หยุนเฟิงเห็นอย่างนั้นเลยรู้ว่าหนีไม่รอดแล้ว เมื่อก่อนโหลชีสงสัยเขามากแต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเลย ถ้านางถาม เขาเองก็ไม่ค่อยอยากหลอกนาง
เพียงแต่ครั้งนี้พูดขึ้นมา มันยาวและวุ่นวายมากเกินไป ไม่รู้ว่าจะทำนางตกใจหรือไม่ ดังนั้นหยุนเฟิงอึกอักสักพักก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นเล่ายังไง
สุดท้ายโหลชีเห็นท่าทางเขาแบบนี้ ยิ้มมุมปากถาม "ถ้างั้น ข้าถาม เจ้าตอบ?"
หยุนเฟิงโล่งอกบอก "ได้"
เพราะเขามักจะไร้ซึ่งการระแวดระวังและป้องกันกับนางแบบนี้เสมอ ราวกับว่าไม่ว่านางพูดอะไรเขาก็ยืนดีที่จะเชื่อฟังเสมอ ถึงทำให้โหลชีค่อนข้างรับและเชื่อใจเขามากหน่อย
"เจ้ามาจากแผ่นดินใหญ่หลงหยินใช่หรือไม่?" หยุนเฟิงอึ้งลง เขาไม่คิดเลยว่าคำถามแรกของโหลชีจะถามออกมาตรงๆแบบนี้ นางรู้เรื่องแผ่นดินใหญ่หลงหยินแล้ว? จางมิ่งบอกนางรึ? เขามองหน้าเฉินซ่า สายตาเฉินซ่ากลับจับจ้องกองไฟ ราวกับไม่สนใจว่าเขาจะตอบว่าอะไร
พวกเขาดูสงบนิ่งกว่าเขามากนัก หยุนเฟิงค้นพบจุดนี้
"ข้า...ใช่"
โหลชีเองก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร นางถามอีก "งั้นฐานะที่แท้จริงของเจ้าคือนายน้อยของโรงพรรณยา?" โรงพรรณยานี่ก็ลึกลับมาก ถ้าบอกไม่มีเบื้องหลังอะไร นางไม่เชื่อหรอก
หยุนเฟิงพยักหน้า "อันที่จริง ฐานของโรงพรรณยาอยู่ที่แผ่นดินใหญ่หลงหยิน อยู่ที่นั่นไม่ได้เรียกว่าโรงพรรณยา แต่เรียกว่าโรงพรรณยาหยุน ชื่อของข้าคือจ้าวหยุนเฟิง หยุนเป็นอักษรของลำดับชั้นลูกหลานสายตรงของตระกูลจ้าว โรงพรรณยาหยุนมีประวัติศาสตร์สองร้อยกว่าปีที่แผ่นดินใหญ่หลงหยิน เพราะวัตถุยาดีที่สุดครบที่สุด มีฐานะไม่ต่ำเลย ราชตระกูลมากมายต่างยินดีสานสัมพันธ์ด้วย ผู้นำตระกูลจ้าวตอนนี้คือพ่อของข้าเอง"
"งั้นพวกเจ้ามาเปิดโรงพรรณยาที่แผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง คงไม่ใช่แค่ขยายกิจการกระมัง?" ดินแดนกว้างใหญ่ขนาดนั้นอย่างแผ่นดินใหญ่หลงหยินถ้าเปิดสาขาย่อยๆไป พอให้ตระกูลจ้าวหากินแล้ว ยังจะต้องมาที่แผ่นดินใหญ่ซื่อฟางอีก
หยุนเฟิงยิ้มเศร้าบอก "อันที่จริงพวกข้ามาที่นี่เพื่อหาคนหนึ่งคน และของสองอย่าง"
"หือ?"
ในเมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หยุนเฟิงเริ่มพูดคล่องคอขึ้น "เรื่องของแผ่นดินใหญ่หลงหยินพวกเจ้ารู้มากแค่ไหน?"
โหลชีส่ายหัวบอก "รู้แค่ผิวเผิน เหมือนว่ามีแปดราชตระกูล"" พวกเขารู้ไม่มากจริงๆ
"อืม อันที่จริง นอกจากแปดราชตระกูลแล้ว ยังมีหนึ่งวังหนึ่งเขา ฐานะราวกับอยู่เหนือแปดราชตระกูลเสียอีก หนึ่งวังคือวังศุทธิเซียน วังศุทธิเซียนที่ผ่านมาไม่สนใจโลกภายนอก แต่จ้าวเซียนวังศุทธิเซียนทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่รู้เรื่องการดูดวงดาวพื้นที่อีกทั้งยังสามารถทำนายได้ ร้อยปีก่อน จ้าวเซียนวังศุทธิเซียนคนก่อนได้ทำนายไว้อย่างลึกลับออกมาเรื่องหนึ่ง และเพราะความลับนี้ ทำให้แปดราชตระกูลเกิดการโกลาหลขึ้น"
หยุนเฟิงชะงัก ราวกับกำลังย้อนอดีต "ข้าก็ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นเดิมพูดไว้ยังไง เพราะเวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว คำพูดเดิมนั้นค่อนข้างคลุมเครือและเข้าใจยาก ประหนึ่งในคัมภีร์ ลือกันไปลือกันมา ก็กลายเป็นภาษาเข้าใจง่ายกลุ่มหนึ่ง ประมาณว่า วันหนึ่งในราชตระกูลหนึ่งจะมีหงส์สวรรค์ตัวหนึ่งถือกำเนิดมากับกองเพลิง ผู้ที่ได้ครอบครองหงส์จะสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ ได้รับการเคารพเลื่อมใสจากทุกผู้คน"
เขาพึ่งพูดถึงตรงนี้ โหลชีหัวเราะพรืดออกมาทันที
"เอาล่ะ ข้าน่าจะรู้ว่า น้ำเน่านี่มันมีอยู่ทุกที่จริงๆ"
"น้ำเน่า?" หยุนเฟิงตะลึง "ใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายใช่หรือไม่?"
"ฮะฮะ มิใช่ เจ้าพูดต่อเถิด"
หยุนเฟิงเล่าต่อไป เป็นเรื่องอภินิหารจริงๆ พอความลับนี้แพร่ออกไป แปดราชตระกูลนั่งไม่ติดแล้ว ตอนนั้นเป็นตอนที่แปดราชตระกูลคานอำนาจกันไปมา แต่ละฝ่ายไม่มีใครยอมใคร ผู้ได้ครอบครองหงส์จะได้ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของอำนาจ คำพูดนี้ออกมา มิใช่บอกว่าเป็นไปได้ที่จะรวบรวมแผ่นดินใหญ่หลงหยินเป็นหนึ่งหรอกรึ? งั้นใครต่างก็อยากได้หงส์ตัวนั้นสิ
แต่หงส์ตัวนั้นคืออะไร หมายถึงหงส์ซึ่งเป็นสัตว์เทพที่แท้จริงหรือ...
สตรี?
ทุกคนต่างพากันคาดเดา และเริ่มส่งคนออกไปตามหาทุกที่ หงส์ บางทีอาจจะเป็นสตรีที่ไม่เหมือนกัน แต่หาไปหามาก็หลายสิบปี ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
วันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ก็มีคนเริ่มไม่เชื่อในความลับนี้แล้ว
"จวบจนวันหนึ่ง มีข่าวหนึ่งแพร่ออกมาเอิกเกริก บอกว่ามีคนเห็นหงส์ปรากฏขึ้น"
โหลชีกับเฉินซ่ามองสบตากัน
ไม่รอพวกเขาถามอีก หยุนเฟิงพูดต่อเอง "เพียงแต่ใครก็มิคาดคิดว่า ข่าวพึ่งแพร่ออกไปไม่นาน ก็มีอีกข่าวหนึ่งตามมา คนที่เห็นหงส์นั่นตายอย่างน่าอนาถมาก ส่วนเรื่องที่เขาว่ามองเห็นหงส์ คือ หน้าตำหนักของราชตระกูลหนึ่งจู่ๆก็มีแสงสว่างที่เป็นหงส์สายรุ้ง"
โหลชีใจกระตุก "หรือว่าองค์หญิงของราชตระกูลนั้นถือกำเนิดรึ?"
"สัญญาอะไร?" สายตาเย็นเยียบของเฉินซ่ามองมา อากาศรอบข้างดูจะลดลงไปมากโข ขนาดไฟในกองไฟยังไหวตัวอยู่สักพัก ประหนึ่งโดนกดลงไป
มุมปากโหลชีคว่ำลง นี่ไม่ใช่หาเรื่องให้นางหรือไง?
พวกเขารู้เรื่องพอๆกัน นางเดาออกว่าองค์หญิงน้อยนั่นคือตนเอง เฉินซ่าย่อมต้องรู้เหมือนกัน
หยุนเฟิงถอนหายใจออกมา "อันที่จริงเป็นแค่สัญญาหมั้นหมายปากเปล่าเท่านั้น เหมือนว่าตอนองค์หญิงน้อยเกิดมาได้ไม่นาน ท่านแม่ของทั้งสอง เป็นสัญญาต่อกันของไท่จือเฟยทั้งสองในตอนนั้น"
เขานี่ปากหาเรื่อง เรื่องนี้ไม่ควรพูดออกมา ต่อให้พูดก็ไม่ควรเป็นเขาพูด "ชีชี เจ้าว่า ตอนนั้นข้าควรฆ่าเจ้าคนแซ่เฮ่อเหลียนนั่นเลยใช่ไหม?" เฉินซ่าสีหน้าดำมืด
โหลชีอดทนไว้ นางอยากบอกว่า ตอนนั้นท่านเองก็ใกล้แย่เต็มทีแล้วนะ? ต่อกรกับเขาทำเอากำลังภายในหายหมด ยังได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสขนาดนั้น ขั้นสู้ต่อไปยังไม่รู้ว่าใครจะตายกันแน่น่ะ แต่ว่าตอนนี้ถ้าเจอกันอีกก็ไม่แน่แล้ว แต่เห็นเขากำหมัดแน่น โหลชีได้แต่รีบปลอบเขา "ไม่ได้ยินหยุนเฟิงบอกหรอ? เป็นแค่การล้อเล่นของสองไท่จือเฟยตอนนั้น ไม่มีใครถือเป็นจริงเป็นจังหรอก อีกอย่าง ท่านก็รู้จักข้านี่นา ต่อให้คนใต้หล้าถือสา ข้าไม่ยอมรับ ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่?"
"งั้นเจ้ายอมรับใคร?"
โหลชีเริ่มปวดฟัน เจ้าหมอนี่ยังจะบีบให้นางพูดคำหวานเลี่ยนกับเขาต่อหน้าคนอื่นหรือไงเนี่ย?
พอนางลังเล สายตาเฉินซ่าก็เขม็งทันที "พูดไม่ได้?"
"พูดได้ พูดได้ สนมเยี่ยงข้ามีอะไรพูดไม่ได้กัน ใช่ไหม ฝ่าบาท?" นางกัดฟันบอก
นางพูดฝ่าบาทพระสนมออกมาแล้ว แสดงว่านางยอมรับความสัมพันธ์กับเขาแล้วจริงไหม?
เฉินซ่ายื่นมือดีดหน้าผากนางหนึ่งที และไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นก็ถามหยุนเฟิงมากขึ้น และได้รู้ว่า สิบกว่าปีมานี้แผ่นดินใหญ่หลงหยินก็ไม่เคยหยุดการลอบแย่งชิงทุกชนิดเหมือนกัน จ้าวเซียนคนนี้ของวังศุทธิเซียนทำนายออกมาว่า แผ่นดินใหญ่หลงหยินจะวุ่นวาย ดังนั้นทุกอำนาจก็นึกถึงองค์หญิงน้อยขึ้นมา และพากันแอบเร่งกำลังตามหาร่องรอยองค์หญิงน้อย จะหาองค์หญิงน้อย ต้องหาปิ่นระย้าหงส์เจ็ดสีก่อน รวมถึงกุญแจโอสถน้ำพุ ตระกูลจ้าวเองก็กำลังตามหา
หยุนเฟิงผ่านการค้นหายาวนานขนาดนี้บวกกับการคาดเดาของตัวหยุนเฟิงเอง เดาได้ว่าโหลชีคือองค์หญิงน้อยคนนั้น แต่เขากลับบอกโหลชี ไม่ได้ส่งข่าวนี้กลับตระกูลไป
แต่ว่าโหลชีไม่ได้บอกหยุนเฟิงว่า นางกินดวงใจน้ำพุไปแล้ว และปิ่นระย้าเจ็ดสีนั่นก็อยู่ในมือนางเรียบร้อยแล้วด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ