ระบำ แน่นอนว่าไม่ใช่การเต้นรำจริงๆ นั่นเป็นระบำเลือดสาด ระบำแห่งความตาย เป็นระบำแห่งนรกขุมที่เก้าอันเย็นเฉียบ ทุกการวาดกระบี่ครั้งหนึ่งของเฉินซ่า ทุกการผายแขน ทุกเงากระบี่ฝ่ามือลม การเคลื่อนไหวสะพรึงถึงที่สุด
ฟึบ
กระบี่ฟันขวางลง ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าถูกฟันเป็นสองส่วนทันที มือซ้ายซัดพระพายออกไป กะโหลกศีรษะคนหนึ่งถูกซัดจนกลายเป็นเนื้อบดสีแดงกองหนึ่งราวกับแตงโม
กลิ่นคาวเลือด ความโหดเหี้ยม ความเย็นชา ความพรั่นพรึง พวกเขาหวาดกลัว พวกเขาอยากล่าถอย อยากหนี แต่เฉินซ่าไม่ให้พวกเขาแม้แต่โอกาสหนี
ก้าวย่างออกไป อายกระบี่คลุ้มคลั่ง ยามนี้เสียงอเนจอนาถดังระงมเป็นแห่งๆ โดยพลัน อายโลหิตเป็นผืนแผ่น
โหลวซิ่นชะงักงันมองภาพนี้ เอ่ยพึมพำ "วรยุทธ์ของฝ่าบาท...เหตุใดจู่ๆ จึงเพิ่มพูนมากขนาดนี้..."
เดิมทีวรยุทธ์ก็สูงถึงที่สุดอยู่แล้ว ยามนี้เรียกได้ว่าน่าสะพรึง!
น่าสะพรึงจนพวกเขายังไม่ทันรู้ตัว นอกจากพวกเขาแล้ว เบื้องหน้าไม่มีศัตรูคนไหนยืนอยู่สักคน เบื้องหน้าศพระเนระนาดทั่วทุกหนแห่ง ขาขาดแขนสะบั้น โลหิตนองเต็มพสุธา เฉกเช่นนรกภูมิอสูร แม้แต่เฉินซ่าที่สังหารยอดฝีมือสิบกว่าคนในพริบตาเองก็มีโลหิตเปื้อนทั่วตัวเช่นกัน
กระบี่ยาวในมือเขายังแทงตรงเข้าทรวงอกคนผู้นั้นอยู่ มือหนึ่งเขากุมด้ามกระบี่ เบือนศีรษะมองมาอย่างฉับพลัน ดวงตาคู่นั้นกลับยังเต็มไปด้วยจิตสังหาร สายตาที่มองพวกเขาอำมหิตไร้อารมณ์
อิงรู้สึกแปลกโดยพลัน
เขาเรียกขานแบบหยั่งเชิง "นายท่าน?"
เฉินซ่ากลับชักกระบี่ออกอย่างรวดเร็ว นำพาศรโลหิตสายหนึ่ง กระบี่ที่เปื้อนเลือดหันหัว เล็งมาที่เขา ถูกเฉินซ่าใช้กระบี่ชี้อย่างนี้ ต้องเป็นประสบการณ์ขย่มขวัญอย่างหนึ่งแน่ การเต้นของหัวใจพวกอิงทั้งสามหยุดครึ่งจังหวะชั่วขณะ
นัยน์ตาทั้งคู่ของเฉินซ่ายังคงแดงเหมือนเลือด ดูแล้วเหมือนอสูรกายมาก
ริมฝีปากบางเผยอนิดๆ โพล่งออกคำหนึ่งด้วยเสี่ยงทุ้มต่ำ "ฆ่า"
"ฝ่าบาท!" เทียนอิ่งตกตะลึง แบบนี้ทำไมเหมือนเห็นพวกเขาเป็นศัตรูเช่นนั้น จะปลิดชีพพวกเขาด้วยหรือ? ฝ่าบาทฆ่าคนจนจิตใจขุ่นมัวแล้วหรืออย่างไร?
"นายท่าน!"
อิงเรียกเสียงหนึ่งแล้วคิดขึ้นหน้า โหลวซิ่นกลับดึงเขาไว้ มองกระบี่ในมือเฉินซ่า "พวกเจ้าดูกระบี่นั่น!"
การสังเกตของอิงกับเทียนอิ่งถึงตกอยู่บนกระบี่เล่มนั้น เมื่อดูแล้ว พวกเขาต่างสูดลมเย็นเฮือกหนึ่ง เห็นเพียงกระบี่ที่มีประกายมืดในความดำในมือเฉินซ่าในแต่เดิมเล่มนั้น บัดนี้ตัวกระบี่กลับมีหมอกสีดำทะมึนอบอวลอยู่ ความดำชนิดนั้น ราวกับอายมรณะไร้ที่สิ้นสุด ติดพันกับตัวกระบี่ กระบี่ยาวสั่นระริกตลอด คล้ายหวีดหวิวเบาๆ พวกเขาฟังแล้วเหมือนเสียงแห่งการริบชีวัน
"กระบี่เล่มนี้พิลึก!"
จิตใจโหลวซิ่นตึงเครียด แม้เขาพูดไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ติดตามโหลชีมานาน กับเรื่องพิลึกพิลั่นเช่นนี้กลับมีปฏิกิริยาเร็วกว่าไม่มากก็น้อย "ข้าจำได้ว่าตอนที่ฝ่าบาทได้อาวุธวิเศษนี้มา เจ้าบ้านเซียวเคยบอกว่าอาวุธวิเศษนี้จิตวิญญาณกระบี่พร่องไป อาจเพราะวัสดุที่หล่อหลอมมันได้มาจากดินแดนแห่งการห้ำหั่นนองเลือด แทรกซึมความชั่วร้ายลึกเกินไป หรือว่า...หรือว่ายามนี้มันย้อนกลับมาควบคุมสติของฝ่าบาทแล้ว?"
กล่าวโดยง่ายหน่อยก็คือ กระบี่เล่มนี้เริ่มกระหายเลือดแล้ว อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเฉินซ่าด้วย ดังนั้นตอนนี้เขายังอยากฆ่า ฆ่าๆๆ!
อิงกับเทียนอิ่งต่างฟังความหมายของเขาชัดเจนแล้ว ในใจเป็นความตื่นตระหนก หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นตอนนี้ในสถานการณ์ที่พวกเขาทั้งสามบาดเจ็บ ฝ่าบาทคงเอาชีวิตได้ในกระบวนท่าเดียวกระมัง!
"นายท่านต้องการฆ่าเราจริงก็ฆ่าไปนานแล้ว..." อิงกัดฟันเดินไปทางเฉินซ่า ไม่ว่าอย่างไร เขารู้สึกว่าองค์จักรพรรดิที่เป็นเช่นนี้แปลกประหลาดเล็กน้อย นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน แต่พระองค์ในสภาพเช่นนี้ยังดั้นด้นมาช่วยพวกเขา แต่ทำให้จิตใจพวกเขาสนั่นหวั่นไหว บอกว่าแม้ฝ่าบาทดูแล้วโหดเหี้ยมไร้ที่เปรียบ แต่ยังให้ความสำคัญกับพวกเขายิ่งนักใช่หรือไม่!
เพียงแต่เขาเพิ่งเดินไปสองก้าว เฉินซ่าก็ใช้มือซ้ายล็อกมือขวาที่จับกระบี่ของตัวเองแน่น ใช้กำลังกด อาวุธวิเศษนั้นดิ้นรนร้องเสียงหนึ่ง เหมือนความดื้อรั้นที่ถูกข่มอยู่
เฉินซ่าตวาดเสียงหนัก "หยุด! ความกระหายเลือดของกระบี่นี้เผยออก ข้าก็ยากจะควบคุม ยามนี้ได้แต่ฆ่าล้างเพื่อระงับเอาไว้ พวกเจ้าเข้าใกล้ข้าไม่ได้ ใส่ยาแล้วก็ไปหาชีชี"
ว่าแล้วเขาก็หันตัวทันที ร่างกายอยู่ห่างออกไปหลายจั้งในพริบตา ความเร็วนั้นเร็วจนแปลกประหลาดอัศจรรย์
พวกอิงทั้งสามมองหน้ากัน ต่างเห็นความตื่นตระหนกและกังวลจากดวงตาอีกฝ่าย
"โหลวซิ่นเจ้ากล่าวไว้ไม่ผิด นายท่านพยายามควบคุมอาวุธวิเศษเล่มนั้นอยู่อย่างสุดความสามารถ! เช่นนั้นต่อไปจะเป็นปัญหาหรือไม่? รีบไปหาโหลชี บางทีนางอาจมีวิธี!"
นี่ก็คือจุดที่พวกอิงฉงนใจตั้งแต่แรก ทว่านางได้กลิ่นหอมของยานอกป่า ตัวยานั้นต้องอยู่ชายป่าแน่ เหตุใดเข้าป่าไปแล้วกลับไม่พบร่องรอยผู้คน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าตัวยานั้นกลับเป็นเขาของสัตว์ตัวหนึ่ง ครั้นเข้าไปในป่า พวกเขาก็ไล่ตามมันเต็มกำลัง อีกอย่าง ในระหว่างนี้ ขณะที่โหลชีสอนพวกเขาว่าจะอำพรางตัวเองในป่าทึบได้อย่างไรนั้น ความเร็วก็ยิ่งเร็วขึ้น
ส่วนพวกอิงเดินเข้าทางตรงตลอดทาง คิดไม่ถึงว่าพอโหลชีเข้าป่าก็เบี่ยงไปทางซ้ายแล้ว ดังนั้นจะไล่ตามนางทันได้อย่างไร?
ขณะที่พวกเขาร้องเรียก โหลชีก็ลงหน้าผาไปแล้ว ไม่ได้ยิน
ครั้นคลาดกัน ก็ทำให้เฉินซ่าเกิดความเปลี่ยนแปลงดังนั้น
เวลานี้ในเหว โหลชีชูมือทำท่าหยุดพัก แปดคนที่อยู่ด้านหลังนางจึงหยุดย่างเท้า เพราะความตื่นเต้น พวกเขาต่างกลั้นลมหายใจ
แปดคนนี้คือพวกที่มีวรยุทธ์แกร่งที่สุดในกลุ่ม หลังจากเห็นโหลชีลงหน้าผาแล้ว พวกเขาก็อาศัยความห้าวหาญเยี่ยงคนมีฝีมือ และเพราะอยากเรียนวิชากับโหลชีมากอีกหน่อย จึงตามลงมาทันที
เพียงแต่ตามลงมาแล้ว พวกเขาถึงพบว่าก้นผาน่ากลัวนัก แถมแพล็บเดียวก็พบว่าเวียนศีรษะเท้าอ่อน ดีที่โหลชีให้ยาถอนพิษพวกเขาทันที ส่วนพวกเขากลับพบว่านางกลับไม่ได้กิน สดชื่นยิ่งกว่าพวกเขามากนัก
เดิมทีโหลชีอยากให้พวกเขาขึ้นไป แต่คิดอีกที นี่ไยมิใช่การฝึกอย่างหนึ่ง หากกลัวอันตรายและความไม่รู้ เช่นนั้นก็ออกจากกลุ่มไปเร็วหน่อยจะดีกว่า
ไอพิษก้นผา จากการพิจารณาของนาง น่าจะแพร่ออกมาจากหญ้าที่เจริญงอกงามอยู่รอบบริเวณนั้น
"ระวังหน่อย หญ้าพิษพวกนี้เติบโตดีเช่นนี้ หากเป็นสัตว์ป่าที่ดำรงอยู่ที่นี่ได้ เช่นนั้นก็ต้องมีพิษเหมือนกัน หรือไม่ก็กลายเป็นพวกแกร่งผิดปกติ ถึงจะเป็นยุงสักตัว พวกเจ้าก็อยากได้ประมาท"
เสียงของโหลชีดังขึ้นเบาๆ ทั้งแปดคนขานรับพร้อมกัน แต่ทหารเล็กๆ หน้าตาน่ารักดูแล้วอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปด ในดวงตากลับแวบแสงประหลาดเล็กน้อย เพียงแต่ไม่มีคนค้นพบ
หากบอกว่าที่นี่คือเหว มิสู้บอกว่าเป็นร่องลึกที่แยกออกจากตอนแผ่นดินไหวเมื่อร้อยปีก่อนจะดีกว่า เพราะสายลมพิรุณร้อยปีแปรเปลี่ยน ข้างในเต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด และอาจเป็นเพราะยากได้พบพานแสงตะวันที่สั่งสมมานานเนิ่น ดังนั้นจึงเย็นชื้น อุณหภูมิก็ต่ำกว่าข้างบนไม่น้อย
ก้นเหวขาดนี้ก็เป็นเพียงเส้นทางแคบเล็กสายหนึ่ง ความกว้างเดินเรียงกันได้แค่สองสามคน สัตว์น้อยตัวนั้นกระโดดลงมาแล้วก็มุดเข้าข้างหน้าอย่างรีบเร่ง โหลชีนำคนตามพักหนึ่ง ถึงปากถ้ำดินที่อ่อนนุ่มข้างหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ