เมื่อโหลชีกวาดตามองแล้วแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ว่าอาการของเฉินซ่าในตอนนี้ได้ดึงดูดความสนใจของนางไปหมดแล้ว ฉะนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจนัก
เห็นว่ามือทั้งคู่ของนางกำลังสั่นเทา เฉิงสิบก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว แม้แต่แม่นางที่มีท่าทีใจเย็นตลอดมายังเป็นเช่นนี้ เขาก็ตระหนกตกใจตามไปด้วย เป็นเรื่องที่เลวร้ายจริงๆ
"แม่นาง ต้องใจเย็น"
เดิมทีโหลชีไม่ใช่คนประเภทที่พอเจอกับปัญหาก็ตื่นตระหนก นางเพียงแต่เป็นห่วงจนจิตใจว้าวุ่น แต่ก็คงรู้สึกว้าวุ่นไม่นาน จับไม่พบชีพจร ไม่ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ นี่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว ถึงขั้นนี้แล้ว นางกลับใจเย็นลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง ในที่สุดสองมือก็ไม่สั่นอีกต่อไป
มือของนางกดอยู่ที่หน้าอกของเฉินซ่า ลองถ่ายทอดพลังภายในให้เขา เพื่อจะปกต้องชีพจรของหัวใจเขาเอาไว้ แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของนางกระตุกขึ้นมาอีกครั้งคือ พลังภายในที่ส่งไปให้นั้นเหมือนวัวโคลนลุยทะเล ทั้งหมดถูกดูดกลืนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีแม้คลื่นใดๆที่กระเทือนขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
หัวใจของนางแทบจะหล่นวูบ
"แม่นาง ดูท่าฝนกำลังจะตกลงมาแล้ว ต้องหาที่หลบฝนกันก่อนค่อยว่ากัน สภาพของฝ่าบาทเช่นนี้คงไม่สามารถตากฝนได้"เฉิงสิบมองใบหน้าของฝ่าบาทแวบหนึ่ง รู้สึกตื่นตกใจจริงๆ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ถ้าแม้แต่แม่นางก็รักษาไม่ได้ เช่นนั้น ......
ไม่ เขาไม่กล้าจะคิดต่อ
"เจ้ามาแบกเขาไป"โหลชีพยายามทำใจให้นิ่ง
เฉิงสิบเพิ่งจะแบกเฉินซ่าขึ้นไปบนหลัง ฝนเม็ดใหญ่ก็ค่อยๆเทลงมา โหลชีร้อนใจ ยื่นมือจะถอดเสื้อของตัวเองออกมาเพื่อบังฝนให้กับเฉินซ่า ดีที่หยู่ หวูเสี้ยวหยู่วิ่งกลับมาพอดี เด็ดใบไม้ใหญ่มาได้หลายใบ โหลชีคว้าหมับมาทันที"เจ้าดึงทางนั้น เฉิงสิบเดินตรงกลาง "
นางกับหยู่ดึงปลายของใบไม้เอาไว้คนละข้าง ใช้ใบไม้สี่ห้าใบก็สามารถทำเป็นที่กำบังฝนเคลื่อนที่อย่างง่ายได้แล้ว แต่ว่าในเวลาสั้นๆแค่นี้ ฝนกลับตกหนักขึ้น เม็ดฝนที่ทั้งใหญ่และถี่กระแทกลงมาอย่างหนักหน่วง ทำให้เส้นทางข้างหน้ามัวไปหมด "รีบมาเร็วเข้า"
ได้ยินเสียงของหลินเสิ้งเวยก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร พวกเขาจึงเร่งฝีเท้าวิ่งไปทางด้านนั้น โหลชีในตอนนี้ยิ่งรู้สึกร้อนใจมากเท่าไหร่ภายนอกยิ่งนิ่งขรึมเท่านั้น นางมองไปทางเฉินซ่า กลับรู้สึกว่าสภาพของเขาเช่นนี้ไม่เหมือนคนที่มีชีวิตเลย
ที่จริงหัวใจของนางค่อยๆหนักอึ้งลงไปทุกที แต่ก็ทำได้เพียงพร่ำบอกตัวเองอย่างสุดกำลังว่า นางต้องช่วยเขาได้แน่ ต้องทำได้แน่
ทั้งหมดมุ่งตรงไปหาหลินเสิ้งเวย และเห็นว่าเขายืนตากฝนอยู่ด้านนอกไม่ได้เข้าไปข้างใน ทั้งๆที่ตรงหน้าเขามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งแท้ๆ มีความกว้างเท่ากับคนสองคน สูงเท่ากับคนหนึ่งคน บริเวณหน้าถ้ำมีหินงอกธรรมชาติอยู่ผืนหนึ่ง เหมือนเป็นรั้วของถ้ำอย่างไรอย่างนั้น แต่สำหรับพวกเขาแล้วไม่ถึงกับเข้าไปไม่ได้
"พระชายา เจ้าตัวเล็กนั้นอยู่ข้างใน "หลินเสิ้งเวยปากหยดน้ำฝนที่อยู่บนหน้าพลางพูดขึ้น
โหลชีนิ่งอึ้ง ผ่านไปชั่วครู่จึงได้สติ เจ้าตัวเล็กที่เขาพูดถึง น่าจะเป็นสัตว์สีขาวที่ล่อให้นางไล่ตามไปจนถึงหุบเหวที่ขาดช่วงในตอนแรกแน่ๆ เดิมทีนางอยากจะจับมาให้เฉินซ่ากิน นางอยากจะทิ้งความตั้งใจไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าในขณะที่นางกำลังจะถอดใจ มันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
"ไม่ต้องสนใจมัน เข้าไป"ฝนยิ่งตกก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ หรือว่าคนมากมายขนาดนี้ยังต้องหลีกทางให้เจ้าสัตว์ตัวน้อยนั้นอีก ยิ่งไปกว่านั้น นางรีบหันไปมองร่างกายของเฉินซ่าอีกครั้ง
เดิมทีหลินเสิ้งเวยคิดว่าถ้าเข้าไปอย่างกะทันหันจะทำให้สัตว์สีขาวตัวนั้นตกใจจนหนีไปอีกครั้ง พระสนมถึงกับกระโดดลงไปยังหน้าผาที่ขาดช่วงเพื่อมัน นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสัตว์น้อยตัวนั้นแล้วมิใช่หรือ เพราะฉะนั้นเขาจึงยอมตากฝนที่หนาวเย็นอยู่ข้างนอกโดยไม่กล้าเข้าไปข้างใน คิดไม่ถึงว่าพอโหลชีมาถึงจะพูดว่าไม่ต้องสนใจมัน
เขาไม่รู้สาเหตุ เดิมทีโหลชีอยากจะได้สัตว์น้อยตัวนี้มาก แต่เมื่อมีปลาดุกเทพแล้ว ฤทธิ์ของมันยอดเยี่ยมมาก นางย่อมไม่ต้องการสัตว์ตัวนั้นแล้ว
แต่ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ฤทธิ์ของปลาดุกเทพยอดเยี่ยมจนคาดไม่ถึงจริงๆ ถึงกับทำให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
แต่ไหนแต่ไรเฉิงสิบนั้นเชื่อฟังโหลชีมาก นางบอกว่าเข้าไปก็คือเข้าไป
แบกเฉินซ่า เขากระโดดตัวลอยข้ามพวกก้อนหินงอกที่เล็กแหลมเหล่านั้นไป ครู่เดียวก็ทะลวงเข้าไปในถ้ำแล้ว
พอก้าวเข้าไป เท้ายังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคง เงาของก้อนสีขาวๆก็พุ่งตรงมาที่หน้าของเขา ท่าทีดุดัน แต่ว่ายังไม่ทันได้สัมผัสกับเฉิงสิบ โหลชีที่เข้ามาทีหลังได้ใช้แส้สะบัดออกไป ม้วนตัวมันเอาไว้ สะบัดไปด้านข้างอย่างไม่รู้สึกสงสารและเสียดายเลยสักนิด
จี๊ดๆ
เจ้าสิ่งนั้นส่งเสียงร้องราวกับหนู ฟังแล้วรู้สึกน่าเวทนาอยู่บ้าง แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครสนใจมันเลย
เจ้าตัวเล็กที่ถูกสะบัดออกไปมีอาการมึนงงเล็กน้อยรูปร่างหน้าตาของมันเหมือนตัวเม่น เพียงแต่บนตัวของมันไม่มีหนามแหลม แต่เป็นขนสีขาวแข็งกระด้างทั้งตัว แต่บริเวณท้องของมันเป็นสีชมพูไม่มีขน ขาสั้นๆทั้งสี่ของมัน ดูไม่ออกเลยสักนิดว่ามันจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวมาก
เฉิงสิบคุกเข่าลงทันที "แม่นางโปรดให้อภัยด้วย "เขาก็รู้สึกตกใจมาก แค่วางฝ่าบาทลงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เข่าของฝ่าบาทเคลื่อนจนผิดรูป เขาจะทำประโยชน์อะไรได้อีก
"ไม่ใช่ความผิดเจ้า"โหลชีสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง บังคับให้ตัวเองใจเย็นลงอีกครั้ง
ที่ไม่โทษเฉิงสิบ เพราะว่านางเองก็คิดไม่ถึงว่าร่างกายของเฉินซ่าจะบอบบางขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ เขาจะรู้ได้อย่างไร อีกอย่าง เมื่อครู่เขาได้ระมัดระวังมากพอแล้ว
"ฟังนะ ฝ่าบาทตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อีกอย่างก็ค่อนข้างยากจะแก้ไข ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน ฉะนั้นข้าต้องตรวจดูอย่างละเอียด ตอนนี้ดูแล้ว พวกเราต้องอยู่ที่นี่กันสักพัก "เพราะโหลชีร้อนใจ การพูดจาจึงเร็วกว่าปกติ "ถ้าข้าเดาไม่ผิดละก็ อากาศในตอนกลางคืนของที่นี่คงจะต่ำกว่าเมื่อคืนตอนที่พวกเราอยู่ข้างๆหลุมฟ้าแน่ อีกอย่างที่นี่ก็ลมแรงมาก กลางคืนอากาศหนาวมาก รอให้ฝนหยุดลงแล้ว พวกเจ้าก็แยกย้ายกันทำหน้าที่ คนหนึ่งไปหาฟืนมา ยิ่งเยอะยิ่งดี และรวดหาแหล่งน้ำด้วย คนหนึ่งไปล่าสัตว์ ที่เหลืออีกคนให้ออกไปพาคนอื่นๆเข้ามา "
เพราะการข้ามผ่านบริเวณที่ว่างเปล่าผืนนั้น ต้องเสี่ยงชีวิตอย่างแน่นอนอยู่แล้ว ฉะนั้นนางจึงให้พวกเขาสามคนตัดสินใจเลือกเอง ยังมีคนพวกนั้นที่อยู่ข้างนอก เดิมทีนางไม่ได้อยากจะพาพวกเขาเข้ามาข้างใน เพราะว่าพื้นที่ว่างเปล่าผืนนั้นมันอันตรายเกินไปจริงๆ แต่พอเห็นสภาพของเฉินซ่าเป็นเช่นนี้ นางก็รู้ว่าก่อนหน้านี้นางใจอ่อนเกินไป โลกใบนี้ประหลาดกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก เช่นอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาในตอนนี้ นางจะต้องบ่มเพาะกองทัพที่สามารถวางใจได้เพื่อส่งไปยังหนานเจียงซีเจียง จะเอาแต่อบรมให้พวกเขามีพื้นฐานในการปกป้องชีวิตตัวเองอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
ไม่เช่นนั้น จะเป็นการทำร้ายพวกเขา ถ้าหากไม่ผ่านความลำบากที่แท้จริง ไม่แน่ว่าภายหน้าพวกเขาอาจจะต้องตายอยู่ที่ซีเจียงหรือไม่ก็หนานเจียงทั้งหมด
พวกเฉิงสิบต่างก็รับคำ
หลังจากสั่งการอย่างชัดเจนแล้ว โหลชีก็ไม่สนใจพวกเขาอีก ยื่นมือไปเปิดเสื้อของเฉินซ่าออก เป็นดังคาด บริเวณหน้าอกของเฉินซ่าก็ปรากฏผิวสัมผัสที่เหมือนกับน้ำแข็ง ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นมาทันที เพราะว่านางมองเห็นบริเวณหัวใจของเขาซึ่งเป็นจุดเดียวที่ยังคงเป็นสีแดงอยู่
เหมือนราวกับในพื้นหิมะอันกว้างใหญ่ มีดอกบัวสีแดงอยู่เพียงดอกเดียว
นี่มันช่างท้าทายความรู้ของนางมาก โหลชีรู้สึกพ่ายแพ้จนอยากจะด่ากราดออกมา นางไม่เคยรู้สึกร้อนใจเช่นนี้มาก่อน
ในเวลานี้เอง หลินเสิ้งเวยก็หันไปพูดกับเฉิงสิบว่า "พี่เฉิง ให้ข้าไปตามหาพวกใต้เท้าองครักษ์อิงเถิด "เขาตามโหลชีข้ามผ่านความว่างเปล่าแห่งนั้นมาตลอด ขากลับไปน่าจะสามารถเหยียบก้อนหินได้ถูกต้อง อีกอย่างเขารู้ว่า เฉิงสิบนั้นไม่ยินดีจะออกห่างจากพระสนม เรื่องที่เกี่ยวกับเฉิงสิบและโหลวซิ่นที่ติดตามพระสนมออกมาจากพั่วอวี้นั้น พวกเขาก็เคยได้ยินแล้ว เฉิงสิบไม่มีทางวางใจให้เขากับหยู่สองคนอยู่ที่นี่แน่
ไม่พูดไม่ได้ว่า เขาเดาใจของเฉิงสิบถูกต้อง ในเวลาเช่นนี้ เฉิงสิบจะจากไปอย่างวางใจได้อย่างไร ฉะนั้นเขาจึงพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด
และไม่สนว่าฝนยังคงตกอยู่ หลินเสิ้งเวยหันไปมองโหลชีและเฉินซ่าอีกครั้ง ออกจากถ้ำไปอย่างไม่ลังเลสักนิด ฝ่าเข้าไปในห่าฝน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ