เดินออกจากพื้นที่รอบในของหุบเทพมารจนถึงพื้นที่รอบนอกต้องใช้เวลาหลายวัน แล้วออกจากรอบนอกไปสู่ข้างนอกก็ต้องใช้เวลาอีกหลายวัน รอพวกเขาเดินออกจากอุปสรรคใหญ่ ออกจากพั่วอวี้ก็สองเดือนแล้ว
ฤดูใบไม้ร่วงจากไปฤดูหนาวมาถึง ตอนที่ออกมา ด้านนอกก็เริ่มมีหิมะตกลงมา
ใช้เวลาสองวัน พวกเขาก็หาท่าเสวี่ยกับม้าอีกสองตัวเจอ ท่าเสวี่ยสมแล้วที่เป็นม้าเหงื่อโลหิตที่มีจิตวิญญาณ คอยดูม้าสองตัวไม่ให้แตกออกจากฝูง
มีม้าแล้ว ทั้งสามคนก็ออกจากภูเขาได้เร็วขึ้น ไม่กี่วันก็มาถึงบ้านของตาเฒ่าเหอที่พวกเขาเคยขอพักอาศัยด้วยเมื่อครั้งก่อน
แต่ว่า เหอชิ่งเหนียนน่าจะพาภรรยานางชุนกับตาเฒ่าเหอออกจากที่นี่แล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ไปพั่วอวี้ไหม
ตอนนี้เหลือแค่บ้านที่ว่างเปล่าหนึ่งหลัง ผักในลานกลับมิได้แห้งตายกันหมด ยังมีบางต้นที่มีชีวิตอยู่อย่างกล้าหาญ พวกเขาจึงพักที่นี่หนึ่งคืน วันที่สองหิมะหยุดตกแล้วก็ค่อยออกเดินทางต่อ
ณ พั่วอวี้ ตำหนักจิ่วเซียว
"ฝ่าบาท มีคนหนึ่งที่แซ่จินขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!"
เฉินซ่าตาเป็นประกาย แล้วพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า: "ให้เขาเข้ามา"
ท่านจินเห็นเฉินซ่าก็รู้สึกโกรธเมื่อเห็นเขานั่งอยู่บนบัลลังก์ตรงกลางด้วยสีหน้าเย็นชา "นี่ เจ้าหนุ่มเย็นชา เอาของของเจ้าไป!"
เขาโยนกล่องนั้นให้เฉินซ่า จากนั้นก็กลับหลังหันเดินออกไป
"หยุดเขาไว้"
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เทียนอิ่งรีบเข้าไปขวางหน้าท่านจินไว้ทันที
"เจ้าจะทำอะไร?" ท่านจินกระทืบเท้า: "ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้ายังมีธุระที่ต้องทำอีก ไม่มีเวลามาทะเลาะกับเจ้า!"
เยว่รีบเดินเข้ามา "ขออภัยด้วยผู้อาวุโสจิน นายท่านของเราจะบอกว่าท่านเดินทางมาตั้งไกลคงจะเหนื่อยน่าดู มานั่งดื่มชากินขนมก่อน พักผ่อนก่อนค่อยเดินทางต่อ"
"เจ้าหนุ่มนี่ยังดีหน่อย" ท่านจินทำเสียงหึในลำคอ นั่งลงข้างๆ ไม่นานก็มีสาวใช้มาเสิร์ฟน้ำชาและของกิน ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นมาทันที: "ดูไม่เลวเลยนะ"
เยว่พูดว่า: "ของกินเล่นพวกนี้เป็นของที่โหลชีสอนให้พ่อครัวทำขอรับ----"
"หึ" เขายังพูดไม่ทันจบ ท่านจินก็สบถไม่พอใจ มองตาขวางเฉินซ่าที่เพิ่งเปิดกล่องออก: "พวกเจ้ากินของอร่อยที่นางสอนให้ทำ นั่งอยู่ในตำหนักที่อบอุ่นและสว่างไสวนี้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่านางเกือบตายเพราะไปเอาของสิ่งนี้?"
"เจ้าว่ายังไงนะ?"
เฉินซ่ามองไปที่เขาทันที
"ข้าบอกว่า เป็นบุญของเจ้าแล้วที่ได้พบเจอกับนังหนูชี" ท่านจินตกใจ ไม่เจอกันหลายเดือน พลังของพ่อหนุ่มนี่แข็งแกร่งจนน่ากลัวยิ่งนัก! มีความเป็นจักรพรรดิรางๆ หรือว่า การคาดคะเนดาวจักรพรรดิองค์ใหม่ของตาแก่จากตระกูลโหลนั่นจะเป็นพ่อหนุ่มคนนี้? จริงๆหรือ?
"พูดให้ชัดเจนซะ เจ้าไปหุบเทพมารหรือ? ชีชีเป็นยังไงบ้าง?"
"นังหนูชีบอกให้ข้าเอาของสิ่งนี้มาให้เจ้าจากหุบเทพมาร"
อิงได้ยินว่าท่านจินมาก็รีบมาทันที มาถึงก็ได้ยินเข้าพอดี พวกเขามองกล่องในมือของเฉินซ่าอย่างตื่นเต้นและลุ้นระทึก เคยชินกับของดีๆที่โหลชีเอามาแล้ว ครั้งนี้ นางจะส่งอะไรมาอีกนะ?
เฉินซ่าเปิดหนังขนสัตว์นั้นออก ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมา
เยว่พูดขึ้นอย่างตกตะลึงว่า: "งูยักษ์เย็นสารทฤดู?"
ไม่ใช่เขาว่ามีความรอบรู้ แต่ของสิ่งนี้ดูออกง่ายมาก!
อิงตะลึง "แต่ว่า แม่นางน่าหลานก็ไปหางูยักษ์เย็นสารทฤดูไม่ใช่หรือ?"
พวกเขาหันกลับไปมองท่านจิน
เฉินซ่ามองดูงูยักษ์เย็นสารทฤดูในมือ กำลังจะยื่นมือไปแตะ ท่านจินก็ตะคอกเสียงดุว่า: "อย่าแตกเชียวนะ! ของสิ่งนั้นเยือกเย็นมาก!"
เฉินซ่าชะงัก มองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง: "ชีชีล่ะ?"
"ตอนที่ข้าออกมานางก็น่าจะยังอยู่ในหุบเทพมารนะ ส่วนรายละเอียดข้าไม่รู้ แต่ตอนที่เจอนาง องครักษ์คนหนึ่งในนั้นของนางเจอกับหนอนดอกเมฆ เป็นช่วงที่ใยหนอนกำลังออกจากร่างพอดี นังหนูชีมีเมตตา เพื่อช่วยเขาก็เลยใช้คำสาปเลือดดวงชะตา"
เฉินซ่าใจวูบลงไปทันที "อะไรคือคำสาปเลือดดวงชะตา?"
"ความหมายตามชื่อเลย นี่เป็นเวทมนตร์ลึกลับของตระกูลโหล บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ยังไงขอให้เจ้ารู้ไว้ว่า หลังจากที่ร่ายคาถาคำสาปเลือดดวงชะตานี้แล้วต้องตายแน่นอน แต่นังหนูชีโชคดีได้กินผลไม้ทิพย์เปลือกเขียวครามเข้าไปพอดี จึงยังมีชีวิตอยู่ แค่มีใบหน้าที่ชราภาพเท่านั้น"
"ใบหน้าชราภาพ?" เยว่กับอิงอดไม่ได้พูดอย่างตะลึงว่า "หมายความว่ายังไง?"
"อะไรหมายความว่ายังไง ก็ความหมายตามบอกเลยไง! ข้าสอนวิธีแก้คำสาปกับนางไปแล้วล่ะ ขอแค่นางเข้าใจดี การฟื้นฟูให้ใบหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ใช่เรื่องยากอะไร!"
เฉินซ่าใจเหมือนพายุโหมกระหน่ำเข้ามา เมื่อกี้ เขาเกือบพุ่งออกไปตามหานางโดยไม่สนและไม่คิดอะไรทั้งนั้น! แต่ตอนที่ได้ยินท่านจินพูดคำนี้จบ เขากลับใจเย็นลง แล้วเอ่ยถามอย่างเชื่องช้าว่า: "ไม่มีใครเข้าใจได้ดีเท่าชีชีแล้วล่ะ"
เขาเชื่อว่านางต้องไม่เป็นไรแน่นอน
แต่ว่า ถึงแม้นางจะฟื้นฟูใบหน้ากลับมาไม่ได้ นางก็ยังเป็นของเขา เขาไม่สนใจว่านางจะมีหน้ายังไง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ท่านจินกลับพูดไม่ออก เพราะเขาก็รู้สึกว่านังหนูนี่ต้องไม่เป็นไรแน่นอน
เฉินซ่ากลับเปลี่ยนประเด็นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย: "สามวันหลังจากนี้ เตรียมองครักษ์ไว้หนึ่งพันนาย ข้าจะบุกโจมตีค่ายเหยาเฟิงให้ได้"
ค่ายเหยาเฟิง เป็นหนึ่งในค่ายที่มีอิทธิพลในทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ หัวหน้าค่ายเหยาเฟิงมีสามคนส่วนใหญ่คือสามพี่น้อง ได้ยินว่าในค่ายมีแปดร้อยคน แต่ละคนต่อสู้เก่ง กล้าหาญ ถือจอบขุดดินปลูกผักได้ ถือกระบี่ก็ฆ่าศัตรูได้นับพัน ค่ายเหยาเฟิงกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ตลอดเวลา ครึ่งเดือนก่อนก็จัดกำลังคนแอบเข้ามาในเมืองพั่วอวี้ หลอกล่อหญิงสาวให้แต่งงานไปที่ค่ายเหยาเฟิง นี่มันกำลังจะเลื่อยขาเก้าอี้เมืองพั่วอวี้ชัดๆ อยากจะขยายค่ายเหยาเฟิงให้ใหญ่ขึ้น
เฉินซ่าไม่มีทางนิ่งดูดายหรอกนะ
สามวันหลัง องครักษ์หนึ่งพันนายของพั่วอวี้บุกโจมตีค่ายเหยาเฟิง ฝ่าบาทสวมชุดสีดำ ท่าทางที่ขี่ม้านั้นทำเอาผู้หญิงหลายคนที่เห็นตกหลุมรักกันไปถ้วนหน้า
คนของค่ายเหยาเฟิงต่อสู้เก่งใจกล้ากันทั้งนั้น องครักษ์ของพั่วอวี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ห้ำหั่นกันตรงหน้าประตูค่าย
เฉินซ่ามองดูผืนดินสีดำหน้าประตูค่ายเหยาเฟิง ขมวดคิ้วพูดว่า: "นี่ก็คือคนแปดร้อยคนที่พวกเจ้าพูดถึงหรือ?"
อิงหัวใจเย็นเฉียบ เห็นได้ชัดว่า มองไปแล้วก็น่าจะมีหนึ่งพันกว่าคนได้! และพวกเขาไม่เชื่อว่าค่ายเหยาเฟิงจะออกมากันหมดแล้ว
"เฉิงไจ้ล่ะ?" อิงพูดขึ้นอย่างโมโห
เฉินไจ้ หนึ่งในผู้จัดการฝ่ายข้อมูลข่าวกรองคนก่อนของพวกเขา ที่แท้เป็นคนยุทธจักรที่ได้รับการช่วยเหลือโดยเฉินซ่าก่อนที่เขาจะบุกโจมตีพั่วอวี้ได้สำเร็จ เพราะฉลาดและไหวพริบดี ตอนนั้นองครักษ์อิงขาดกำลังคนจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้จัดการฝ่ายข้อมูลข่าวกรอง พวกเขาเพิ่งเริ่มแต่งตั้งตำแหน่งในสองเดือนที่ผ่านมา กำลังเถียงกันอยู่ว่าเฉิงไจ้จะเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพได้หรือไม่ ตอนนี้เฉิงไจ้ยังทำผิดพลาดครั้งใหญ่อีก!
ชายที่สวมชุดเกราะขี่ม้าเข้ามา พยักหน้าพูดว่า: "ฝ่าบาท กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ตอนแรกยังเรียกตัวเองว่าข้าน้อย ตอนนี้เขายังไม่ทันได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพเลย ก็เรียกตัวเองว่ากระหม่อมแล้ว
เฉินซ่ากวาดตามองไป แล้วพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า: "ข้าจะถามเจ้าว่า คนในค่ายเหยาเฟิงมีเท่าไหร่กันแน่?"
เฉิงไจ้กลอกตาขึ้นลง แล้วรีบพูดว่า: "ฝ่าบาท ค่ายเหยาเฟิงคุมหนาแน่นมาก คนของกระหม่อมเข้าไปสืบยากมาก แต่ด้วยความพยายามของกระหม่อม ได้รับข่าวมามากสุดก็แปดส่วน ไม่สิ! ความถูกต้องเจ็ดส่วน นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนคน ไม่แน่แค่ห้าส่วนก็อาจจะสืบไม่ได้----"
เขายังพูดไม่ทันจบ แรงอาฆาตหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเขา เฉิงไจ้รีบเงยหน้าขึ้น ลูกตาแทบพุ่งออกมาอยู่แล้ว "ฝ่าบาทจะฆ่า----"
ฉึก!
เลือดอาบทั่วกระบี่ในมือของเฉินซ่า
ทุกคนต่างเงียบกันหมด ไม่คิดว่าคนที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ ฝ่าบาทของพวกเขาบอกฆ่าก็ฆ่าเลย!
นัยน์ตาเฉินซ่ากวาดตามองศพของเฉิงไจ้อย่างเย็นชา แล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า: "ข้าไม่ต้องการลูกน้องที่เจ้าเล่ห์แสนกลเยี่ยงนี้ ตำแหน่งสายสืบเป็นตำแหน่งที่สำคัญในการองครักษ์ เฉิงไจ้ผิดที่ไร้ความสามารถในการสืบหาข้อมูล ยังไม่กล้ารายงานความจริงออกมา! บอกว่ามีองครักษ์แปดร้อยนาย พูดออกมาอย่างมั่นใจ สมควรตายยิ่งนัก!"
เขาเงียบสักพัก แล้วพูดต่อว่า: "การสู้รบต่อจากนี้ก็เหมือนกัน ข้าไม่ต้องการลูกน้องที่ไร้ประโยชน์ เอาความสามารถทั้งหมดของพวกเจ้าออกมา!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ