ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 37

ทั้งสองคนโผล่ขึ้นผิวน้ำพร้อมกัน และหอบหายใจอย่างเร่งรีบ

เทียนอิ่งหอบหายใจเสร็จ หันมาบอกโหลชีทันที "ขอบพระคุณแม่นางโหลที่ช่วยชีวิตข้าไว้"

"ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นคนฉลาด ที่แท้ก็โง่เง่า ร้อนใจมีประโยชน์อันใดกัน?" โหลชีถลึงตาใส่เขา เมื่อครู่ถ้านางช้าไปอีกแค่ครึ่งวินาที เขาต้องโดนหนอนประหลาดนั่นกัดแน่ ไม่ใช่นางขู่เขานะ โดนหนอนประหลาดนั่นกัดเข้า ไม่มีทางรักษาจริงๆ ! นักพรตเลวบอกเขาคิดค้นวิธีมาหลายปียังคิดไม่ออกเลย!

พูดจบ นางก็สูดลมหายใจเข้าลึก ดำน้ำลงไปอีก เทียนอิ่งรีบตามลงไปทันที

ส่วนรากของหญ้าหยินหยางทุกต้นจะมีหนอนประหลาดแค่หนึ่งตัว มันโดนโหลชีฆ่าไปแล้ว เทียนอิ่งเห็นโหลชีถือมีดสั้นกรีดนิ้วมือตนแผ่วเบา ยื่นเลือดสดๆ เข้าไปแตะที่หญ้าหยินหยางต้นนั้น ภาพเหลือเชื่อบังเกิดขึ้นแล้ว

หญ้าหยินหยางนั้นกลับเหมือนมีชีวิต เริ่มดูดซึมเลือดสดของโหลชี! เทียนอิ่งรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงจ๊วบๆ ที่คล้ายกำลังดื่มกินคำโตเลยทีเดียว!

มันอัศจรรย์จนเกินกว่าเขาจะเชื่อได้!

ด้วยความเร็วในการดูดซึมเช่นนี้ ต้องดูดซึมเลือดเท่าไหร่กันแน่?

แต่ตอนนี้เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เขาไม่มีหนทางช่วยนางได้เลย และไม่รู้จะช่วยอย่างไรดีด้วย! คิดอยู่ชั่วขณะ แล้ว เขากัดนิ้วตัวเอง ทำท่าจะยื่นเข้าไป หากโหลชีกลับส่ายหน้า

เขาไม่กล้าทำอะไรโดยพลการอีก ได้แต่มองดูหญ้าหยินหยางต้นนั้นดูดซึมเลือดนางอย่างบ้าคลั่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง โหลชีถึงดึงมือออก และเก็บมีดสั้นเข้าที่ ยื่นนิ้วเข้าไปขุดหญ้าหยินหยางต้นนั้นออกมา เทียนอิ่งรู้สึกว่าวิธีการของนางมันดูพิเศษอยู่เช่นกัน ขุดด้านนั้นสองที ขุดด้านนี้สองที คล้ายกับกำลังค่อยๆ ขุดไม่ให้โดนรากของหญ้าต้นนั้น

มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์จริงๆ ต้องเคยทำตามสถานการณ์จริงมาก่อนถึงทำเป็น ไม่ใช่แค่พูดปากเปล่าสองสามคำแล้วจะทำได้

ในที่สุดก็ขุดหญ้าหยินหยางต้นนั้นออกมาได้แล้ว นางเก็บมันเข้าขวด และเติมน้ำจนเต็ม ปิดฝาขวด

ทั้งคู่โผล่ขึ้นผิวน้ำแล้ว โหลชีถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

แต่เทียนอิ่งกลับไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะสีหน้าโหลชีซีดเผือด!

ต้องให้เขาช่วย นางถึงปีนขึ้นหินก้อนนั้นได้ พอขึ้นไป นางนอนแบบหอบหายใจ ไม่ขยับตัวเลยสักนิด

ถ้าเป็นเพียงเสียเลือดมาก อาจจะมิได้อ่อนแอเพียงนี้ ดังนั้นการที่หญ้าหยินหยางดูดซึมเลือดคงไม่ดูง่ายดายเพียงนั้น! แต่เทียนอิ่งขยับริมฝีปากอยู่นานก็มิได้ถามออกมา นิสัยเขาค่อนข้างเงียบนิ่งอยู่แล้ว ในฐานะองครักษ์ลับ มีแต่ทำตามคำสั่ง รับคำสั่ง แต่จะไม่ถามให้มากความ

ถึงในใจเขาจะร้อนรน แต่รู้สึกว่าควรให้โหลชีพักผ่อนเสียก่อนเช่นกัน

แต่ว่าเขาเห็นโหลชีหยิบเม็ดยาจากช่องเอวออกมาใส่ปากอย่างมือสั่น และกวักนิ้วเรียกเขาเข้าไปบอกว่า "ไป พาข้าออกไป เจ้ายังไหวกระมัง?"

ในฐานะองครักษ์ลับปากหนัก ยังถือสาเวลาคนอื่นถามว่าไหวมิไหวอยู่เช่นกัน!

เทียนอิ่งไหวอยู่แล้ว

หลังจากพานางเหาะออกจากถ้ำ ฟ้าด้านนอกสว่างโร่แล้ว เพื่อประหยัดเวลา เทียนอิ่งแบกนางขึ้นหลัง เร่งวิชาตัวเบาเหาะออกจากป่า รอจนพวกเขาออกจากป่า แสงตะวันเริ่มเจิดจ้า แต่ในสายตาพวกเขามันกลับมิใช่เรื่องดีเลย

โหลชีผิวปากเรียก ท่าเสวี่ยรีบวิ่งเข้ามาหาจากที่ไม่ไกล ม้าของเทียนอิ่งตัวนั้นตามติดมาด้านหลัง

ทั้งคู่ขึ้นหลังม้า และทะยานพุ่งตรงไปยังตำหนักจิ่วเซียว

ในห้องประชุมตำหนักจิ่วเซียว เฉินซ่านั่งตำแหน่งประธาน มองผู้คนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าทะมึน แววตาโกรธเกรี้ยว

คนที่คุกเข่าอยู่หน้าสุดคือเจิงหลิวหยุนกับองครักษ์เสวี่ย และด้านหลังพวกเขาเป็นพ่อบ้านใหญ่คนอื่นของตำหนักจิ่วเซียว

ยามดึกองครักษ์เสวี่ยกับเจิงหลิวหยุนเข้าไปในตำหนักสามไม่ได้ เลยคุกเข่าอยู่ด้านนอกห้องประชุม เทียนยีรายงานเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง เดิมเขาไม่อยากสนใจ แต่ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งตามติดเขามายาวนานที่สุด เขาจึงมา

"ฝ่าบาท ขอได้โปรดออกคำสั่งให้พวกข้าตามจับไส้ศึกโหลชี!"

เจิงหลิวหยุนทวนคำพูดนี้อยู่เรื่อยๆ เขาทวนมันสามครั้งแล้ว แต่เฉินซ่ากลับทำเพียงแค่มองเขาด้วยสายตาเคร่งขรึมไม่ตอบอะไร ดี ดีมาก เหตุที่พวกเขาคุกเข่าเยี่ยงนี้ เพื่อบังคับให้เขาออกคำสั่งตามจับโหลชี

"นายท่าน โหลชีแฝงตัวลอบเข้าตำหนักจิ่วเซียว ทำลายค่ายกลดิถีพิฆาตที่เขาชา ปล่อยตัวองค์ชายแห่งซีเจียงซีฉางหลีจากไป ฆ่าองครักษ์ประจำคุกของเราไปสิบเอ็ดคน ทำร้ายแม่ทัพเจิงกับหัวหน้าผู้คุ้มฮั่ว หากมิใช่เพราะฝ่าบาทวิทยายุทธ์แก่กล้า ผลลัพธ์มิอาจคาดคิดได้เลย! คนชั่วช้าเลวทรามเยี่ยงนี้ พั่วอวี้จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไร?" องครักษ์เสวี่ยหน้าซีดเผือด ดูไม่สบายเลย หากยังคุกเข่าพูดด้วยท่าทีดื้อรั้น

"อ้อ งั้นเจ้าว่า จับนางได้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?"

"ฆ่าสิขอรับ!"

คนที่ไม่เข้าใจที่สุดคือองครักษ์เสวี่ย นางได้รับบาดเจ็บสองครั้ง บวกกับความโกรธสุมอก ตอนนี้แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ออกคำสั่งตามจับนังแพศยานั่น นางข่มใจไม่ได้!

เงยหน้าขึ้นมองเฉินซ่า นางรู้ว่าคนผู้นั้นในใจเขามิใช่โหลชี ไม่ใช่นี่ หรือว่ามีผู้อื่นสามารถเข้าไปในใจเขาได้? ไม่ ไม่ นางไม่เห็นด้วย!

"ขอรับ ฝ่าบาท" ฮั่วหยูฉุนกลับถอนหายใจพลางรับคำสั่ง

ที่นี่มีเพียงเขาและองครักษ์อิงองครักษ์เยว่มิได้คุกเข่า

ถึงครั้งนี้เขาจะโดนจับกุมจากการบุกโจมตีของซีฉางหลี และยังได้รับบาดเจ็บ หากเขาไม่ได้โยนความรับผิดชอบไปให้โหลชี บ่ายเมื่อวานวิธีทำลายค่ายกลของนางนั้น ท่าทีไม่ยี่หระนั้น ไม่ว่าจะมองเยี่ยงไรก็ไม่มีทางเป็นไส้ศึก! ถึงต่อมาจะหาคนมิพบ และไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นนางไปที่ใด แต่ฝ่าบาทเชื่อ เขาก็เชื่อนาง

คนพวกนี้มองไม่ชัดเจน ฝ่าบาทของพวกเขาอายุสิบสามก็ครอบครองทั่วหล้าแล้ว หากเป็นคนดูคนไม่เป็น โดนสตรีหลอกเอาได้ง่ายดายเยี่ยงนั้น จะนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เยี่ยงไรกัน?

"พวกเจ้าอยากคุกเข่า ก็คุกเข่าที่นี่" เฉินซ่าลุกขึ้นยืน ปรายตามองพวกเขา สะบัดชายเสื้อเดินออกไป

"นายท่าน..."

องครักษ์เสวี่ยมองตามแผ่นหลังเขา กัดปากแน่น หลุบตาลงซ่อนความเกลียดในแววตาไว้ ทำไม? เพราะอะไรกัน? ต่อให้เขาจะปกป้องนังแพศยานั่น ต่อให้เขาไม่ยอมฆ่ามัน แล้วนางเล่า?

เฉินซ่าไม่ได้หันกลับมา

เหลือผู้คนที่นั่งคุกเข่ามองสบตากันไปมา

องครักษ์เยว่มองพวกเขา นิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนพูดเสียงเรียบว่า "ฝ่าบาทปกครองพั่วอวี้เพียงหนึ่งปี ทุกท่านส่วนใหญ่เป็นคนเก่าคนแก่ในจวนเจ้าเมืองเดิมหรือเป็นคนในพั่วอวี้ ต่อมายอมสยบศิโรราบให้กับอำนาจของฝ่าบาทจึงยอมเป็นลูกน้องของฝ่าบาท เวลาเพียงหนึ่งปีคงยังไม่พอให้พวกเท่านเข้าใจฝ่าบาทกระมัง แต่ว่าหลายเรื่องต้องใช้สมองครุ่นคิดให้ดี"

คนอย่างฝ่าบาท เป็นผู้ที่ไม่ชอบให้มีคนคุกเข่าบีบคั้นให้เขาตัดสินใจเด็ดขาด

เขาเดินมายืนหน้าเสวี่ย มองดูนางพลางถอนหายใจ "เสวี่ย ตอนนี้เจ้าโดนปิดกั้นดวงตา ยิ่งมองยิ่งมองไม่ชัดเจน เดิมทีเจ้าน่าจะเป็นคนที่เข้าใจนายท่านมากที่สุด ระวังตัวเองไว้เถิด"

องครักษ์เสวี่ยมองเขาเดินผ่านตนไป นางกัดปากจนแทบจะเลือดออก

นางควรจะเป็นสตรีนางเดียวข้างกายเฉินซ่าถึงจะถูก! เงาเลือนรางนั่นมีอยู่ก็ช่างเถิด ถือสิทธิ์อะไรให้นักแพศยาที่มิรู้โผล่มาจากไหนได้รับสิทธิ์นี้ด้วย?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ