็นชาอย่างนั้นจะชอบ?"
โหลชีจ้องมาที่เขา เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว "ได้ๆๆ ข้าไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว ไปกันเถิด เจ้าอยากจะฆ่าใคร ข้าจะไปกับเจ้า"
"ท่านจะขยับกล้ามเนื้อ" โหลชีเหล่มอง
เฉิงสิบและโหลวซิ่น กลั้นหัวเราะ
พูดตรงๆก็คือ แม่นางของพวกเขาไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณของเขาอีกต่อไปแล้ว คาดว่าน่าจะเกี่ยวกับครั้งก่อนที่ท่านจินเอาใบไม้ทองคำหนีไป
ท่านจินมีสีหน้าขมขื่น เขาไปช่วยแท้ๆ แต่พูดได้แค่ว่าเขาจะไปขยับกล้ามเนื้อ เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ—
วรยุทธ์ของทั้งสองไม่จำเป็นต้องพูดมาก ทั้งสองคนย่องไปที่ น่าหลานฮั่วซิน อย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น พวกเขาแยกจากกันไปสองทาง คนหนึ่งเดินเข้าใกล้ทางซ้าย อีกคนเข้าไปทางขวา และแต่ละคนก็พบเป้าหมายของตนเองอย่างรวดเร็ว
โหลชีไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนแรกที่นางพบคือเวิ่นโม่
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลา น่าหลานฮั่วซินสั่งกระจายทุกคนออกไปเล็กน้อยและปกป้องดินในสภาพครึ่งวงกลม ถ้าคนมากกว่านี้ นางอยากจะล้อมรอบทั้งวงกลม
จุดไฟไม่ได้ ทำได้แค่อาศัยแสงจากดวงจันทร์เท่านั้น
มือของเวิ่นโม่ถือด้ามกระบี่ ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มองไปข้างหน้าแล้วถอนหายใจ โหลชีมองไปที่ทิศทางที่เขากำลังมอง เป็นเวิ่นเจี้ยน
หรือว่ากำลังกังวลเกี่ยวกับหนอนดอกเมฆในตัวของเวิ่นเจี้ยน? นางอยากจะพูดกับเขาจริงๆว่า ไม่ต้องกังวลใจหรอก นางจะฆ่าเขาก่อนเพื่อช่วยเขาให้รอดพ้นจากความตายอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มีเมตตามากใช่หรือไม่?
จู่ๆ เวิ่นโม่ก็รู้สึกหนาวที่หลังเล็กน้อย เขาแอบกำดาบของเขาแน่น เขาหันกลับมาทันทีและพยายามดึงกระบี่ไปพร้อมๆกัน แต่เขาไม่มีโอกาส
เพราะในขณะที่เขาหันกลับมาก็มีแสงเย็นยะเยือก และเขารู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างแทงมาที่หน้าอกของเขา ความหวาดกลัวก่อนตายรายล้อมเขาอยู่รอบๆตัว
โหลชี เป็นโหลชี
เขาพยายามเรียกชื่อนางอย่างสุดกำลัง แต่ทำได้แค่อ้าปาก ไม่สามารถเปล่งเสียงได้แม้แต่นิดเดียว
โหลชียื่นมือออกมาและคว้าเขาไว้ แล้วค่อยๆลดระดับมือลง เกรงว่าเสียงของศพที่ตกลงสู่พื้นจะทำให้คนอื่นๆไหวตัว เมื่อมองดูปากที่เปิดกว้างของเขา นางก็ยิ้มอย่างเย็นชา
ยาใบ้ที่พึ่งทำเมื่อตอนบ่าย ตอนนี้มันมีประโยชน์มาก หุบเขานี้มีสมุนไพรอยู่มากมาย นางสามารถทำยาได้ทุกชนิด ถ้าซื้อข้างนอกนางต้องใช้เงินมากแน่ๆ
หลังจากกำจัดเวิ่นโม่แล้ว นางก็ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ไม่ไกลออกไปมีองครักษ์นายหนึ่งกำลังเดินอยู่หลังต้นไม้เงียบๆ สักพักก็มีเสียงน้ำไหล
พระจันทร์อับแสง ลมพัดแรง แม้แต่คนที่อยากเข้าห้องน้ำก็ต้องกำจัดด้วย แต่โหลชีก็ใจดีให้เขาจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยและดึงกางเกงขึ้นก่อน
จากนั้น สายตาของนางมองไปที่เวิ่นเจี้ยนที่อยู่ไม่ไกล
เวิ่นเจี้ยนหันขวับมามองทางนี้อย่างสงสัย
ตื่นตัวอยู่จริงๆ
โหลชีแอบชมเขา แต่ยิ่งเขาเก่งเท่าไหร่ น่าหลานฮั่วซินจะยิ่งรู้สึกปวดใจถ้าเขาถูกกำจัด
นางไม่เชื่อว่าเขาเวิ่นเทียนจะฝึกองครักษ์ชั้นยอดได้ง่ายขนาดนี้
แสงจันทร์ส่องประกายสอดแสง ทำให้ไอพิษสีเขียวครามที่ลอยกลางอากาศดูยิ่งชัดเจน เวิ่นเจี้ยนดึงกระบี่ยาวของเขาออกมาทันที แม้ว่าเขาจะไม่เห็นคน แต่เขาก็ลุกขึ้นด้วยสัญชาตญาณ แล้วแทงดาบออกไปด้านหลัง
โหลชีเลิกคิ้ว เลื่อนเท้าออกไป ดาบแทงทะลุด้านข้างของนางแล้วผ่านอากาศไป
แต่สิ่งนี้ทำให้นางต้องชื่นชมเขา เป็นไปมิได้ที่คนธรรมดาจะจับลมหายใจของนางได้แม่นยำขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะนางหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว เวิ่นเจี้ยนก็สามารถแทงนางด้วยดาบเล่มเดียวได้จริงๆ
"หนึ่ง…" โหลชีกลอกตา "มันไม่เหมาะกับสถานะสูงส่งของท่านจริงๆ"
แต่นั่นนางก็แค่พูดไปอย่าง ดีแล้วที่มีคนเต็มใจที่จะช่วยแก้ปัญหา และนางก็ไม่สามารถบังคับให้เขาฆ่าทุกคนเพื่อนางได้
ตอนกลางคืนไม่ได้เงียบเป็นพิเศษเพราะอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกมาก เสียงน้ำตกจึงสามารถกลบเสียงได้
ในเวลานี้ จู่ๆ ก็มีแสงสีม่วงสว่างวาบในน้ำตก
เนื่องจากทางนั้นอยู่ต่อหน้าท่านจินและโหลชี พวกเขาทั้งสองจึงมองเห็นพร้อมกัน
ท่านจินลุกขึ้นยืนทันที ผลไม้ในอ้อมแขนของเขากลิ้งไปทุกที่แต่เขาไม่สนใจ เขามองไปตรงนั้นด้วยดีใจ "ที่แท้ ที่แท้มันอยู่ที่นั่น!"
โหลชีรู้ว่าเขากำลังมองหาสิ่งของสักอย่าง แต่นางไม่รู้ว่าเขากำลังหาอะไร
แสงสีม่วงนั้นส่องประกายในน้ำตก หรือว่ามีรูม่านน้ำอยู่ด้านหลังน้ำตก?
"นังหนูชี ข้าช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าจะไปหาสิ่งนั้น เมื่อเจ้าเสร็จค่อยมาหาข้า!"
ท่านจินรีบพูด แล้วเขาก็เหาะไปที่น้ำตกทันที แล้วหายวับไปในพริบตา
โหลชีเก็บคำพูดที่จะกลับ นึกว่าเขาจะช่วยสักหน่อย เวลาสำคัญกลับเผ่นไปซะได้!
"แม่นาง ใกล้จะถึงยามจื่อแล้ว!" เฉิงสิบร้องออกมาอย่างประหม่า
โหลชีเองก็ยังประหม่าอยู่เล็กน้อย
ในเวลานี้ นางพบว่าจู่ๆ ก็มีแสงสีฟ้าอ่อนๆ สว่างขึ้นบริเวณที่น่าหลานฮั่วซีอยู่ ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้น
"ไม่ใช่ว่าห้ามมีแสงหรือ?" โหลวซิ่นเกือบจะกระโดดไปดู
เฉิงสิบเหล่ตาและกล่าวว่า "แค่ไม่สามารถเห็นแสงแดด แสงไฟ พวกนั้นคือแสงที่ร้อนทั้งหมด อุณหภูมิจะส่งผลต่อการเติบโตของงูยักษ์เย็นสารทฤดู แต่แสงที่น่าหลานฮั่วซินนั้นอ่อนมาก ราวกับแสงที่เย็นยะเยือก "
"นั่นคืออะไร?" มีไฟเย็นด้วยหรือ
"ไข่มุกเรืองแสงหลานไห่" เฉิงสิบพูดออกมา
หลานไห่ โหลชีเคยได้ยินมาว่าเป็นทะเลขนาดใหญ่แต่อยู่ห่างไกลจากผู้คน มีหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ อยู่เพียง 2-3 แห่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหลานไห่ แล้วก็มีความล้าหลังมาก จนแทบจะแยกตัวออกจากโลก
แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีธุรกิจไปตั้งที่หลานไห่ แถมยังมีกองคาราวานมุ่งหน้าไปที่นั่นโดยเฉพาะ เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของจากดินแดนที่ร่ำรวยเป็นอาหารทะเล ปลาแห้ง สาหร่ายกินได้ ฯลฯ กับชาวบ้านในหมู่บ้านหลายแห่งที่นั่น อีกทั้งยังมีปะการัง ไข่มุก เปลือกหอยที่สวยงามและอื่นๆ อีกมากมาย ไข่มุกเรืองแสงหลานไห่คือสมบัติที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาไข่มุก
หลานไห่ไกลสุดประมาณ การจะไปที่นั่น ต้องเดินทางไกล ข้ามถิ่นทุรกันดาร ปีนภูเขา อาจจะเจอดินถล่ม หนองน้ำ และสัตว์ร้ายระหว่างทาง ดังนั้นต้นทุนในการนำสิ่งของที่นำกลับมาไม่น้อยแน่นอน ไข่มุกเรืองแสงหลานไห่ราคาสูงเสียดฟ้า แต่ได้ยินว่ามีชุดหนึ่งมีเพียงสิบสองชิ้น แต่ก็ขายหมดภายในหนึ่งวัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ