มนตรีเห็นพวกเขากลับมาแล้ว ก็ทำหน้าเบ้ "ใช่ ไม่รู้ว่าเจ้าลิงเป็นอะไร ไปนานขนาดนี้ยังไม่กลับมาอีก"
โหลชีขมวดคิ้ว พวกถูเปินห้าพี่น้องติดตามนางมาสักพักแล้ว ปกติตอนเร่งรีบเดินทาง นางจะตั้งกฎกับพวกเขาไว้เล็กน้อย ถึงนางจะไม่ใช่คนชอบตั้งกฎอะไรมากมาย แต่มีบางข้อที่ควรพูดก็ยังต้องพูดอยู่ หนึ่งในนั้นคือ นางเกลียดการรอคน เกลียดคนไม่ตรงต่อเวลา ดังนั้นพวกเขาจะออกไปต้องระวังเรื่องเวลา เหมือนเจ้าลิง ถ้าหาร้านอาหารที่ดีไม่ได้ ก็ต้องหาที่พอโอเคและรีบกลับมารายงาน แต่ครั้งนี้เขาออกไปเกินหนึ่งชั่วยามแล้ว
"ถูเปิน พาพวกมนตรีออกไปตามหาดู จำไว้ อย่าก่อเรื่อง แต่ถ้ามีคนมาหาเรื่องพวกเจ้า จำคำนั้นที่ข้าพูดได้ไหม?"
ถูเปินรีบตอบทันที "จำได้! สู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็กลับมาขอกำลังเสริม!"
และเพราะคำพูดนี้ทำให้พวกถูเปินล้วนแล้วแต่ยอมศิโรราบให้นาง มีเจ้านายคนไหนบ้างจะพูดกับองครักษ์หรือคนรับใช้เยี่ยงนี้ ข้าเป็นที่พึ่งให้พวกเจ้า ข้าเป็นกำลังเสริมให้พวกเจ้า?
สิ่งที่นางบอกพวกเขามาตลอดคือ อย่าหาเรื่องคนอื่นก่อน แต่ถ้ามีคนมารังแก ก็ไม่ต้องกลัวพวกเขา
ระหว่างทางมาเป่ยชางเมืองนั่วรานี้พวกเขาไม่ได้รีบร้อน พวกเขาเท่ากับตามนางมากินเล่นดูทิวทัศน์ไปทั่ว ดังนั้นระหว่างทางเลยมีเวลาให้พวกเขาฝึกยุทธ์ เฉิงสิบกับโหลวซิ่นเป็นครึ่งอาจารย์ของพวกเขา อีกครึ่งหนึ่งคือนาง เรียกได้ว่าเฉิงสิบกับโหลวซิ่นสอนพวกเขาเกี่ยวกับกระบวนท่าวิทยายุทธ์จริงจัง ส่วนโหลชีสอนพวกเราเรื่องวิธีการจัดการคู่ต่อสู้อย่างใช้ได้จริง
เป็นทั้งอาจารย์และเจ้านาย
ถูเปินคนที่เหลือสามคนออกไปตามหาเจ้าลิง
โหลชีรู้สึกไม่ชอบมาพากล เลยไม่ได้ขึ้นชั้นบน เรียกกาน้ำชามานั่งรอพวกเขาในห้องโถง จิ้งจอกม่วงนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ในอ้อมกอดนาง
รออีกหนึ่งชั่วยาม ที่วิ่งปราดเข้ามามีแค่มนตรีคนเดียว และใบหน้าเขามีคราบเลือดมาด้วย
มนตรีคิดว่าพวกเขาขึ้นชั้นบนกันหมดแล้ว พอเข้ามาก็รีบร้อนจะขึ้นชั้นบน โหลวซิ่นเรียกรั้งเขาไว้ "มนตรี!"
มนตรีหันขวับกลับมา พอเห็นพวกเขาก็ปราดเข้ามาอย่างดีใจระคนร้อนใจ "คุณชาย คุณชายแย่แล้ว!"
โหลวซิ่นไม่พอใจ "อะไรเรียกคุณชายแย่แล้ว? พูดใหม่ดีๆ!"
"ขอรับขอรับขอรับ ข้าพูดผิดไป คุณชาย พวกพี่ถูกับเจ้าลิงโดนจับตัวไว้!"
"อะไรนะ?"
โหลชีสีหน้าทะมึน "โดนใครจับตัวไว้?"
"คนรับใช้จวนตระกูลเซียวเล็ก!"
จวนตระกูลเซียวเล็ก?
ไม่คิดว่าพวกเขาพึ่งได้ฟังเรื่องตระกูลเซียวสองบ้านไป ตอนนี้ก็มีเรื่องกับคนของจวนตระกูลเซียวเล็กแล้ว
นางลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าออกไปเลย "ไป เดินไปเล่าไป"
พวกเขาหลายคนกำลังจะออกไป เถ้าแก่ร้องเรียกพวกเขาไว้ บอกอย่างร้อนใจว่า "คุณชาย ถ้าพวกท่านเกิดปะทะกับจวนตระกูลเซียวเล็กจริง หนีได้ก็หนี อย่าไปร้องเรียนทางการเข้าเชียวนะ"
โหลชีหยุดชะงัก "เพราะเหตุใดรึ?"
"พวกท่านหนียังพอมีหนทาง ถ้าไปร้องเรียนทางการ ทางการต้องจับพวกท่านแน่ เพราะ..." เถ้าแก่กดเสียงต่ำลงว่า "ได้ยินว่าเซียววั่งกำลังจะแต่งงานกับลูกสาวของขุนนาง"
โหลชีอึ้ง นึกถึงคำพูดของพ่อสามีลูกสะใภ้คู่นั้นที่ได้ยินในโรงเตี๊ยม ผู้หญิงคนนั้นดูไม่เหมือนลูกสาวขุนนางเลยนี่นา ถ้าอย่างนั้น น้องสาวของนางคงเป็นคนที่จะแต่งงานกับเซียววั่งตามที่เถ้าแก่พูดกระมัง?
"ขอบคุณเถ้าแก่ที่เตือน"
ครานี้นางไม่มีเวลาถามมากนัก รีบพาทุกคนไปโดยให้มนตรีนำทางไปที่จวนตระกูลเซียวเล็ก
จวนตระกูลเซียวเล็กในตอนนี้ พอบ้านมือเท้าสะเอว มองดูพวกคนที่โดนจับกดให้คุกเข่าบนพื้น มองจ้องไปประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ใบหน้าด้านขวากระตุกเล็กน้อย บนนั้นมีบาดแผลอยู่ ความเจ็บปวดแบบนี้ทำเอาเขาโมโหเป็นอย่างมาก
"พวกเจ้าช่างบังอาจนัก แค่คนต่างถิ่นไม่กี่คน และยังเป็นคนตงชิง กลับกล้ามายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เมืองนั่วรานี่!"
หลายคนที่โดนคนจับมือไขว้หลัง เหยียบบังคับให้คุกเข่าลงคือพวกถูเปินสามคน และอีกด้านหนึ่ง เจ้าลิงนอนคว่ำหน้าบนพื้น โดยองครักษ์คนหนึ่งเหยียบลงกลางหลังกดไว้
พวกถูเปินกัดฟันกรอด ได้แต่แค้นตัวเองว่าฝีมือยังไม่ถึงขั้น แบบนี้เท่ากับทำคุณชายของพวกเขาขายหน้า
"เจ้าสุนัขรับใช้นี่ ที่แท้ก็แค่พ่อบ้านจวนตระกูลเซียวเล็กนี่เท่านั้น กลับกร่างซะแบบนี้ ข้ายังนึกว่าเจ้าคือเซียววั่งอะไรนั่นเสียอีก! เดิมยังรู้สึกว่าเซียววั่งออกจากบ้านพ่อเลี้ยง ไม่แน่ใจคงมีความจำเป็นบางอย่าง แต่เท่าที่ดูแล้ว สามารถเลี้ยงพวกสวะลูกกระจ๊อกอย่างพวกเจ้าได้ เซียววั่งนั่นต้องไม่ใช่คนดีอะไรแน่!" ถูเปินบ้วนน้ำลายออกมา
"จะถึงที่ตายแล้วยังปากดีอีก! ว่ามา มีคนส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?"
"มีคนส่งพวกข้ามาไหมแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย?" ถูเปินตกใจมาก "พ่อบ้านอย่างเจ้า ดูแลควบคุมเรื่องในจวนตนเองก็พอแล้ว ยังคิดจะยุ่งเรื่องคนตระกูลเซียวเดิมอีกรึ?"
หลังจากพวกเขาได้ยินเรื่องตระกูลเซียวสองบ้านแล้ว พวกถูเปินพากันรู้สึกว่าเซียววั่งเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณคน ดังนั้นคำที่พูดออกมาเลยมีใส่อารมณ์เข้าไปด้วย
"มาเดินวนไปเวียนมาที่หน้าประตูตระกูลเซียว คิดจะมาให้ตระกูลเซียวสร้างอาวุธให้รึ? ได้วัตถุดิบอะไรมา?"
"เกี่ยวกับเจ้าที่ไหนกัน? ถูเปินแค่นเสียงบอก
แกล้งทำอะไร?
"เจ้า พวกเจ้า--"
บนพื้นมีแต่คนของเขานอนอยู่ และล้วนโดนหักขาไปข้างหนึ่งทั้งสิ้น องครักษ์ชุดเขียวสองคนนั่นเหยียบลงไปทีเพียงพอที่จะทำกระดูกแตกหักได้เลย ต่อให้รักษาตัวดีแล้ว สามารถเดินได้ก็ไม่เลวแล้ว ไม่มีทางได้กลับมาเป็นองครักษ์รักษาจวนอีก ต่อไปยิ่งไม่สามารถเหยียบขาผู้อื่นและบังคับผู้อื่นให้คุกเข่าได้อีกอย่างเมื่อครู่
นี่คือแก้แค้น แก้แค้นเต็มๆ
"เจ้าเป็นพ่อบ้านของที่นี่? เจ้าว่ามาสิ เจ้าอยากตายยังไง?" โหลชีเป็นคนรักพวกพ้องมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนที่จะเข้าข้างพวกพ้อง นางก็เชื่อมั่นว่าคนของตนไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายอะไรก่อนแน่ ในเมื่อโดนคนรังแกถึงขั้นนี้แล้ว เจ้านายอย่างนางไม่แก้แค้นคืนให้พวกเขา เป็นเจ้านายประสาอะไรล่ะ?
พ่อบ้านกลืนน้ำลายเอื๊อก พลันตะคอกดังว่า "ใครก็ได้! จับหัวหน้าตัวเล็กนั่นก่อนเลย!"
เวลาคอขาดบาดตาย เขาคิดถึงคำพูดหนึ่งได้ว่า จะเอาชนะศัตรูต้องจับหัวหน้าให้ได้ก่อน!
คุณชายน้อยคนนี้หน้าตาหล่อเหลาไร้ที่ติ ดูท่าจะอ่อนแอมาก กล้าเหิมเกริมขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาศัยองครักษ์ชุดเขียวที่วิทยายุทธ์แก่กล้าสองคนนั่นแน่! ขอเพียงจับเขาได้ งั้นองครักษ์สองคนนั่นจะกล้าลงมืออีกหรือ?
เขาพึ่งพูดจบ ก็มียามรักษาจวนออกมาจากด้านในอีกสิบกว่าคน ต่างกรูกันเข้ามาหาโหลชี
ยังมีการเรียกกันไปมาให้กล้ามากขึ้น
"จับไอ้หนูนั่น เขาดูไม่มีวิทยายุทธ์เลย!"
"สกัดองครักษ์สองคนนั้นไว้ เจ้าหนูนี่ไม่เท่าไหร่หรอก!"
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นทนไม่ไหวลูบขมับ นี่นี่นี่ พวกเจ้าแน่ใจ? ตาข้างไหนของพวกเจ้ามองว่าแม่นางของพวกเขาไม่เท่าไหร่กัน?
ทั้งๆที่พวกเขาสองคนรวมกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลบนะรู้หรือไม่?
หาเรื่องตายแบบนี้ เจ้านายเจ้ารู้หรือไม่?
แต่ต่อให้รู้แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแม่นางพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาสองคนก็ไม่มีทางเอาแต่มองไม่ลงมือ ในฐานะองครักษ์ ควรจะสกัดไว้แต่แรกแล้ว
ทั้งสองคนดึงกระบี่ออกมา ขวางหน้าโหลชีเอาไว้ แต่กลับยิ่งทำให้คนพวกนั้นคิดว่าโหลชีไม่เป็นวิทยายุทธ์จริงๆ องครักษ์สองคนของนางถึงได้คอยคุ้มครองนางอย่างนี้
พริบตาเดียว คนทั้งหมดจับจ้องโหลชีเขม็ง และคิดจะรีบเข้าไปจับนางเพื่อเอาความดีความชอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ