ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 363

"กลองขวัญ?"โหลชีไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ ถามเสร็จนางก็เดินเข้าไปใกล้ๆกลอง เมื่อครู่อยู่ไกลๆมองไม่เห็น ตอนนี้เมื่อมองใกล้ๆก็ตกตะลึง เพราะกลองไม่ใช่สีดำหมดจด

ถ้าจะบอกว่าเป็นสีดำ ไม่สู้บอกว่าเป็นสีเลือดที่แห้งกรังจนเป็นสีแดงเกือบดำดีกว่า

นางกำลังจะเข้าไปใกล้มากขึ้น แต่จู่ๆก็มีมือที่มีกระดูกแหลมคมคว้าแขนของนางไว้ เมื่อนางมองก็ปล่อยออกอย่างรวดเร็ว

เมื่อนางหันไปมองก็พบกับดวงตาที่มองมาอย่างชัดเจนของซู่ฉงโจว

"ขออภัยพระสนม" ซู่ฉงโจวมองไปที่นาง เขาพูดเบาๆว่า "กลองขวัญนี้ทำมาจากเลือดของวิญญาณของนักรบนับไม่ถ้วน ล้วนเป็นบุรุษที่ป่าเถื่อน สตรีไม่สามารถเข้าใกล้มากๆได้ไม่เช่นนั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บได้"

โหลชีเลิกคิ้วและไม่ได้พูดอะไร

อิงถามเสียงเข้ม "เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?"

"ที่ตระกูลฉงโจวมีบทตำนานวิปลาสอยู่เล่มหนึ่ง ด้านบนมีบันทึก เพราะเคยเห็นมาเป็นเวลานานมากแล้ว จำเป็นต้องจำได้แม่น"

บทตำนานวิปลาส?

โหลชีตกตะลึงครู่หนึ่ง นักพรตเลวก็เขียนบทตำนานประหลาด บ้านของพวกเขามีบทตำนานวิปลาส? เช่นนั้นมันมาจากสำนักพิมพ์เดียวกันและเป็นชุดเดียวกันหรือ

ตอนนี้นางรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆว่าซู่ฉงโจวก็คือนายอำเภอเมืองลั่วหยาง เพราะว่าซู่ฉงโจวมีกลิ่นอายขุนนางจางๆ ความรู้สึกแบบนี้ บรรยายออกมาไม่ได้ เข้มมากกว่ากลิ่นอายของบัณฑิตนิดหนึ่ง

โหลชีหันไปหาเฉิงสิบและโหลวซิ่น "พวกเจ้าไปลอง"

"ขอรับ"

เฉิงสิบและโหลวซิ่นต่างก็กระตือรือร้นที่จะลอง เมื่อได้ยินดังนี้พวกเขาก็รีบก้าวไปข้างหน้า และทหารคนนั้นก็รีบส่งไม้ตีกลองให้โหลวซิ่นทันที

ทหารทุกคนกลั้นหายใจ ทำให้เงียบที่สุด เพราะก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นไม่สามารถทำให้กลองส่งเสียงออกมาได้ ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าแม้แต่เสียงอู้อี้เล็กน้อยก็ยังเป็นเสียง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา กลัวพลาดไป

โหลวซิ่นเข้ามา แล้วตีลงไปที่ใจกลางของกลอง

ไม่มี ไม่มี! เสียงสักนิดก็ไม่มี

เฉิงสิบยืนอยู่ใกล้กลองมากที่สุดแต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าหนังของกลองจะกลืนเสียงเข้าไปได้ เมื่อตีกลองอย่าแรงเสียงที่ออกมาก็จะถูกกลองกลืนเข้าไป จึงไม่มีเสียงอะไรออกมาอีก

โหลวซิ่นตะลึง เมื่อสักครู่มองดูก็รู้ว่าพวกเขาใช้แรงไปมาก แต่ว่าเมื่อถึงคราวตัวเองลงมือถึงได้รู้ว่าใช้แรงไปมากแค่ไหน เมื่อสักครู่เขาไม่ได้ใช้กำลังภายในเลย!

เขายื่นไม้ตีกลองให้เฉิงสิบ "ลองใช้กำลังภายในดู"

เฉิงสิบพยักหน้า รวบรวมกำลังภายใน แล้วตีลงไปที่กลอง เขาใช้กำลังภายในไปถึงห้าส่วน รู้สึกว่านี่คือขีดจำกัดที่กลองจะสามารถต้านทานได้ หากใช้แรงมากเกินไปเขาก็เกรงว่ากลองอาจจะแตกได้

แต่ทันทีที่เขาตีกลอง เขาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นก็คือความรู้สึกที่กลองนั่นกลืนเสียงเข้าไป เขารู้สึกว่า กลองนั่นราวกับว่ามีปากประหลาดที่คอยกลืนเสียงต่างๆลงไป

แล้วก็ยังไม่มีเสียงอะไรออกมาอีก

"แปลก แปลกจริงๆ"

อิงไม่อยากจะเชื่อ จึงหยิบไม้กลองแล้วพูดว่า "ข้าเอง"

แต่ว่าผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหนังกลองถูกกระแทกและสั่นสะเทือน แต่ก็ยังไม่มีเสียงอะไรออกมา

"แม้แต่ใต้เท้าองครักษ์อิงก็ยังทำให้กลองส่งเสียงไม่ได้ ข้าว่าพวกเราก็ไม่ต้องลองแล้ว"

ทหารทั้งหมดก้มหน้าด้วยความสิ้นหวังทันที

โหลชีมองไปยังซู่ฉงโจว "บทตำนานวิปลาสของบ้านเจ้าได้บอกไว้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไรให้กลองขวัญส่งเสียง?"

ซู่ฉงโจวส่ายหน้า "ไม่มี บอกแค่ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถตีกลองขวัญให้ส่งเสียงได้ คนคนนั้นเปรียบเสมือนกับเทพที่มายังโลกมนุษย์ เขาเป็นวีรบุรุษ เมื่อกลองขวัญส่งเสียงก็จะสามารถทำให้ทหารหลายพันคนแข็งแกร่งขึ้นได้ และทำให้กองทัพเข้มแข็งขึ้น มีพลังการต่อสู้ที่น่าทึ่ง โจมตีได้นานขึ้น"

เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็ตะลึง และในใจก็มีความปรารถนาขึ้นมา

อิงยิ่งแววตาเป็นประกาย "กลองขวัญยังทรงพลังมากขนาดนี้เชียวหรือ?ถ้าหากสามารถทำให้กลองนี้ส่งเสียงได้ กองทัพก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้นใช่หรือไม่?"

ซู่ฉงโจวพูด "ที่บันทึกในหนังสือ หมายความเช่นนั้นจริงๆ"

โหลชีเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่ซู่ฉงโจว "เจ้าลองแล้วหรือยัง?"

"ทูลพระสนม ยังไม่ได้ลองพ่ะย่ะค่ะ" ความเร็วการพูดของซู่ฉงโจวทำให้คนที่ฟังสบายใจ และเมื่อเขาพูดกับโหลชี นางมักจะรู้สึกว่าในดวงตาของเขามักจะมีรอยยิ้มจางๆ อยู่เสมอ และรอยยิ้มแบบนี้ทำให้เขาดูดีมาก

ชายหล่อเหลาที่นางเคยพบ อันดับหนึ่งย่อมเป็นเฉินซ่า โหลฮ่วนเทียนพี่ใหญ่นาง ยังมียู่ไท่จื่อ หยุนเฟิง รวมถึงเฉิงสิบลูกน้องนาง นั่นล้วนเป็นชายงามชั้นหนึ่ง แต่ซู่ฉงโจวนี้ย่อมเป็นบุคลิกที่ทำให้รู้สึกน่าดึงดูด และยากบรรยายในชั่วเวลาสั้นๆ ผู้ที่มีบุคลิกเช่นนี้ โหลชียังเห็นเป็นคนแรก

ถ้าไม่ใช่เพราะมีเฉินซ่าอยู่ก่อนแล้ว นางรู้สึกว่าตัวเองอาจจะถูกซู่ฉงโจวดึงดูดเอาได้

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองดูเถิด" นางก็ไม่รู้ว่าทำไม แค่รู้สึกว่าซู่ฉงโจวคนนี้ค่อนข้างลึกลับ และเขาก็ดูเข้าใจอยู่ไม่น้อย

ดูเหมือนว่าซู่ฉงโจวจะคิดไม่ถึงว่านางจะปล่อยให้เขาลอง เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมา เสียงของเขาราวกับสายลม "พ่ะย่ะค่ะ"

อิงและเฉิงสิบขมวดคิ้วพร้อมกัน พวกเขาไม่ชอบรอยยิ้มของซู่ฉงโจวที่มีต่อโหลชีเลย ยิ้มอะไร? มีอะไรน่ายิ้ม?

โหลชีถอยออกไปก้าวหนึ่ง มองไปยังซู่ฉงโจวรับไม้ตีกลองแล้วเดินไปด้านหน้าของกลองขวัญ เขาไม่รีบร้อนลงมือ มือทั้งสองตั้งขึ้น ก้มหัวเล็กน้อย และวินาทีถัดมาหัวใจของโหลชีก็สั่นสะท้าน

เพราะบรรยากาศรองตัวหนึ่งเหมือนทะลักออกมาจากตัวซู่ฉงโจว เขายืดหลังตรง เชยคาง ริมฝีปากปิดสนิท ปากเสือปิดสนิท ทันใดนั้นเขาเหมือนไม่ใช่ตัวเขาอีก ดุจแม่ทัพสมรภูมิใหญ่ ดุจแม่ทัพผู้หยิ่งทะนง ดุจแม่ทัพที่มองทหารห้าวห้ำหั่น อาชารบร้องครวญ สนามรบอันอาดูร

ใช่แล้ว จิตวิญญาณการต่อสู้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งมาก

อิงมองไปที่ซู่ฉงโจว "เจ้าตีกลองอย่างไร?"

ซู่ฉงโจวตอบ "ข้าเองก็ไม่รู้ รู้สึกแค่ว่าต้องทำใจให้สงบ"

"กลองนี่ สตรีเข้าใกล้ไม่ได้จริงหรือ?" โหลชีมองดูกลองอย่างครุ่นคิด

"ตามบันทึกบอกว่าไม่ได้จริงๆ อาจจะทำร้ายร่างกายพระองค์ พระสนมเชื่อว่ามีจริงเถิด"

โหลชีพยักหน้า นางหันกลับมาแล้วพูดว่า "พอดีเลย ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่ เข้าแถว" นางตัดสินใจไปเลือกคนก่อน แล้วค่อยมาคุยกับซู่ฉงโจวดีๆ

ทหารหลายพันนายเข้าแถวในทันที เห็นได้ว่าอิงให้ความสนใจทหารเหล่านี้เป็นอย่างมาก การจัดแถวเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากจัดแถวเสร็จ

โหลชีก้าวไปข้างหน้า แล้วใช้กำลังภายในของนางเพื่อเปล่งเสียง "ข้าจะคัดเลือกพวกเจ้าสามสิบคน สามสิบคนนี้ต้องเข้าร่วมการฝึกฝนอีกชุดหนึ่ง บอกให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นการฝึกพิเศษที่หนักกว่าการฝึกปัจจุบันของพวกเจ้าสิบเท่า ตอนนี้ ใครไม่เต็มใจจะเข้าร่วมสามารถถอนตัวได้ นี่เป็นความสมัครใจของพวกเจ้า ไม่มีการบังคับ ดังนั้นพวกเจ้าสามารถกำหนดตัวเลือกเองได้ ข้าจะไม่ตำหนิพวกเจ้า"

หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณครึ่งหนึ่งก็ถอนตัวออกไป

โหลชีพยักหน้าแล้วพูดอีกว่า "ถ้าพวกเจ้ากลัวแมลง งู หรือว่ามดมากๆ ไม่เต็มใจที่จะจับ ก็ถอนตัวได้"

ทันทีที่พูดออกมา ทันใดนั้นก็มีเสียงกระซิบกระซาบ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเดาว่าการฝึกพิเศษคงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ถอนตัวออกไปอีกจำนวนมาก

ตอนนี้เหลือคนเพียงพันคนเท่านั้น

โหลชีให้พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ๆ เมื่อกำละงจะพูดอิ้นเหยาเฟิงก็ยกมือขึ้น "พระสนม อิ้นเหยาเฟิงเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่?"

นี่มันเกินความคาดหมายของทุกคน

"เจ้าอยากเข้าร่วมการฝึกพิเศษ?" โหลชีมองนาง

อิ้นเหยาเฟิงพูดทันที "ใช่เพคะ!พระสนมให้โอกาสหม่อมฉันด้วยเถิด!"

"ได้ เจ้าเข้ามา เดี๋ยวข้าจะทำการคัดเลือกอีกครั้ง ถ้าหากเจ้าไม่ผ่านการคัดเลือก ข้าก็ไม่เลือกเจ้า"

อิ้นเหยาเฟิงยืนอยู่อย่างมีความสุขท่ามกลางผู้คนนับพัน

"ต่อไป ทำท่าบริหารนิ้วมือกับข้า ทำไม่ได้ คัดออก"

โหลชีไขว้นิ้วเอาไว้ แล้วบีบนิ้ว นางจะสอนการทำท่าบริหารนิ้วมือขั้นพื้นฐานให้กับพวกเขา ถ้าหากสามารถทำได้ นางถึงจะเลือกคนคนนั้นไปฝึก มิฉะนั้นหากนางรับไปแล้วก้อาจจะยากที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ในเวลาอันสั้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ