ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 42

"แม่นางอะไรรึ?"

โหลชีไม่รู้จริงๆ ว่าในตำหนักจิ่วเซียวจะมีแม่นางอะไรอีก? คงไม่ใช่เป็นประภทน้องสาวบุญธรรมของเฉินซ่าหรอกนะ?

เอ้อร์หลิงกำลังจะอธิบาย ก็ได้ยินเสียงเทียนยีดังขึ้นว่า "แม่นางโหล บรรดาแม่นางหลัน แม่นางฉ่ายจือขอพบขอรับ"

เอ้อร์หลิงพูดในใจ มากันแล้ว บังเอิญเสียจริง นางพึ่งจะพูดถึงหลายคนนี้ พวกนางก็มากันเลย

โหลชีกลับฉายแววสนใจขึ้นมา สองวันนี้นางโดนทำเหมือนกับเป็นหมูที่โดนขุน วันๆ ไม่กินกินกิน ก็นอนนอนนอน อันที่จริงแล้วอากาศที่นี่ดีกว่ายุคปัจจุบันมากนัก ถ้าพูดตามนิยายจอมยุทธ์หรือคำพูดคนที่นี่ ต้องบอกว่าพลังธรรมชาติเปี่ยมล้น อย่างไรก็ตามอาจเป็นเพราะคุณภาพน้ำที่นี่ดีมาก ความเร็วในการฟื้นฟูของนางเลยเร็วกว่าในยุคปัจจุบันมากนัก

เมื่อก่อนตอนอยู่ยุคปัจจุบันนางเคยลองสองครั้ง มีครั้งหนึ่งเกือบเอาชีวิตไม่รอด จนต้องพักฟื้นไปหนึ่งเดือนเต็ม ต้องนอนพักฟื้นบนเตียงทั้งเดือน จากนั้นยังต้องดื่มยาบำรุงนานาชนิด กว่าจะบำรุงกลับมาได้มันไม่ง่ายเลย

แต่ที่นี่นางกลับใช้เวลาแค่สามวันก็ฟื้นฟูกลับมาได้ถึงห้าหกส่วน ดูท่าอีกแค่ไม่กี่วันนางก็จะฟื้นคืนสภาพเดิมแล้ว

แม่นางในตำหนักจิ่วเซียวนี้ นางไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ เพียงแต่เมื่อก่อนก็ไม่เคยออกมาเหมือนกัน ตอนนี้จู่ๆ กลับมาหานาง หมายความว่ายังไง?

"ข้ามีสิทธิ์ให้พวกนางเข้ามาหรือไม่? เทียนยี" โหลชีแสดงออกว่าตอนนี้ตนกำลังทำตามหน้าที่ ดูแล้ว ควรจะต้องถามอำนาจสิทธิ์ของตนเสียก่อน

เทียนยีก้มหัวลงพูดอย่างนอบน้อมว่า "ตอนนี้แม่นางโหลดูแลจัดการตำหนักสาม ย่อมต้องมีอำนาจสิทธิ์ขอรับ"

"แม่นางโหล ท่านจะพบพวกนางจริงหรือเจ้าคะ?" เอ้อร์หลิงเดิมเรียกชื่อนางตรงๆ แต่นับจาก โหลชีกลายเป็นนางกำนัลใกล้ชิดของเฉินซ่า นางก็มิกล้าเรียกเยี่ยงเดิมแล้ว เพราะด้วยฐานะ เป็นนางกำนัลเช่นเดียวกันก็จริง หากนางกำนัลของตำหนักสามมีฐานะสูงกว่านางกำนัลของตำหนักสองมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสาวใช้คนสนิทอีก

"ทำไม เจอมิได้รึ?" โหลชีดื่มน้ำแกงคำสุดท้าย จากนั้นหยิบผ้าที่แช่ในน้ำอุ่นมาเช็ดปาก พลางลุกขึ้น บิดเอวบริหารร่ากาย

"แม่นางหลายท่านนั้นออกจะ..." เอ้อร์หลิงอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด

โหลชีกระซิบถาม "สนุกใช่หรือไม่? มิเป็นไรดอก ต้องเจออยู่ดี โชคดีตอนนี้ข้าเป็นนางกำนัลของตำหนักสาม ถ้าเพียงแค่พวกนางยังมิรู้จัก ต่อไปจะอยู่เยี่ยงใดเล่า"

เอ้อร์หลิงเหงื่อตก นางมักรู้สึกว่าคำพูดกิริยาของโหลชีดูไม่ค่อยเหมือนพวกนาง ดูแล้วใจกล้ามาก หากอาจเป็นเพราะแบบนี้ นางจึงถูกโหลชีดึงดูด บางที คนที่ชอบนางจะชอบนางมาก และเกลียดก็คือเกลียดมาก

"ให้พวกนางเข้ามาเถิด"

มินาน คนยังมิทันเข้าใกล้ โหลชีก็ได้กลิ่นหอมของเครื่องประทินผิว นางโดนนักพรตเลวโยนลงแช่น้ำยาตั้งแต่เด็ก บวกกับต้องเรียนด้านความรู้เกี่ยวกับหญ้าและดอกไม้แปลกประหลาดต่างๆ ดังนั้นประสาทดมกลิ่นของนางถึงดีเป็นพิเศษ กลิ่นเครื่องประทินผิวแรงขนาดนี้ พวกนางคิดจะทำอะไร? แต่รอจนพวกนางเข้าใกล้แล้ว คิ้วโหลชีกระตุกทันที และแอบขำอยู่เงียบๆ

ดูท่า ในนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญนะ

แม่นางทั้งหมดมากันสี่คน

ทุกนางล้วนแต่งกายสีสันฉูดฉาด นางหนึ่งใส่สีชมพู นางหนึ่งชุดสีเหลืองอ่อนดุจขนห่าน นางหนึ่งเป็นชุดม่วงอ่อน อีกนางเป็นชุดขาวนวลแสงจันทร์

อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี กำลังเป็นอายุที่อ่อนเยาว์ประหนึ่งดอกไม้ ใบหน้าอิ่มเอิบ ริมฝีปากชมพูระเรื่อ รูปร่างบอบบางเย้ายวน ท่วงท่านวยนาดเข้ามาราวกับก้านต้นหลิว ดูน่ามองยิ่งนัก

ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตา ทั้งสี่นางเรียกได้ว่ามัจฉาจมวารี จันทร์หลบโฉมสุดา

"คารวะแม่นางโหล" ทั้งสี่นางยืนอยู่ตรงหน้านาง พร้อมใจกันย่อตัวคารวะหนึ่งที น้ำเสียงกระจ่างอ่อนโยนดุจนกกระจิบและนกนางแอ่น

เพียงแต่พอทั้งสี่คนออกมา นางรู้สึกว่าในตำหนักสามที่พลังหยางมากเกินไปก็อ่อนโยนขึ้นมาก ผู้ชายไม่มีทางไม่ชอบหรอกมั้ง? ดังนั้น ทั้งสี่คนคงไม่ใช่นางบำเรอของเฉินซ่าหรอกมั้ง?

เมื่อกี้นางก็ไม่ได้ให้เอ้อร์หลิงพูดชัดเจน แต่ถ้าเป็นนางบำเรอฐานะไม่ควรจะสูงกว่านางกำนัลอย่างนางหรอ? ทำไมเป็นพวกนางมาพบนาง และคารวะนางล่ะ?

"แม่นางทั้งสี่เกรงใจไปแล้วเจ้าค่ะ" โหลชีมองดูพวกนางด้วยรอยยิ้มค้างเล็กน้อย ถึงจะพูดว่าเกรงใจยิ่งนัก แต่ก็มิเห็นนางคารวะพวกนางตอบ

นางเห็นแววไม่พอใจผ่านวาบในสายตาสาวงามชุดชมพูดคนนั้น อีกสามคนกลับสีหน้าเรียบเฉย ดูอะไรไม่ออก ดี สาวชุดชมพูคนนี้ดูแล้วอายุน้อยที่สุด ถ้าจะแย่งชิงกันในวังคงอยู่ไม่ถึงตอนสามหรอก

"ควรมาพบแม่นางโหลนานแล้ว เพียงแต่หลายวันนี้พวกเราต้องฝึกฝนศิลปะ วันนี้ถึงมีเวลามา แม่นางโหลคงไม่ถือโกรธพวกข้ากระมัง?" สาวงามชุดเหลืองอ่อนขนห่านเอ่ย

"จะเป็นไปได้อย่างไร ขออภัยจริงๆ ก่อนหน้าวันนี้ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามีพวกท่านอยู่ จริงสิ รบกวนพวกท่านแนะนำตัวกับข้าจะได้หรือไม่? ข้ายังมิทราบนามพวกท่านเลย" โหลชีพูดอย่างขอลุแก่โทษ

เอ้อร์หลิงเหงื่อตกอยู่ข้างๆ แม่นางโหล ท่านบอกพวกนางตรงๆ เยี่ยงนี้ว่า ข้าไม่รู้ว่ามีพวกเจ้าอยู่ด้วย แบบนี้จะดีหรือ? แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นศัตรูกับพวกนางหรือไร?

แต่ยามเห็นท่าทางจริงใจของโหลชี ประหนึ่งไร้เดียงสายิ่งนัก เพียงแค่อยากให้พวกนางแนะนำตนเองเท่านั้น

ครานี้สีหน้าสาวงามทั้งสีไม่สู้ดีนัก สาวงามชุดขาวราวแสงจันทร์หัวเราะอย่างอ่อนโยนว่า "แม่นางโหลมิเคยได้ยินเรื่องพวกข้ามาก่อนมิแปลกอันใดดอก พวกข้าอยู่ตำหนักหนึ่ง ปกติมิมีโอกาสเข้าตำหนักสามดอก แม่นางโหล ข้ามีนามว่าหลันอี้ อดีตเจ้าเมืองของพั่วอวี้คือบิดาข้า"

"แต่ข้าเป็นนางกำนัลคนหนึ่งจะมีที่นั่งรึ? อยู่ข้างกายฝ่าบาทด้วย?"

คำพูดของโหลชีออกมา ทำสาวงามทั้งสี่โกรธจนกัดฟันกรอด นางจำเป็นต้องพูดออกมาด้วยรึ? นี่มันจงใจอวดชัดๆ !

ทว่าพวกนางกลับมิรู้ว่าโหลชีไม่รู้จริงๆ และสงสัยจริงๆ นางกำนัลอย่างนางจะมีที่นั่งข้างกายฝ่าบาทได้ยังไงกัน? พวกนางต่างริษยา โหลชีกลับเริ่มด่าเฉินซ่าในใจขึ้นมา แม่งเอ๊ย นี่จงใจขุดหลุมนางนี่ คิดผลักนางไปขึ้นเขียงรอเชือดหรอ? ใครเขาทำกันบ้าง นางไม่อยากไปนั่งข้างกายเขาเลยสักนิดจะบอกให้!

นางกัดฟันกรอดอยู่ทางนี้ ทางด้านสี่สามงามก็กัดฟันกรอดเช่นกัน

"ได้ยินว่าเป็นคำสั่งที่ฝ่าบาทสั่งการด้วยตัวเอง อีกอย่าง ในงานเลี้ยง แม่นางโหลจะเป็นคนกำหนดที่นั่งของพวกข้าด้วย" หยาวสุ่ยเอ๋อร์พูดอีก

"ข้ากำหนด?" โหลชียิ่งด่าหนักขึ้นเลย น่าตายนัก นี่มันหาเรื่องให้นางชัดๆ นางไม่อยากทำเรื่องพวกนี้สักนิดนะรู้ไหม?

"แม่นางโหล พวกข้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน นั่งข้างท่าน ทุกคนพอมีเรื่องพูดคุยกันได้ ท่านว่าจริงหรือไม่?" หยาวสุ่ยเอ๋อร์พูดจุดประสงค์ที่พวกนางมาในวันนี้

มาประจบขอตำแหน่งที่นั่งดีๆ กับนาง?

มันทำให้นางไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ

"เรื่องนี้ข้าจะคุยกับฝ่าบาทอีกครั้งเถิด ข้าโง่ เรื่องพวกนี้ข้าทำมิได้ดอก ใต้เท้าองครักษ์เสวี่ยรู้ดีกว่า ถ้าไงพวกท่านไปหาใต้เท้าองครักษ์เสวี่ยดูสิ"

ทั้งสี่คนเริ่มพูดกันออกมาคนละประโยค มีเพียงหลันอี้นั่นที่ไม่ได้พูดอะไรเลย เวลานี้ ณปลายสุดของทางเดิน เฉินซ่ากำลังก้าวเท้ายาวมา

"ฝ่าบาทมาแล้ว!" หยาวสุ่ยเอ๋อร์ร้องขึ้นมา

ทั้งสี่คนพร้อมใจกันหมุนตัว และยังจัดแจงเสื้อผ้าตนให้เรียบร้อยอย่างเนียนๆ เผยรอยยิ้มที่งดงามที่สุด และพร้อมใจคุกเข่าคารวะ "คารวะฝ่าบาท"

ทำไมพวกนางมาอยู่ที่นี่?

สายตาเฉินซ่าเบนไปมองโหลชี โหลชียักไหล่

"ลุกขึ้นเถิด" เฉินซ่าบอกเสียงเรียบ กำลังจะเดินผ่านพวกนางไป หลันอี้กำลังลุกขึ้น แต่แล้วกลับสะดุด ร่างงามค่อยๆ ล้มไปทางเฉินซ่า

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ