เยว่จับด้ามดาบพร้อมที่จะลงมือ
หากซู่ฉงโจวมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาก็พร้อมจะฆ่าทันที
"จำเป็นต้องตึงเครียดขนาดนั้นเลยหรือ?"ซู่ฉงโจวส่ายหัว มองไปยังโหลชี "เมื่อก่อนแม่นางโหลก็อยากพบข้าไม่ใช่หรือ?"
โหลชีเลิกคิ้วขึ้น "แสดงว่าเจ้ายอมรับแล้วว่าเจ้าคือนายอำเภอของลั่วหยาง?"
เป็นเขาจริงๆ
"ข้าว่าเข้าไปคุยกันด้านในได้หรือไม่?คุยตรงนี้คงไม่เหมาะ"ซู่ฉงโจวพูดพลางมองไปยังเฉินซ่า
"บังอาจ!"เยว่ตะโกนแล้วกำลังจะชักดาบออกมา แต่โหลชีถือด้ามไว้
เฉินซ่าไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษรเป็นคนแรก
เยว่และเฉิงสิบและคนอื่นๆมองหน้ากัน นี่คือเห็นด้วยหรือไม่? จู่ๆฝ่าบาทก็เห็นด้วยแปลกจริงๆ
โหลชีหันกลับมาและเดินตามไป "เฉิงสิบ โหลวซิ่นและคนอื่นๆรออยู่ด้านนอก"
"ขอรับ"
เยว่นำดาบครึ่งหนึ่งกลับเข้าไปในฝักและตามเข้าไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มั่นใจว่าตัวตนของซู่ฉงโจวคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
เฉินซ่าที่เดินเข้ามาก่อนกลับไปนั่งยังที่นั่งของเขา ซู่ฉงโจวมองไปรอบๆจากนั้นจึงเดินไปที่ตั่งนุ่มๆที่ด้านบนยังมีผลไม้ที่ทานไม่หมดของโหลชีวางอยู่บนนั้น
"ว้าว มีผลไม้ด้วยดีจังเลย ดูก็รู้ว่าหวานฉ่ำน้ำเยอะเป็นเอกลักษณ์ของภูเขาจิ่วเซียวใช่หรือไม่?ข้าจะชิมดู"
ทันทีที่เขาพูดจบ โหลชีก็ดีดนิ้วและขึ้นเสียง "มีคนขโมยอาหารข้า วู๊วูกัดปากเขาให้ข้าที"
แสงม่วงเงินสายหนึ่งแวบเข้ามา ซู่ฉงโจวก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่เร็วเท่าวู๊วู เขาทันเพียงแค่หันศีรษะหลบเท่านั้น วู๊วูก็คว้าหน้าของเขาด้วยกรงเล็บและทำเสียงกรน
ราวกับกรงเล็บถูกปราการชั้นหนึ่งบังไว้ ข่วนทะลุเพียงประกันนั้น
"วิชาบวกหยางคุ้มกาย?"โหลชีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง ร่างของนางมีแสง แล้วต่อมาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆเขา คว้าเสื้อผ้าที่หน้าอกของเขาไว้ด้วยมือข้างเดียว แล้วถามอย่างดุดัน "เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมเป็นวิชาบวกหยาง?"
วิชาบวกหยางเป็นวิชาเดียวที่นักพรตเลวไม่สอนนาง เขาบอกว่าวิชานี้สอนไม่ได้ ตระกูลซวนหยวนถ่ายทอดให้บุรุษ ถึงแม้ว่าจะเต็มใจสอน แต่ไม่ว่าอย่างไรสตรีก็ไม่สามารถเรียนได้ เพราะไม่มีบุรุษที่เป็นสายเลือดของตระกูลซวนหยวน เมื่อว่าอย่างนี้แล้ว คนนอกตระกูลซวนหยวนก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ แต่ว่าซู่ฉงโฉวรู้ เขารู้!
แต่ซู่ฉงโจวดูตกใจมากกว่านางอย่างเห็นได้ชัด เขาลืมรอยยิ้มที่เขามีแล้วมองดูนางราวกับผี
"ทำไมเจ้าถึงรู้จักวิชาบวกหยางคุ้มกาย?"
แถมยังพูดออกมาทั้งหมดด้วย!
หรือว่านางจะเป็นคนในตระกูลซวนหยวน? ซู่ฉงโจวคว้าจับมือขาวสะอาดของโหลชีที่จับคือเสื้อเขาอยู่
ความกดอากาศในห้องทรงพระอักษรลดลงอย่างรวดเร็ว ความโกรธของเฉินซ่าปะทุ เขาเข้ามาอย่างเร็วแล้วซัดซู่ฉงโจวออกด้วยฝ่ามือเดียว แล้วดึงโหลชีเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
ร่างของซู่ฉงโจวกระแทกกับขาตั้งดอกไม้อย่างแรง กล้วยไม้ในกระถางก็ตกลงกับพื้นอย่างแรง ทำให้ดินแตกกระจายไปทั่วพื้น
"ข้าอนุญาตให้เจ้าสัมผัสนางแล้วหรือ?"
เฉินซ่าพูดอย่างเย็นชา
ซู่ฉงโจวไอสองครั้งและขมวดคิ้ว "เห็นชัดว่าในใจมีข้อสงสัย เจ้าลงมือไปแล้ว กฎของตระกูลเฉินคือไม่ฆ่ากันเอง เจ้ารู้หรือไม่?"
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทั้งโหลชีและเยว่ก็หวาดกลัวจนตาของพวกเขาถลนออกมาและกรามของพวกเขาก็แทบจะหลุด!
กฎของตระกูลเฉิน?ไม่ฆ่ากันเอง?
คิ้วหนาของเฉินซ่าขมวดคิ้วอย่างดุเดือด "กฎของตระกูลเฉิน เจ้ากล้าดียังไงมาพูดเจ้ามีหรือ?"
"เอ่อ"ซู่ฉงโจวหัวเราะ มือข้างหนึ่งยันพื้นมือข้างหนึ่งปิดหน้าอก ลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก แล้วเอนตัวพิงเสาข้างๆเขา"ใครบอกว่าข้าไม่มี ข้าก็แค่ไม่เอามาด้วย"
โหลชีส่งเสียง "เหลวไหล ในเมื่อเจ้ารู้จักวิชาบวกหยาง ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องมาจากตระกูลซวนหยวนแน่นอน"เรื่องนี้นางมั่นใจมาก เพราะนักพรตเลวบอกนางว่าคนอื่นไม่มีทางรู้วิชาบวกหยาง ไม่อย่างนั้นเขาคงสอนวิชาป้องกันตัวให้นางไปนานแล้ว
"ทำไมเจ้าถึงรู้เกี่ยวกับวิชาบวกหยาง?"ซู่ฉงโจวยังคงจ้องมองนาง ทันใดนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่าง"ตระกูลโหล?ไม่ เป็นไปไม่ได้ ตระกูลโหลไม่มีทางรู้เรื่องนี้"
"เจ้ารู้จักซวนหยวนคงหรือไม่?"โหลชีตื่นเต้นจริงๆ เพราะในที่สุดนางก็ได้พบกับใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับนักพรตเลว! ในโลกนี้!
นี่เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่เลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อก่อนนักพรตเลวเคยพูดว่าครอบครัวของเขาคงไม่เหลือใครแล้ว ไม่อย่างนั้นนางก็สามารถหาคนจากวิชาบวกหยางได้ เพราะเมื่อก่อนนางคิดว่านักพรตเลวนั่นอยู่คนเดียวจริงๆ!
ความระแวดระวังฉายในดวงตาของซู่ฉงโจว "ซวนหยวนคง?"
โหลชีโกรธในทันทีแล้วทุบกำปั้นต่อหน้าเขา "เจ้าลองเฉไฉหยั่งเชิงอีกสิ กูจะซัดเจ้าให้ตายไปเลย!"ไม่มีใครรู้ว่านางตื่นเต้นแค่ไหน ร้อนใจแค่ไหนที่นางจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักพรตเลวที่นี่ และตอนนี้ในที่สุดนางก็ได้พบกับใครบางคนในตระกูลซวนหยวนแล้ว เขากล้าดียังไงถึงได้ชักช้าแบบนี้!
ผู้ชายสามคนในห้องตกใจกับนาง
ยังต้องพูดกูอีกงั้นรึ?
ซู่ฉงโจวโพล่งออกมา "ซวนหยวนคงเป็นอาสามของข้า!"
"เจ้ารู้จักจ้าวหยุน?"
"อืม ผ่านอะไรมาด้วยกันนิดหน่อย เขาบอกว่าน่าเสียดายที่ต้องเสียตำแหน่งนั้นไป ดังนั้นตอนข้าไม่อยู่ก็เลยส่งคนมาช่วยที่เกิดเหตุ"
โหลชีพูดไม่ออก พวกเจ้าเป็นข้าราชการเช่นนี้ หาใครมาปลอมได้ตามใจ ยู่ไท่จื่อรู้หรือไม่?
"แล้วเมื่อสักครู่แสร้งทำเป็นคนตระกูลเฉินทำไม?"โหลชีเห็นใบหน้าที่มืดมนของเฉินซ่า และเพียงแค่ถามคำถามทั้งหมด
ดวงตาของซู่ฉงโจวหันมองไปมาตรงใบหน้าของพวกเขา"หรือว่าเมื่อครู่ข้าอธิบายไม่กระจ่างหรือ? แม่ของข้าชื่อเฉินเซียง องค์หญิงเฉินเซียง ก็คือตระกูลเฉิน ความปรารถนาตลอดชีวิตของพ่อข้าคือการตามหาตระกูลเฉินและค้นหาความจริงในปีนั้น!"
โหลชีและเยว่ตกตะลึง เมื่อครู่พูดถึงราชตระกูลซวนหยวน และตอนนี้มีเจ้าหญิงเฉินเซียงมาอีกคน เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลเฉินก็เป็นราชตระกูลด้วย?
"แต่พวกเรารู้แค่ราชตระกูลตงชิง เป่ยชาง ซีเจียง หนานเจียง ราชตระกูลซวนหยวนและราชตวงศ์เฉินมาจากไหน"
"แล้วเจ้าเคยได้ยินเรื่องลัทธิสิ้นโลกีย์ไหม?"ซู่ฉงโจวถาม
ใบหน้าของโหลชีขรึมลงทันทีที่ได้ยินลัทธิสิ้นโลกีย์ "จะไม่เคยได้ยินได้อย่างไร"
"ไม่มีใครรู้ว่าลัทธิสิ้นโลกีย์อยู่ที่ไหนใช่ไหม? อันที่จริงลัทธิสิ้นโลกีย์ตั้งอยู่ที่ชายแดน ลัทธิสิ้นโลกีย์ ติดอยู่ที่นั่น"
โหลชีล้มลง
ฆ่านางเถิด ยังจะเกี่ยวข้องกับลัทธิสิ้นโลกีย์
อีกความหมายของซู่ฉงโจวคือเขาและเฉินซ่าอาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็ได้ เขาแอบเข้ามายังพั่วอวี้ก็เพื่ออยากตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเฉินซ่าจะมาจากราชวงศ์เฉินหรือไม่ แต่ตอนนี้ตำหนักจิ่วเซียวได้รับการคุ้มกันแน่นหนา ไม่อาจเข้าไปได้ตามใจชอบ และถึงแม้จะเข้าไปได้ก็ไม่แน่ว่าจะสืบได้ข้อมูลอะไร เพราะเรื่องแบบนี้เฉินซ่าไม่มีทางบอกลูกน้องเขาแน่นอน ในเวลานี้ เขานึกถึงบทตำนานวิปลาสของตระกูลเฉิน ซึ่งเป็นของตระกูลเฉิน และมีเพียงตระกูลเฉินเท่านั้นที่เคยเห็น ถ้าเฉินซ่ารู้เกี่ยวกับกลองขวัญเขาต้องมาจากราชวงศ์เฉิน! และเขาเป็นสมาชิกของราชวงศ์เฉิน
เฉินซ่าไม่สามารถหักล้างสิ่งนี้ได้
"ในตอนนั้นพ่อของข้าพูดว่า มีเพียงตระกูลเฉินเท่านั้นที่มองเห็นได้" เฉินซ่าพูดช้าๆ บทตำนานวิปลาส กลองอหังการหนังคน อาจเป็นแม่ทัพฝ่ายตน ถ้าหากออกมาก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาไม่ได้พูดถึงซู่ฉงโจวเกี่ยวกับซวนหยวนจ้านในเขตหวงห้ามของเผ่าชักมังกร หรือแม้แต่ข่าวของนักพรตเลว นางก็ถามไปแค่สองสามคำเท่านั้น
ตัวตนของซู่ฉงโจวยังต้องพิสูจน์ให้ชัดเจน จะให้เชื่อเรื่องราวทั้งหมดแบบนี้ได้อย่างไร
"พ่อของข้าดูไม่เหมือนสมาชิกราชตระกูลเลย"เฉินซ่าเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดแบบนี้ โหลชีตกตะลึงครู่หนึ่งและเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
หากสิ่งที่ซู่ฉงโจวพูดเป็นความจริง แสดงว่าพ่อแม่ของเขาอาจไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเขา
ข่าวที่ซู่ฉงโจวนำมาทำให้ทั้งคู่เงียบไปสองวัน จนถึงวันนี้อิ้นเหยาเฟิงเข้าไปหาโหลชี
"พระสนม การทดสอบครั้งที่สองจะเริ่มเมื่อใด?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ