"ไอ้เด็กจาง เจ้าก็ไปเลย สมบัติทั้งหลายล้วนเป็นของเจ้า ข้าไม่ขอมีส่วนร่วมด้วย"
โหลชีพูดแล้วก็ถอยหลังไปยังด้านนอกถ้ำ
"พระสนม......"หลินเสิ้งเวยลังเลอยู่ชั่วครู่ พระสนมจะไม่ไปดูทางนั้นจริงหรือ เช่นนั้นก็น่าเสียดายมาก ทำไมต้องเสียเปรียบเจ้าสารเลวนั่นด้วย
พวกหลินเสิ้งเวยต่างก็เกลียดจางมิ่งมาก คนที่อายุใกล้จะสี่สิบปีแล้วยังมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหมือนหนุ่มน้อย ยังหลอกพวกเขามาเป็นเวลานานอีกด้วย ตอนนี้มาคิดดูแล้วช่างน่ารังเกียจจริงๆ
โหลชีกลับส่งสัญญาณมือให้พวกเขา ให้พวกเขาถอยไปทางด้านทันที
จางมิ่งคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าโหลชีจะสามารถต้านทานแรงดึงดูดของแสงทองวิบวับและสัตว์น้อยตัวที่อยู่ทางนั้นได้ ไม่คิดที่จะไปสำรวจหาของมีค่าเลยด้วยซ้ำ ทำให้รู้สึกนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นดวงตาก็เกิดความขุ่นมัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นก็คิดจะฟาดฝ่ามือไปยังทหารที่เพิ่งจะถูกเขาโยนออกไปยังก้อนหินที่อยู่ข้างๆ "ถ้าเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าหนุ่มคนนี้ก่อน ......"
เมื่อครู่นางต้องการจะช่วยทหารคนนี้ เขาไม่เชื่อว่านางจะทิ้งคนคนนี้เอาไว้ที่นี่โดยไม่สนใจ และพาคนที่เหลืออีกหกคนไปเท่านั้น
แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองคิดผิดอีกแล้ว
โหลชีก็หันหน้ามายิ้มหวานให้เขาอีกครั้ง "ไอ้เด็กจาง คนของเจ้า อยากฆ่าก็ฆ่าเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าอยากจะเอาไปนิ่งซีอิ๊ว จะเอาไปทำเนื้อน้ำแดง หรือจะปัดเขาทิ้งลงไปในความว่างเปล่าเลยก็ดีนะ ทั้งสะอาดและไม่ยุ่งยาก"
ไม่เพียงแต่จางมิ่งที่นิ่งอึ้ง ทหารคนนั้นก็อึ้งตามไปด้วย แม้แต่พวกหลินเสิ้งเวยก็ตกตะลึงไปตามๆกัน
ทหารอีกคนหนึ่งที่ชื่อหวูเสี้ยวหยู่สายตาเผยความไม่พอใจ พูดกับโหลชีว่า "พระสนม อากว๋อเขา......"
พวกเขาต่างก็คิดว่าเป็นเพราะโหลชีไม่มีทางช่วยทหารคนนั้นได้แล้ว ฉะนั้นจึงได้เลือกที่จะทิ้งเขาเอาไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจางมิ่งจะกัดฟันถลึงตาจ้องมองโหลชีขึ้นมาทันที "เจ้าดูออกได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนของข้า"
โหลชีกะพริบตา "ไอ้เด็กจาง เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร ถ้าหากเจ้าต้องการฆ่าเขา คงฆ่าเสียตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะต้องมาทำท่าทางอยู่ตั้งนานแต่ไม่ลงมือสักที ก่อนหน้านี้ที่เจ้าถูกข้าบีบให้ไปอยู่บนก้อนหินอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าก้อนหินก้อนที่เขาอยู่นั้นเป็นก้อนที่อยู่ใกล้ที่สุดและใหญ่ที่สุด ในสถานการณ์เช่นนั้น ถ้าหากพวกเจ้าเป็นศัตรูกัน และวรยุทธของเจ้าก็สูงส่งกว่าเขามากนัก ย่อมต้องกระโจนเข้าไปและเตะเขาลงไป แต่เจ้ากลับยอมให้เขาอยู่บนหินก้อนนั้น ตัวเองกลับเลือกก้อนที่เล็กที่สุด"
"จุ๊ ตอนนี้ยังจะมาแสดงเป็นไก่ทองยืนขาเดียวอีก ต้องบอกว่า ความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเจ้า ทำเพื่อเขาอย่างสุดหัวใจ ช่างทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจมากจริงๆ พวกข้าไม่ขอรบกวนเจ้าทั้งสองแล้ว ขอให้เจ้าทั้งสองความรักมั่นคง อยู่กันจนแก่เฒ่า"
ฟู่
เดิมทีพวกหลินเสิ้งเวยที่ถูกความจริงในเรื่องนี้ทำเอาตกตะลึงอยู่ อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
คิดไม่ถึงเลยว่า คนที่อยู่ร่วมกับพวกเขาทุกวัน จะมีสองคนที่เป็นคนทรยศ เดิมทีควรจะรู้สึกโกรธมาก แต่พอได้ยินคำพูดของโหลชี พวกเขาก็เอาแต่หัวเราะขำ ไหนเลยจะนึกถึงเรื่องโมโหขึ้นมา เพราะว่า เห็นใบหน้าของพวกเขาสองคนที่แดงก่ำจนแทบจะกระอักเลือดออกมาหลังจากที่ถูกพระสนมของพวกเขายั่วโมโห ช่างสะใจเสียจริง
ทหารคนนั้นถูกโหลชีเปิดโปง แบกใบหน้าที่แดงก่ำเอาไว้ ไม่แสดงละครอีกต่อไป ลุกขึ้นยืนบนก้อนหิน พูดกับจางมิ่ง "ท่าน ข้าน้อยจะฆ่าคนชั้นต่ำคนนั้นเอง"
"หุบปาก"จางมิ่งตะคอกใส่เขา หันหน้าไปมองโหลชี "สาวน้อย ทางที่ดีเจ้ามาเองจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าให้ข้าลงมือเองจะไม่มีการปรานีอย่างเด็ดขาด ข้ารู้ว่าวรยุทธของเจ้าไม่เลว ในระยะห่างเช่นนี้ข้าอาจจะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าต้องคิดให้ดี คนที่จะฆ่าเจ้าหนุ่มที่อยู่ข้างกายเจ้าเหล่านั้นยังมีอีกเหลือเฟือ "พูดแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปทำท่าคว้าความว่างเปล่ากลางอากาศ ทหารคนหนึ่งไม่ทันระวังตัว ก็ลื่นไถลไปทางเขาทันที ร่วงหล่นลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
เขาบอกจะลงมือก็ลงมือเลย โหลชีไม่ทันจะได้ตั้งตัว เมื่อนางออกแส้ ก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว
ทหารคนนั้นร่วงลงไปในความว่างเปล่า สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเขาถูกความมืดมิดค่อยๆกลืนกินเข้าไป
ดูไม่ออกว่าความมืดมิดนั้นคืออะไร ไม่เหมือนหมอกควัน ไม่เหมือนของเหลว เบาหวิว เหมือนเป็นแค่สีคำธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น กลบทหารคนนั้นไปจนมิด จากนั้นก็ไร้ซึ่งร่องรอย
นอกจากความโมโหแล้วโหลชีก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ นี่มันคืออะไรกันแน่
ในใจนางโกรธเคืองมาก ต่อหน้านาง มีคนของตนเองตายไปเช่นนี้ คนเหล่านี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นยอดฝีมือในอนาคต แต่ต้องมาตายเช่นนี้
เจ้าสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักแก่ตัวนี้ จางมิ่งเหมือนได้ตอบโต้กลับแล้ว รู้สึกได้ใจมาก และพูดกับโหลชีว่า"เจ้าก็ไม่ต้องคิดจะหนีแล้ว เจ้าหนีได้ แต่ความเร็วของพวกเขาสู้ข้าไม่ได้ "
"พระสนมท่านรีบหนีไปเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกข้า"หลินเสิ้งเวยพูดแล้วก็ออกไปยืนบังอยู่หน้านาง
โหลชีกลับส่ายหน้าให้เขา เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จางมิ่งพูดถูก ตัวนางเองอาจจะสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่ว่าลูกน้องของนางทั้งหกคนคงหนีไม่พ้น วรยุทธของจางมิ่งแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก
อีกอย่าง เดิมทีนางเองก็ยินดีจะปล่อยโอกาสที่จะไปสำรวจยังอีกฝั่งของความว่างเปล่าไป อีกทั้ง สัตว์น้อยตัวนั้นนางก็ไม่อยากจะปล่อยไปเช่นนี้
เมื่อครู่นางใช้วิธีการถอยเพื่อรุก ก็เพราะว่าไม่เต็มใจจะดูเจ้าคนวิปริตเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้านางอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีความคิดสุขุม แต่กลับแกล้งทำเป็นคนยิ้มแย้มใจดี ทำเป็นตื้นเขินไม่รู้อะไร นางเองก็ชินกับการแสดงเสแสร้ง แต่กลับไม่อยากเห็นคนอื่นมาทำการแสดงต่อหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าปีศาจเฒ่าที่อายุใกล้จะสี่สิบปีแล้วแต่ใบหน้ายังคงอ่อนเยาว์เหมือนคนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีคนนี้
เขาจะทำการแสดง แต่นางจะทำลายแผนการนี้ของเขา เพราะนางคิดว่าที่เขาแสดงเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่
แผนการของจางมิ่งถูกโหลชีทำให้ปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด เขารู้สึกอึดอัดใจแทบตาย เดิมทีเขาไม่อยากจะมาที่นี่ด้วยตนเองอยู่แล้ว เพราะสถานที่แห่งนี้พิลึกเกินไป เขารักตัวกลัวตายมาแต่ไหนแต่ไร ไหนเลยจะยินดีให้ตัวเองไปเสี่ยงอันตราย แต่ว่าโหลชีได้บีบให้เขาต้องขึ้นมาอยู่บนหินก้อนนี้โดยที่เขาไม่ทันจะตั้งตัว เรื่องนี้ได้ทำให้เขารู้สึกโกรธอยู่ในใจเป็นอย่างมากแล้ว
"ฮึ"
จางมิ่งทำเสียงในลำคอ และได้ส่งสัญญาณให้ทหารที่ชื่ออากว๋อคนนั้นกระโดดไปด้านหน้า มองดูเขาที่กระโจนไปยังก้อนหินที่อยู่ข้างหน้า โหลชีก็รู้ว่าเขาคนนี้ก็เป็นยอดฝีมือ เมื่อครู่เป็นแค่การแสดงเท่านั้น
จางมิ่งก็กระโดดไปข้างหน้า โหลชีเป็นคนโดดก่อน รู้สึกเพียงว่าก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสั่นไหวชั่วครู่ ความรู้สึกนั้นเหมือนตอนที่ขึ้นเรือ โคลงเคลง แต่ก็สงบนิ่งอย่างรวดเร็ว
ในเวิ้งความว่างเปล่า แต่กลับไม่ได้รู้สึกไร้น้ำหนักเหมือนที่นางคาดเดาเอาไว้ เพียงแต่ร่างกายเบาลงเล็กน้อย เหมือนทำให้คิดไปเองว่าวิชาตัวเบาจะก้าวหน้าขึ้นมาก นี่จึงทำให้พวกเขาสามารถกระโดดไปยังก้อนหินอีกก้อนได้ง่ายดายขึ้น
พวกเขาต่างก็กระโดดไปข้างหน้าในความว่างเปล่า รู้สึกตัวเล็กมาก ช่วงแรกนั้นราบรื่นมาก หินแต่ละก้อนต่างก็รับน้ำหนักของพวกเขาได้อย่างมั่นคง สำหรับยอดฝีมือแล้ว เส้นทางเช่นนี้ไม่ยากเลยสักนิด แม้แต่หวูเสี้ยวหยู่ที่มีวรยุทธต่ำที่สุดก็ไม่รู้สึกว่าลำบากอะไร
ในขณะที่พวกเขาต่างก็รู้สึกผ่อนคลายอยู่บ้าง อากว๋อที่อยู่ข้างหน้ากระโดดเบาๆ กำลังจะแตะก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว ทำท่านี้ซ้ำๆจนนับไม่ถ้วน ทำให้เขาชะล่าใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเท้าแตะลงบนก้อนหิน ใต้ฝ่าเท้ากลับดิ่งลง เขาตกใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน กำลังจะดีดตัวโดดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาดิ่งลงไปเร็วกว่าที่เขาคิด ร่างของเขาก็ร่วงตามลงไปด้วย
"ท่านช่วยข้าด้วย"เขาตกใจมาก ร้องขอความช่วยเหลือทันที
ก้อนหินได้ดิ่งลงไปแล้ว เขาพบว่าเท้าของตัวเองไม่ได้เหยียบอยู่บนก้อนหิน ร่างกายก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันที วรยุทธของเขาก็นับว่าอยู่ในระดับสูง แต่พอจะดึงพลังออกมาใช้กลับทำไม่ได้ ภาพที่ทหารคนนั้นถูกกลืนเข้าไปในความมืดอย่างไร้ สุ้มเสียงยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ทำให้เขายิ่งรู้สึกหวาดกลัว
จางมิ่งดึงเข็มขัดออกมาทันที สะบัดออกไปเพื่อม้วนตัวเขา
แต่ว่าเข็มขัดนั่นยังไม่ทันจะม้วนตัวคนเอาไว้ได้ แส้สีดำเส้นหนึ่งก็เข้ามาขวางเอาไว้ มีดเล่มเล็กที่แหลมคม ตัดเข็มขาดของเขาจนขาดสะบั้นในครู่เดียว
ภายใต้การขัดขวางในครั้งนี้ อากว๋อได้ร่วงหล่นลงไปข้างล่างแล้ว สีดำได้เอ่อท่วมร่างเขา หลอมเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว มองไม่เห็นเงาอีกต่อไป
จางมิ่งโมโห จนเกือบจะกระอักเลือด
"อีนังสารเลว เจ้ากล้า......"
โหลชีเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉยว่า"เจ้าแก่สารเลว นี่ก็แค่การปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่เขาปฏิบัติต่อเราเท่านั้น"
เมื่อครู่เขาฆ่าคนของนางไปหนึ่งคน นางก็ฆ่าคนของเขาหนึ่งคน ยุติธรรมดีไม่ใช่หรือ อย่าคิดว่านางจะเป็นคนดีมีเมตตาขนาดนั้น ถ้าหากมีโอกาส แต่ไหนแต่ไรมานางเป็นคนที่มีแค้นก็ต้องได้รับการชำระในทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ