แน่นอนว่าตอนนี้เพิ่งสร้างแค่กำแพงเมืองและประตูเมือง มองผ่านเข้าไปในประตูเมืองที่เปิดอยู่ สามารถเห็นด้านในได้ว่ายังไม่มีบ้านเยอะมากเท่าไหร่ มีคนมากมายนับร้อยกำลังช่วยกันสร้างบ้านอย่างดุเดือด ยังมีองครักษ์ยืนคุมงานอยู่ด้านข้าง พวกเขาทำเร็วมาก ไม่มีใครแอบขี้เกียจเลย
ชื่อเมืองเขียนด้วยอักษรตัวใหญ่สองตัว
เมืองชี
"นี่มันอะไรกัน!"
ฟ่านฉางจื่อแทบกระอักเลือด
ไหนว่าเป็นป่าดงดิบไม่มีใครมายังไงล่ะ?
น่าหลานจื่อหลินกลับพึมพำเสียงเบาว่า: "เมืองชี โหลชี โหลชี ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง" อาจารย์ของเขาถูกโหลชีหลอก ว่าแล้วในสมบัติบนเขาในโกดังของไอ้ตาเดียวก็คงหายไปแล้วล่ะ
ฟ่านฉางจื่อกุมหน้าอกไว้ แล้วกัดฟันพูดอย่างเคียดแค้นว่า: "เข้าไป เข้าไป! ข้าจะดูสิใครเอาของของข้าไป!"
ถ้าโหลชีอยู่ที่นี่ นางคงจะด่าด้วยรอยยิ้มว่า หน้าไม่อาย? ของบนนั้นเขียนชื่อเจ้าไว้หรือ?
ไม่เขียนไว้ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเป็นของเจ้า
แต่รถม้าของพวกเขายังไม่ทันเข้าประตูเมืองก็ถูกองครักษ์ขวางไว้ ฟ่านฉางจื่อยังไม่ทันได้พูด หัวหน้าองครักษ์ก็หันหน้าไปบอกคนข้างหลังว่า: "ไปบอกฝ่าบาทว่า ผู้อาวุโสฟ่านจากเขาเวิ่นเทียนมาที่เมืองชี!"
"ขอรับ!"
องครักษ์ด้านหลังน้อมรับ ยกมือขึ้น นกพิราบส่งจดหมายในมือก็กางปีกบินออกไป ไม่นานก็บินออกไปไกลมากแล้ว
ฟ่านฉางจื่อ: "......"
น่าหลานจื่อหลิน: "......"
นี่กำลังจะป้องกันเขาหรือไง? เพราะก่อนหน้านี้เขาถูกความโลภบังตา ไม่ได้คิดอะไรก็ฆ่าคนของไอ้ตาเดียวตายทั้งหมด ด้วยพลังของเขา ถ้าจะสังหารหมู่ใครอีก คนนับพันที่นี่เขาก็ฆ่าได้ครึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้คนอื่นส่งข่าวไปก่อนแล้ว จึงหยุดความคิดที่จะฆ่าในหัวของเขาไป
ทุกคนเตรียมตัวป้องกันเขาไว้อย่างดี ถ้าตอนนี้เขากล้าลงมือ ไม่แน่เฉินซ่าอาจจะมีแผนอย่างอื่นอีก ผู้อาวุโสใหญ่เพื่อชื่อเสียงของเขาเวิ่นเทียน ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถตัดหางปล่อยวัดเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะเรื่องความมั่งคั่ง ก่อนหน้านี้เขาปิดข่าวไว้แน่นสนิทจนไม่มีผู้ใดรู้
ฟ่านฉางจื่อกลืนเลือดที่จะกระอักเข้าไปอย่างเงียบๆ
"ผู้อาวุโสสามมาผิดทางหรือเปล่า? หากจะกลับเขาเวิ่นเทียนเชิญทางนั้นขอรับ ถ้าจะไปเมืองพั่วอวี้ก็ต้องไปทางนี้ขอรับ" องครักษ์คนนั้นชี้สองเส้นทาง มองดูเขาด้วยสีหน้าจริงใจ เหมือนเชื่อจริงๆว่าเขาเดินมาผิดทาง
ฟ่านฉางจื่อมองดูมองดูสถานการณ์ในเมืองที่มีการปูถนนสายหลักอย่างคร่าวๆ และพื้นที่บ้านที่จะสร้าง จากนั้นก็มองไปยังเขาพยัคฆ์ด้วยความเคียดแค้น
องครักษ์คนนั้นเห็นเขามองภูเขาลูกนั้น ก็พูดเสริมไปอีกว่า: "ผู้อาวุโสสามรู้สึกว่าภูเขาลูกนั้นแปลกประหลาดสินะขอรับ? ที่จริงภูเขาลูกนั้นมีชื่อว่าเขาพยัคฆ์"
น่าหลานจื่อหลินอดไม่ได้ถามว่า: "หรือว่าตอนนี้เปลี่ยนชื่อแล้วหรือ?"
"คุณชายพูดถูกแล้วขอรับ และชื่อก็ยังเป็นชื่อที่ฝ่าบาทของเราเปลี่ยนเอง ตอนนี้ชื่อว่าเขาสมบัติ"
เขาสมบัติ----
เป็นภูเขาที่นำพาทรัพย์สมบัติมาให้เขา!!!
ฟ่านฉางจื่ออดไม่ได้ตะคอกเสียงดังว่า: "กลับรถ ไป!"
ไป รีบไปเร็ว ถ้ายังไม่ไปอีกเกรงว่าเขาจะอดไม่ไหว ทำเรื่องที่ไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้ พลังของเขาสูงกว่าคนพวกนี้มาก แต่ต่อหน้าศิษย์พี่กับผู้อาวุโสใหญ่เขาเวิ่นเทียนคงไม่น่าดูเท่าไหร่ ถ้าเขาทำชื่อเสียงของเขาเวิ่นเทียนป่นปี้ ศิษย์พี่คงไม่ปล่อยเขาไปแน่ๆ
มองดูรถม้าที่วิ่งออกไปไกลแล้ว องครักษ์คนนั้นก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหันไปพูดด้วยรอยยิ้มว่า "กลับไปรายงานใต้เท้าองครักษ์เยว่ แผนการของเขาได้ผลจริง!"
องครักษ์ด้านหลังของเขาซุบซิบกันเสียงเบา
"ผู้อาวุโสเขาเวิ่นเทียนอะไรกัน เป็นฆาตกรโรคจิตต่างหาก"
"นั่นสิ ดูสายตาของเขาเมื่อกี้สิ เหมือนจะฆ่าพวกเราเลย"
"พวกเราโชคดีรักษาชีวิตไว้ได้ พวกเจ้าก็เห็นว่าพวกได้ตาเดียวตายอย่างทรมานแค่ไหน!"
"ใช่แล้วๆ ตอนนั้นเก็บศพพวกนั้นเสร็จ ข้ากินเนื้อไม่ลงสามวันเลยล่ะ!"
"แหวะ อย่าพูดเลย ตอนนี้ข้านึกถึงภาพพวกนั้นก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว"
"ดังนั้นเขาเวิ่นเทียนเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน ไม่แน่ผู้อาวุโสใหญ่กับเทพธิดาอาจจะโรคจิตกว่าก็ได้ เสียแรงที่เมื่อก่อนข้าชอบเขาเวิ่นเทียนขนาดนั้น ถุ้ย!"
คนด้านหลังที่ไม่รีบสร้างเมืองได้ยินแล้ว ก็แอบซุบซิบคุยกันเสียงเบา
เขาเวิ่นเทียน เมื่อก่อนในสายตาผู้คนใต้หล้าแล้วเป็นพื้นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์มาก ตอนนี้กลับตกอับลงดินไปแล้ว
ตอนนี้เองฟ่านฉางจื่อไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาทำจากภายใต้การยั่วยุของโหลชีในวันนั้นผลที่ตามมาจะร้ายแรงแค่ไหน ตอนนี้เขากำลังโกรธจนนัยน์ตาสองข้างแดงก่ำ กัดฟันกรอดด่าโหลชีไม่หยุด เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าถูกโหลชีหลอก
"นายอำเภอของเมืองลั่วหยางชื่อว่าซู่ฉงโจว มีเรื่องหนึ่งพูดออกมาแล้วเจ้าต้องตกใจมากแน่" พวกเขาเข้าเมืองมาก็ลดความเร็วของรถม้าลง เพราะหยุนเฟิงบอกว่าเขาเคยมาเมืองลั่วหยาง ดังนั้นก็มีเขาชี้ทางไปโรงเตี๊ยมที่เคยมาพักก่อนหน้านี้ ได้ยินคำพูดของโหลชี เขาก็มองดูนางแล้วหัวเราะ
"หื้ม เรื่องใด?"
"ลงรถม้าแล้วข้าค่อยเล่ารายละเอียดให้เจ้า ตอนนี้หาโรงเตี๊ยมก่อน" หยุนเฟิงให้ถูเปินจอดรถ ตัวเองกระโดดลงไป จากนั้นก็กลับหลังหันยื่นมือให้โหลชี
โหลชีมองดูชุดผู้ชายของตัวเองแล้วเลิกคิ้วขึ้น
หยุนเฟิงดีอยู่อย่างคือ รู้ว่านางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมก็ไม่โกรธอะไร เขาลดมือลงถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวแล้วรอนางลงจากรถด้วยรอยยิ้ม
โหลชีกระโดดลงจากรถม้า ท่าทีว่องไวกว่าเขามาก กำลังจะพูดกับหยุนเฟิง ก็เห็นเด็กสาวสวมชุดคลุมขนกระต่ายยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมกำลังมองนางด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เห็นนางเดินเข้ามา เด็กสาวก็กลับหลังหันอย่างเขินอาย
หมายความว่ายังไง?
โหลชีรู้สึกแปลกใจ เฉิงสิบที่เดินตามลงมาก็หัวเราะแล้วพูดเสียงเบาว่า: "คุณชาย แม่นางผู้นี้เหมือนจะชอบท่านนะ"
"ฮะ! เฉิงสิบ เจ้าอย่าพูดให้ข้าตกใจสิ!" โหลชีตกใจจริงๆ นางเพิ่งมาถึงเมืองลั่วหยางก็มีคนมาตามจีบแล้วหรือ!
ยังดีที่เด็กสาววิ่งหนีไปแล้ว ไม่งั้นนางคงจะกลัวจริงๆ
โรงเตี๊ยมลั่วหยาง โรงเตี๊ยมแห่งแรกของเมืองลั่วหยาง พื้นที่อยู่ใจกลางเมืองลั่วหยาง มีโครงสร้างสองหลังประกบเข้าด้วยกัน ด้านหน้าเป็นหอสุรากับห้องพักธรรมดาทั่วไป ด้านหลังเป็นสวนดอกไม้กับห้องระดับรองและระดับสูง ว่ากันว่ายังมีลานส่วนตัวอีกสองที่ เป็นห้องระดับชนชั้นสูง แต่ว่าต้องจ่ายค่าเช่าวันละหนึ่งร้อยตำลึง
"คุณชายหยุน?" เถ้าแก่เห็นพวกเขาเข้ามา ก็ยิ้มต้อนรับอย่างเบิกบาน หยุนเฟิงที่กำลังจะเล่าเรื่องนายอำเภอกับโหลชีก็ต้องเงียบไปก่อน แล้วหันไปทักทายเถ้าแก่
"เถ้าแก่ลั่ว ช่วงนี้สบายดีไหม?"
"สบายดีๆ คุณชายหยุนไม่ได้มานานแล้วนะ!"
"อืม เถ้าแก่ลั่วยังจำข้าได้หรอกหรือ"
"จำได้สิๆ จะจำไม่ได้ได้อย่างไร? ตอนนั้นคุณชายหยุนช่วยข้าไว้เยอะเลย"
โหลชีเห็นหยุนเฟิงกับเถ้าแก่ลั่วคุยกันอย่างสนิทสนม ทันใดนั้นก็นึกถึงตงสือยู่ขึ้นมา ในบางแง่มุมแล้วหยุนเฟิงคล้ายกับตงสือยู่มาก เช่นความอ่อนโยนของทั้งสองคน มักจะมีรอยยิ้มที่ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นอิ่มเอมหัวใจ
"ถอยๆๆ! เถ้าแก่ลั่ว หมอโจวอยู่ที่นี่หรือเปล่า? รีบเรียกเขาออกมาเร็วเข้า มีคนใกล้ตายแล้ว!" เสียงตะโกนดังทั่วโรงเตี๊ยม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ