ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 414

โหลชีรู้สึกว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่เสียงเย็นชาของเฉินซ่าจะน่าฟังเท่ากับตอนนี้ นางหันขวับไปทันที เห็นว่าเฉินซ่ากำลังเหาะมา ร่างเขาเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ว่าท่าทียังคงสง่างามเช่นเดิม ที่ทำให้โหลชีตกตะลึงคือดวงตาทั้งคู่ของเขา

"ดวงตาของท่าน......"โหลชีถูกดวงตาแดงก่ำของเขาทำให้ชะงักไป แต่ว่ายังไม่ทันได้ถามจนจบประโยค นางก็นึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ตอนนี้เขาควรจะไร้ซึ่งพลังภายในไม่ใช่หรือ แล้วเขาข้ามความว่างเปล่าแห่งนี้มาได้อย่างไร

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

นางมองเขาอย่างวิเคราะห์ แต่กลับดูไม่ออกว่าเขาไม่สบายตรงไหน นี่ทำให้นางรู้สึกสงสัยมาก

"ชีชีเด็กดี ถอยไปก่อน"

น้ำเสียงเย็นชา ท่าทีที่แฝงด้วยไอพิฆาต ราวกับชายหนุ่มแห่งอสุรา แต่กลับพูดจาอย่างสนิทสนมอ่อนโยนเช่นนี้ ความไม่เข้ากันเช่นนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตัวสั่นสะท้านไปตามๆกัน

นี่ เรียกว่าเป็นความน้ำเน่าได้หรือไม่

โหลชีตัวสั่นทีหนึ่ง มองเขาเหมือนเห็นผี แต่ว่าตอนนี้นางต้องช่วยชีวิตของหลินเสิ้งเวยก่อน จึงได้ตามหวูเสี้ยวหยู่ยกร่างของ หลินเสิ้งเวยไปอยู่ข้างๆ

เวลานี้พวกเขาไม่มีเวลาสนใจจะดูว่าแสงที่สองออกมานั้นเกิดจากของสิ่งใดกันแน่ และเกิดมาจากที่ใด ข้างหน้ามีสิ่งของอะไรอยู่บ้าง

จางมิ่งมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาอยากจะหัวเราะอย่างอวดดีเหมือนเมื่อสักครู่จริงๆ เผยท่าทีแห่งการเป็นจ้าวครองดินแดน แต่ภายใต้ความน่าเกรงขามของเฉินซ่าที่แฝงด้วยไอพิฆาตและไอสังหารที่รวมตัวกันราวกับเป็นธรรมชาติ แม้แต่การฉีกมุมปากของตัวเองยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขา สุดท้ายเขาได้แต่ฮึในลำคอด้วยความโมโหและพูดว่า"คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะหนีรอดออกมาได้ แต่ว่า แย่งเอาชีวิตตัวเองกลับมาได้แต่ไม่หนีไป กลับมารนหาที่ตาย ข้าสนองให้เจ้าได้"

คำสุดท้ายเพิ่งจะสิ้นสุดลง เขาได้ฟาดฝ่ามือออกไปยังหน้าอกของเฉินซ่าแล้ว

แม้ว่าโหลชีกำลังทายาให้หลินเสิ้งเวย แต่ก็ยังให้ความสนใจอีกฝั่งอยู่ เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของจางมิ่งประกายสีแดงขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ร้องขึ้นมาทันที "ระวัง "

หัตถ์ระเริงไฟน่ากลัวมากจริงๆ ถ้าถูกฝ่ามือกระแทกลงไปเนื้อก็จะถูกแผดเผาจนไหม้ ตอนนี้บนร่างของหลินเสิ้งเวยก็ยังมีกลิ่นเนื้อย่างอยู่ แม้ว่านางจะใส่ยาให้เขาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ลมหายใจยังคงแผ่วเบา ต้องหาสถานที่เพื่อตรวจดูอย่างละเอียดว่าเขาได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสมากแค่ไหน

"ไม่ต้องเป็นห่วง "

ในเวลาเช่นนี้ เฉินซ่ายังจะตอบกลับนางอีก

ดาบยาวตัดเฉือนในแนวนอน ฟันไปทางฝ่ามือของจางมิ่ง

เปลวไฟที่ร้อนแรง แทบจะแผดเผาดวงวิญญาณ ความร้อนระอุที่เกิดขึ้นก่อตัวจากพลังภายใน เกรงว่าถูกเผาเพียงนิดเดียวก็สามารถทำให้บาดเจ็บได้ แม้จะเป็นฝ่ามือของคนธรรมดา แต่ดูแล้วกลับมีความน่าเกรงขามและโหดเหี้ยมกว่าอาวุธวิเศษเสียอีก หัตถ์ระเริงไฟ ทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ

แต่ว่าสีหน้าของเฉินซ่ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น ไม่ตกใจไม่ลนลาน เขย่ามือหนึ่งครั้ง ดาบยาวสีดำก็มีไอพิฆาตสีดำที่ยิ่งเข้มข้นปะทุออกมา ไอพิฆาตนั้นเย็นชาเหมือนกับกลิ่นอายของเขา ตามเส้นทางที่ดาบเคลื่อนผ่าน มุ่งตรงไปยังฝ่ามือสีแดงนั้น เปลวไฟร้อนแรงราวกับพบกับน้ำแข็งสีดำ ทำให้ดูสลัวลงไม่น้อย จากการปะทะกันครั้งนี้ ไอพิฆาตสีดำยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น พุ่งตรงไปยังพลังฝ่ามือของจางมิ่งอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่เบื้องหลังของไอพิฆาตสีดำ เป็นดาบที่เย็นยะเยือก กำลังฟันลงไปที่ข้อมือของเขา

จะว่าไปแล้วทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น

ในขณะที่โหลชีเบิกตากว้างและยังไม่ทันได้กะพริบตา จางมิ่งก็ได้เก็บฝ่ามือของตัวเองกลับไปอย่างน่าอนาถ ยังถอยร่นไปด้านหลังติดๆกันถึงสามก้าว กำลังจ้องมองเฉินซ่าอย่างไม่อยากเชื่อ

เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทของนางได้เปรียบอยู่ และยังเป็นการได้เปรียบที่มั่นคงด้วย

ทันใดนั้นโหลชีกระโดดตัวลอยขึ้นมา โบกกำปั้นน้อยไปมา ร้องตะโกนด้วยเสียงที่อวดดีและภูมิใจว่า "เฉินซ่าแข็งแกร่งมาก เฉินซ่าเยี่ยมมาก โห่ร้องไห้กับเฉินซ่า เฉินซ่าไร้เทียมทานฟาดฟันศัตรูทรมานคนวิปริตให้ตาย ข้าเลื่อมใสท่านเหลือเกิน ท่านเป็นสายฟ้า ท่านเป็นแสงสว่าง เป็นเทพนิยายหนึ่งเดียวของข้า ท่านเป็นซูเปอร์สตาร์ของข้า สู้สู้ สั่งสอนเขาให้รู้ซะบ้างว่าอะไรคือบุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจสายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี"

คำพูดที่ฟังดูยุ่งเหยิง...

เฉินซ่าเหลือบตามองแวบหนึ่ง ในดวงตาแดงก่ำนั้นสามารถมองเห็นแววแห่งความระอาใจได้

การหนีของผู้หญิงคนนี้เป็นครั้งคราว ก็ทำให้ฝ่าบาทก็รู้สึกหมดหนทางเหมือนกัน

ทหารที่ชื่อหวูเสี้ยวหยู่อ้าปากตาค้าง พระสนมของฝ่าบาทต้องมีท่าทีทำให้รู้สึกตกตะลึง ดูสูงส่งสง่างาม มีกิริยามารยาทที่งดงามไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้พระสนมของพวกเขาจึงได้ทั้งกระโดดทั้งตะโกนเสียงดังเล่า ถ้าถูกใต้เท้าอวี้สื่อที่เพิ่งจะถูกแต่งตั้ง หรือถูกประชาชนและทหารของพั่วอวี้เห็นเข้าละก็ คงไม่ดีกระมัง

ยังมีอีกเรื่อง เขาอยากจะถามมาก พระสนม ซูเปอสะตาหมายถึงอะไร

จางมิ่งถูกเสียงของนางรบกวนจนขมับเต้นตุบๆ ฟังไม่รู้เรื่องเลยว่านางกำลังพูดบ้าอะไรอยู่กันแน่ แต่ประโยคที่ว่าฟาดฟันศัตรูทรมานคนวิปริตให้ตายเขาฟังรู้เรื่อง ทำเอาเขาโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

"ข้าจะฆ่าเจ้าซะนางคนชั้นต่ำ......"เขามองข้ามเฉินซ่าไปเสียสนิท พุ่งตัวไปทางโหลชี

แต่ว่าโหลชีชอบ

เสียงของดาบดังขึ้น ไหล่กว้างของเฉินซ่ากระตุกหนึ่งครั้ง รอบร่างกายของเขาก็มีไอพิฆาตสีดำที่เหมือนกับดาบกระจายออกมา

สีแดงกับสีดำปะทะกัน เปลวไฟกับความดำมืดประสานเข้าด้วยกัน นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างความร้อนระอุกับความเย็นยะเยือก ศึกครั้งนี้สู้กันอย่างดุเดือดมาก พวกโหลชีได้แต่ถอยแล้วถอยอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไฟแห่งสงคราม พลังภายในของทั้งสองคนแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ถ้าถูกพลังฝ่ามือของจางมิ่งปะทะเข้า ถึงไม่ตายก็สามารถทำให้ผิวหนังหลุดออกไปชั้นหนึ่ง พลังของคนคนนี้ แข็งแกร่งกว่าเฮ่อเหลียนเจี๋ยถึงสามส่วน โหลชีสู้ตายอย่างน้อยก็สามารถสู้กับเฮ่อเหลียนเจี๋ยได้ไม่กี่กระบวนท่า แต่ถ้าจางมิ่งลงมือกับนางอย่างไม่ปรานีเช่นนี้ นางกลับรู้สึกว่าแม้แต่สองกระบวนท่าก็คงจะต้านทานไม่ไหว

ก่อนอื่นก็เป็นเฮ่อเหลียนเจี๋ย ต่อมาก็คือจางมิ่ง นี่ทำให้โหลชีที่ทำการย่อยพลังจากไขหินพันปีจนทำให้วรยุทธของตัวเองก้าวหน้าขึ้นอย่างมากรู้สึกพ่ายแพ้เล็กๆ แต่ว่า การฝึกฝนในโลกแห่งนี้ เดิมทีก็เร็วกว่ายุคปัจจุบันมาก แม้นางจะรู้สึกพ่ายแพ้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เกิดความท้อแท้ใจแต่อย่างไร ได้แต่คิดว่าวันหน้าต้องพยายามมากกว่านี้ อย่าให้ใครต่อใครตั้งมากมายมาทิ้งห่างไปอย่างเด็ดขาด

การเคลื่อนไหวของสองคนนั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งเร็วขึ้น จางมิ่งใช้แต่กระบวนท่าไม้ตายต่อเฉินซ่าในทุกก้าว แต่ว่าเฉินซ่าไม่เพียงแต่จะใช้กระบวนท่าไม้ตายเท่านั้น โหลชีมองอยู่ชั่วครู่ก็เห็นถึงความผิดปกติของเขา ถ้าจะบอกว่าแต่ก่อนเขานั้นโหดร้ายกระหายเลือดมาก เช่นนั้นตอนนี้ก็คงเป็นความเหี้ยมโหดทารุณ ดาบในมือของเขาฟาดฟันไปยังอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งก็เฉือนเอาเนื้อหนังของอีกฝ่ายออกมา บางครั้งก็ทำให้อีกฝ่ายเกิดแผลจนเลือดไหล ยังมีครั้งหนึ่งที่อัดเข้ากับปากของเขา ปรากฏว่าตบจนฟันเขาร่วงออกมาหนึ่งซี่

กระบวนท่าไม้ตายของจางมิ่งถูกเฉินซ่าหลบเลี่ยงได้ตลอด แต่เขากลับหลบหลีกดาบที่เต็มไปด้วยไอพิฆาตเล่มนั้นของเฉินซ่าที่คอยกระทำชั่วต่อร่างกายของเขาไม่ได้ ไม่นานทั้งร่างก็เต็มไปด้วยเลือด เทียบกับเฉินซ่าได้แล้ว

แม้ว่าโหลชีจะรู้สึกโล่งใจได้เปลาะหนึ่ง แต่ว่าพลังของเฉินซ่าเพิ่มขึ้นมากมายอย่างกะทันหัน ในใจนางยังคงรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่บ้าง

เสียง"โครม"ดังขึ้น ฝ่ามือของจางมิ่งพยายามฟาดไปยังโหลชี สีหน้าของเฉินซ่าขรึมลง เคลื่อนตัวไปบังเอาไว้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าเขาแค่ออกกระบวนท่าหลอกเท่านั้น เมื่อฟาดฝ่ามือออกไปแล้วเขาก็รีบเหาะถอยไปทางด้านหลังทันที แค่ชั่วพริบตาเงาร่างของเขาก็หายลับไปจากสายตาของพวกเขา

เฉินซ่าโมโห อยากจะตามไป โหลชีรีบเรียกเขาเอาไว้ "ไม่ต้องตามแล้ว"

นางเดินไปทางเขา กำลังจะจับดูชีพจรของเขา เฉินซ่ากลับหลบเลี่ยงทันที

"ทำไมหรือ"

"ตอนนี้ร่างกายข้าสกปรกมาก"

โหลชีได้ยินเขาพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก็หรี่ตาลงทันที ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาไม่ให้แตะต้องตัวเพียงเพราะร่างกายสกปรก

มีปัญหาแน่ๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ