"เฉินซ่า!" จางมิ่งกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน เหตุใดยังต้องเจอเขาอีก?
"เจ้ายังไม่ตายจริงๆด้วย"
เฉินซ่าไม่ยี่หระกับสีหน้าเขาที่ทำราวจะฉีกตนออกมาเป็นชิ้นๆ และยังไม่คิดจะสนใจเขาชั่วคราวด้วย
จางมิ่งกำหมัดแน่น ทันใดนั้นพลันยิ้มออกมา "ข้ายังจะครองพั่วอวี้น่ะ จะตายง่ายๆอย่างนั้นได้ยังไง? เจ้าต่างหาก พวกเจ้าน่ะรอโดนเจ้าพวกตัวเล็กนี่..."
"พูดมากความเสียจริง"
เฉินซ่าพูดยังไม่ทันจบ ก็ใช้แรงทั้งสองขา ก้อนหินมหึมาที่ลอยอยู่ด้านบนค่อยๆลอยลงช้าๆ
"เจ้าคิดจะทำอะไร?" จางมิ่งตกใจมาก
"เจ้านี่ มาจากที่ไหนก็ควรจะกลับไปที่นั่น" เฉินซ่าพูดอย่างเย็นชา เดินกำลังภายในไปที่ใต้ฝ่าเท้า กดหนักลงไป ความเร็วในการลอยลงของก้อนหินมหึมาก็เพิ่มมากขึ้น พริบตาเดียวก็ต่ำกว่าระดับขอบหลุมใหญ่
ถึงลูกบอลดำพวกนั้นจะระเบิดส่งเจ้าตัวประหลาดเล็กพวกนั้นออกมา แต่เพราะโดนกดลงไปในหลุมใหญ่ เจ้าตัวประหลาดเล็กพวกนั้นพอระเบิดออกมาก็ตกลงในหลุมใหญ่เลย ไม่มีหนทางกระโดดออกมา ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกมันไม่เคยคิดจะกระโดดขึ้นมาบนก้อนหินมหึมานี่เลย เหมือนกับด้านนี้คือแสงสว่าง และด้านล่างนั่นคือความมืด ความมืดไม่มีทางวิ่งมาด้านสว่างนี่หรอก
"เจ้าบ้าไปแล้ว บ้าจริงๆ!" จางมิ่งโกรธจนกระทืบเท้า "เจ้ากดหินฟ้าลงไป เจ้าเองก็ขึ้นมาไม่ได้!"
"ข้าต้องให้เจ้ากังวลใจด้วย?" เฉินซ่าเหล่เขาหนึ่งที "หินฟ้า? เจ้านี่โชคไม่เลวเลย น่าเสียดายที่มาเจอกับข้า!"
หินฟ้า หินลอยมาจากท้องฟ้าชนิดหนึ่ง ได้ยินว่ามีพลังน่าประหลาดนัก คนมากมายอยากได้มาครอบครอง ไม่คิดว่าใต้หลุมใหญ่นี่จะมีอยู่หนึ่งก้อนมหึมาอย่างนี้
ถ้าโหลชีอยู่ที่นี่ นางคงเบ้ปากบอก หินฟ้าอะไร ก็แค่หินอุกกาบาตเท่านั้นเอง ได้ยินว่าหินอุกกาบาตพวกนี้พกพาสารพิษกัมมันตภาพรังสีมาด้วย พอโดนเข้าไปมาก ก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์มาก
เจ้าตัวประหลาดเล็กที่กำลังเกาะติดด้านล่างหินฟ้านี่ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นหนอนที่โดนรังสีจนกลายพันธุ์
"ฝ่าบาท!"
พวกโหลวซิ่นต่างตกใจร้องเสียงหลง เพราะตอนนี้พวกเขามองไม่เห็นฝ่าบาทและจางมิ่งแล้ว ก้อนหินมหึมานั่นโดนเฉินซ่ากดทับลงไป ต่ำมากขึ้นไม่น้อย
พวกเขาอยู่ด้านบนขอแค่ใช้คบไฟจัดการเจ้าตัวประหลาดเล็กก็พอแล้ว ไม่มีการระเบิดเพิ่มใหม่มาอีก
พวกอิงหาไม้แห้งมาจุดคบไฟ พุ่งเข้ามาตั้งเป็นป้อมปราการ ไม่นานก็เผาเจ้าตัวประหลาดเล็กพวกนั้นตายสิ้น
เสี่ยวหนิวและอิ้นเหยาเฟิงยืนอยู่ด้านหลัง กำลังมองไปรอบทิศ
"พระสนมไปที่ไหนกัน ทำไมยังไม่มาอีก?"
เสี่ยวหนิวปลอบนางว่า "พระสนมต้องรีบมาแน่" ในหลุมใหญ่ จางมิ่งเงยหน้ามองเหนือหัว กัดฟันกรอด เขาไม่เล่นกับเจ้าโรคจิตเฉินซ่านี่หรอก ขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน! แต่เขาแค่ขยับเล็กน้อย เฉินซ่าก็ซัดฝ่ามือลงไป เขาจำเป็นต้องหลบ แต่พอหลบก็เกือบหล่นจากก้อนหินมหึมา เล่นเอาเขาเหงื่อตก
"เฉินซ่า! อย่ารังแกกันให้มากไปนัก!"
"ข้าชอบรังแกคน เจ้าจะทำอะไรได้?" เฉินซ่าสีหน้าเรียบเฉย คำที่พูดออกมากลับโอหังเหิมเกริมจนแทบทำคนกระอักเลือด
เขาแค่ใช้แรงที่เท้าเล็กน้อย แรงกดทับเหมือนเป็นพันชั่งก็ทำให้ก้อนหินมหึมาค่อยๆกดลงไป แต่สองมือเป็นอิสระ จะต่อกรกับจางมิ่งมันไม่ได้ยากขนาดนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่า ก่อนหน้านี้ที่จางมิ่งโดนเขาซัดไปหนึ่งฝ่ามือนั้นทำให้ได้รับบาดเจ็บภายในอาการสาหัส และตอนนี้อาการยังไม่หายดี
"เฉินซ่า พวกเราคุยกันก่อนได้นะ! ทุ่งป่าเถื่อนพั่วอวี้ยังมีความลับอีก เรื่องเกี่ยวข้องกับกองทหารห้าแสนนาย!" หลังจากจางมิ่งพูดคำนี้ออกมาก็สับสนนัก เขาเองก็ไม่รู้ว่าพูดเรื่องนี้ออกมามันถูกหรือผิด แต่ตอนนี้เขาได้แต่เอาความลับเรื่องนี้มาแลกชีวิตเขา
ชีวิตไม่มีอะไรก็ไม่มีแล้ว ยังจะกอดความลับไปมีประโยชน์อะไร
เขามั่นใจ ความลับนี้เพียงพอดึงดูดเฉินซ่าได้
นั่นไง กระบี่ที่ทำท่าจะแทงเข้ามาของเฉินซ่าพลันชะงักลง ปลายกระบี่หยุดลงหลังห่างจากหัวใจเขาเพียงสองนิ้ว
"กองทหารห้าแสนนาย?"
ความลับนี้เพียงพอทำให้เฉินซ่าตกใจจริง ต้องรู้ไว้นะ ตอนนี้ในมือเขามีเพียงกองทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นหกหมื่นนายเท่านั้น และพวกที่เก่งๆยังมีแค่ห้าหมื่น ที่เหลืออีกหนึ่งแสนล้วนเป็นพวกที่พึ่งเกณฑ์เข้ามาในช่วงครึ่งปีนี้ พลังรบยังดูไม่ได้เลย
หากมีกองทหารอีกห้าแสนนาย เช่นนั้นเขาก็มีกำลังพอจะต้านทานประเทศใดๆได้แล้ว
ในมือไร้ทหาร ประหนึ่งสตรีออกเรือนที่ไม่มีข้าวให้หุง
"ข้าไม่จำเป็นต้องหลอกเจ้า" เวลานี้จางมิ่งเองก็ไม่สนอะไรแล้ว ในเมื่อพูดออกมาแล้ว ต้องทำให้เขาเชื่อให้ได้ "หากมิมีทหาร ข้าก็มีแค่คนเดียว จะดึงเจ้าลงมาแล้วตั้งตนเองเป็นเจ้าครองพั่วอวี้ได้ยังไง?"
"พูดต่อไป"
จางมิ่งแค้นใจนัก เขาเกลียดน้ำเสียงและสีหน้าเฉินซ่ายามเอ่ยคำนัก ทำเหมือนอยู่หอคอยงาช้างสูงส่งซะ! ทั้งๆที่เขาต่างหากเป็นคนที่อาจได้เป็นเจ้าครอบพั่วอวี้คนนั้น! เจ้าหนูนี่น่าตายนัก "อยู่ที่นี่ไม่สะดวกจะคุย เราขึ้นไปคุยกันดีหรือไม่?"
ความสูงขนาดนี้ ยังเป็นไปได้ที่พวกเขาจะขึ้นไปอยู่ ขืนลงต่ำไปมากกว่านี้ พวกเขาคงขึ้นไปอีกไม่ได้แน่
เฉินซ่ากลับไม่ร้อนรน เขาก้มมองหนึ่งที และถามอีก "กองทหารห้าแสนนายอยู่ที่ไหน?"
น่าตายนัก! หากรู้ก่อนว่าเขาก็บาดเจ็บ เมื่อครู่ลองดูสักตั้งบางทีอาจจะหนีรอดก็ได้! แต่ตอนนี้จุดหลายจุดบนตัวเขาโดนเฉินซ่าใช้วิชาจี้จุดประจำตระกูลควบคุมไว้หมดแล้ว ไม่มีทางทำอะไรแล้ว
"นายท่าน ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?" อิงพยุงเฉินซ่ามานั่งพิงใต้ต้นไม้
เฉินซ่าไม่ได้พูดอะไร เขาดึงเสื้อออก และพบว่าสีของค่ายกลเลือดที่อยู่บนไหล่และแขนเขาจางลงไปมาก ราวกับจะหายไปอย่างนั้น
เทียนอิ่งผันร่างออกมา "ฝ่าบาท จะใช้กำลังภายในอีกมิได้แล้ว ค่ายกลเลือดของพระสนมนี่เดิมก็ยังมิสมบูรณ์เลย..."
ยังมิสมบูรณ์ ร่างกายของเขาก็ยังอ่อนแออยู่มาก เวลานี้ถ้าเขาใช้กำลังภายในอีก จะทำให้ฤทธิ์ของค่ายกลเลือดสะกดไว้สูญเปล่า
เรียกได้ว่า ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้ค่ายกลเลือดของโหลชีสะกดไว้ พอเขาขยับต้องกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งทั้งตัวแล้วแน่ๆ
"ดูเขาไว้ให้ดี" ก่อนหน้านี้ที่จริงเฉินซ่าฝืนตัวเองอยู่ เดิมเขาก็ยังไม่อาจขยับได้ แต่ก่อนหน้าที่เขาจะผ่อนคลายลง ก็ไม่มีใครดูออกถึงความผิดปกติของร่างกายเขา
จางมิ่งจะด่ากราด แต่โดนโหลวซิ่นเตะโดนจุดใบ้ ด่าไม่ได้แล้ว "หาเชือกมามัดเขาไว้!"
เฉินซ่าปรายตามอง พลางบอกเฉิงสิบว่า "ไปตามหาพระสนม"
นางหายไปนานเพียงนี้แล้วยังไม่กลับมา เขาเดาว่าน่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
"ขอรับ"
เฉิงสิบรอคำสั่งนี้นานแล้ว พอได้ยินก็โล่งอก กำลังจะออกไป พึ่งหมุนตัวก็เห็นร่างโหลชีเหาะลงมา
"หลินเสิ้งเวย ให้ทหารรวมตัวกัน ตอนนี้จะสอนคำสาปขนาดใหญ่กับพวกเจ้าทุกคนก่อน!" ตัวโหลชียังไม่ลง เสียงมาก่อน เดิมยืนนิ่งกะว่าจะคุยกับพวกหลินเสิ้งเวยก่อน หางตากลับปรายไปเห็นเฉินซ่าที่นั่งพิงต้นไม้อยู่
พอเห็น นางก็โกรธจัด ร่างปราดเข้ามายืนต่อหน้าเฉินซ่า สายตานางจับจ้องเขา ในดวงตาเหมือนมีประกายไฟโชติช่วง "บอกมา ใช้กำลังภายในแล้วใช่ไหม?"
อิงและเฉิงสิบถอยไปสองก้าวอย่างเงียบเชียบ เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก นี่คือถามเอาความผิดละ พวกเขาหนีห่างหน่อยดีกว่า จะได้ไม่พลอยโดนหางเลขไปด้วย
เฉินซ่าเงยหน้าขึ้นสบตาโหลชี รู้สึกเพียงว่ายามนี้ดวงตาสตรีผู้นี้งดงามนัก เขายิ้มมุมปาก "ข้าไม่ใช้กำลังภายใน มิกลายเป็นคนไร้ค่าไปรึ?"
"ตอนนี้ท่านทนไม่ได้ ไม่กลัวจะกลายเป็นคนไร้ค่าไปตลอดชาติรึ?" โหลชีโกรธจัด นางไม่อยู่แค่แป๊บเดียว เขาก็ทำตัวเองจนเป็นแบบนี้อีก! สีหน้าบอกชัดว่าโทรมลงไปหลายส่วน! สติที่กว่าจะฟื้นฟูมาหลังจากใช้ค่ายกลเลือดสะกดไว้ก็หมดอีก หมดแล้ว!นางพุ่งเข้าไปราวธนู กระชากเสื้อเขาออก และเห็นค่ายกลเลือดที่อยู่บนไหล่และแขนจางลงจนแทบไม่เหลือร่องรอยจริงๆ
"แม่งเอ๊ย!" นางโกรธจัด แต่ในตอนสุดท้ายก็กดเสียงต่ำ ขยับเข้าใกล้เขา ตะคอกเขาด้วยเสียงที่ดังพอได้ยินแค่สองคนอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า "ท่านคิดว่าเลือดข้าเป็นน้ำเปล่างั้นรึ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ