ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 439

พอคำพูดนี้จบ อีกฝ่ายตอบเขาละ แต่คำตอบนั่นทำให้เขายิ่งโมโหหนักขึ้น

"พรืด ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนชอบพูดคำนี้กันนักนะ อะไรคือเชิญเจ้าดื่มเหล้าดีๆกลับไม่ยอม แปลกนัก ถ้าคนเขาไม่อยากดื่มเหล้า เรื่องอะไรเจ้าคารวะเหล้าก็ต้องดื่มล่ะ? เยี่ยงนี้ละกัน เจ้าถือเหล้าคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้าสามครั้ง เรียกข้าว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่สามครั้ง ขอร้องให้ข้าดื่ม ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไว้หน้าเจ้าก็ได้ เป็นอย่างไร?"

"เจ้าเด็กเมื่อวานซืนจากที่ไหนกัน ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเลยเสียจริง...." ยังพูดไม่ทันจบ โหลชีก็แทรกคำขึ้น "อย่าพูดให้ขันได้ไหม? ค่ายที่ข้าวางไว้ ตอนนี้เจ้ามองด้วยสองตาในระยะสองเมตรยังมองไม่ชัด จะรู้ฟ้าสูงเท่าไหร่แผ่นดินต่ำเท่าไหร่ได้อย่างไร?"

คุณชายเหลียนซินโดนยั่วจนแทบกระอักเลือด กัดฟันกรอดบอกว่า "แม่นางช่างปากคอเราะร้ายนัก ฟังเสียงเจ้าแล้ว ข้าก็สามารถเดาได้ว่า หน้าตาเจ้าต้องงดงามแน่ นับแต่สิบขวบข้าก็รู้จักทะนุถนอมสาวงามแล้ว รอจนจับเจ้าได้ รับรองต้องทะนุถนอมให้สาสมแก่ใจแน่!"

โหลชีทนไม่ไหวหลุดหัวเราะพรืด "ให้ตายสิ พูดความน่ารังเกียจและโรคจิตของตัวเองออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยนี่ คนปกติทำไม่ได้จริงๆนะ ไอ้ทุเรศเอ๊ย หนังหน้าเจ้าน่ะใช้หินในส้วมพันปีมาทำหรือไง?"

เหล่าทหารมีบางคนทนไม่ไหวหลุดหัวเราะพรืดออกมา

พระสนมของพวกเขานี่ช่าง...

แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าโหลชีพูดมากความกับชายผู้นั้นเพื่ออะไร ในยามที่นางกำลังช่วยพวกเขาถ่วงเวลานั้น พวกเขาต้องพยายามเรียนยันต์ที่นางสอนพวกเขาด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด เพื่อให้ค่ายกลหมุนเปลี่ยนอีกครั้ง

"เจ้ากล้าบอกชื่อเจ้าหรือไม่?" คุณชายเหลียนซินโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว โหลชีแค่นเสียงหยันอีก "ข้าไม่กล้าจริงด้วย ถึงว่าแม้ชื่อแซ่จะตั้งออกมาเพื่อเป็นสิ่งที่ให้คนอื่นเรียกขาน แต่ชื่อแซ่ของข้าบอกข้าว่า มันต้องซ่อนไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นจะโดนเจ้าโรคจิตน่ารังเกียจอย่างเจ้ารู้เข้า มันช่างน่าอัปยศยิ่งนัก"

"ข้าจะฆ่าเจ้านังสารเลว!"

คุณชายเหลียนซินทนไม่ไหวอีกต่อไป เดิมคิดจะทุ่มเทกำลังลงคำสาปใส่ทหารเหล่านั้น ซึ่งมันเป็นวิธีที่ดี แต่เขากลับโดนโหลชียั่วโมโหจนเริ่มหัวหมุน ในใจคับแค้นจนแทบเป็นบ้า เลยดึงคำสาปที่ลงไว้กับเหล่าทหารกลับทันที และสะบัดมือออกไป ควันหมอกสีดำพลันพุ่งโจมตีไปทางที่โหลชีอยู่ทันที

ฟังเสียงจับตำแหน่ง จะรู้ว่าโหลชีอยู่ที่ไหนมันไม่ยาก

แต่เขาลงมือเร็ว โหลชีกลับยิ่งเร็วกว่า

เดิมนางก็เรียนการแก้คำสาปอยู่แล้ว พอคำสาปของอีกฝ่ายพุ่งมา แก้ไขก็ได้แล้ว

"พวกเจ้าขยับเปลี่ยนค่ายกลตามวิธีที่ข้าพึ่งสอน รีบช่วยคนออกไปเท่าที่ทำได้ คนนั้นเดี๋ยวข้าจัดการเอง" ทิ้งไว้แค่ประโยคเดียว โหลชีปราดร่างราวนกบินราวควันเบา พุ่งเข้ารับควันหมอกนั้นอย่างไม่ขลาดกลัว

ซิงเอ๋อนั่นสายตาแข็งแกร่งที่สุด ในที่สุดก็มองเห็นร่างโหลชี เลยร้องบอก "เป็นสตรีในชุดสีดำคนหนึ่ง!"

"ซิงเอ๋อ จับเป็นนาง ข้าจะไม่ให้นางตายสบายนัก!" คุณชายเหลียนซินดีใจนัก ยามปกติเขามักมากในสตรีอยู่แล้ว แต่ที่ชอบมากที่สุดเป็นสตรีสองประเภท หนึ่งคือสตรีชั้นสูงที่หน้าตาน่ารัก สองคือสตรีที่ชำนาญคำสาป ดังนั้นเขารักซีเฟยฮวน และก็ชมชอบชุ่ยเอ๋อด้วย แต่สตรีซีเจียงโดยมากมักจะใบหน้าเด่นชัดตามเชื้อชาติมากไป โดยเฉพาะยิ่งสายเลือดใกล้ราชวงศ์มากเท่าไหร่ยิ่งเห็นชัด ความรู้สึกแรกที่เห็นคืองดงามมาก แต่พอมองมากครั้งแล้วจะรู้สึกค่อนข้างหยาบกระด้าง ขาดความอ่อนโยนแน่งน้อยไปหลายส่วนเมื่อเทียบกับสตรีจงหยวน ซีเฟยฮวนถือว่าอ่อนโยนแน่งน้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่จดจำนางไว้ในใจมาตลอด

"ตอนนี้มีสตรีผู้หนึ่งซึ่งคำสาปเก่งกาจปานนี้ เขามีหรือจะยอมปล่อยไป

ซิงเอ๋อและชุ่ยเอ๋อได้ยินคำพูดเขาก็เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร ถึงจะชินนานแล้ว แต่ก็ยังอดปวดใจไม่ได้ ความปวดใจนี้ยิ่งทำให้พวกนางแค้นโหลชีมากขึ้น

"ซิงเอ๋อเข้าใจ" ซิงเอ๋อพูดพลางโดดไปทางโหลชีมีดแหลมในมือส่องประกายแสงสีฟ้า หมุนค้างวนและฟันไปที่ใบหน้าโหลชี

ถึงจะจับเป็น แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามทำลายโฉมนางกระมัง! เวลานี้โหลชีประจันหน้ากับนางอยู่ ยิ้มมุมปากน้อยๆ ซิงเอ๋อใจกระตุก สตรีผู้นี้ไม่เพียงคำสาปร้ายกาจ ยังเป็นโฉมงามล่มเมืองเยี่ยงนี้ หากให้คุณชายได้ครอบครองนาง ต่อไปยังจะมีที่ยืนของตนอยู่รึ?

หากโหลชีรู้ความคิดนาง คงต้องถุยน้ำลายใส่หน้านางแน่

ถุย!

อย่างเจ้าทุเรศนั่น ให้นางเป็นหมาเฝ้าประตูฟรีๆนางยังรังเกียจว่าจะทำประตูนางสกปรกเลย!

แต่ถึงนางจะไม่รู้ว่าซิงเอ๋อคิดอะไร ประกายเคียดแค้นในแววตาซิงเอ๋อก็เห็นชัดอยู่ "ป้าท่านนี้ ระวังมีดของท่านหน่อย"

ซิงเอ๋อโกรธจัด "เจ้าเรียกใครป้า!" นางพึ่งจะอายุยี่สิบเอ็ดปี เหตุใดกลายเป็นป้าไปได้ เป็นป้าได้อย่างไร! อันที่จริงโหลชีมองไม่ออกว่าซิงเอ๋อพึ่งจะยี่สิบเอ็ด นางหัวเราะฮี่ๆ ซิงเอ๋อยังไม่ทันเห็นว่านางเคลื่อนไหวยังไง ตัวนางก็มาข้างกายตน มือดุจดาบ ฟันกลางอากาศลงมาที่นางทันที

เมื่อครู่พึ่งเรียกนางป้า ตอนนี้ยังดูเบานางอีก! แค่มือเปล่าก็จะต่อกรกับนางรึ? ซิงเอ๋อแค่นยิ้มเย็น ตวัดมือ มีดแหลมเล่มนั้นหมุนคว้างกลับเข้ามือนาง และสะบัดเข้าหน้าโหลชีอีก

"กลับไปรับใช้คุณชายเหลียนซินกับข้าเสียดีๆ ไม่แน่ข้าอาจจะขอร้องคุณชายให้...."

"ขอโทษนะ เจ้าอยู่ที่นี่แปลงเป็นดินเหลวคอยเลี้ยงดูต้นไม้ที่นี่ดีกว่า!" โหลชีพึ่งพูดจบ ฝ่ามือมีดก็ปาดคอซิงเอ๋อ ซิงเอ๋อเบิกตาค้างมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา คล้ายกับไม่กล้าเชื่อว่าตนจะหลบไม่พ้น และพ่ายแพ้ในมือนาง

"ไป!"

โหลชีไม่มีลังเลหรือยั้งมือเลยสักนิด ถีบนางกระเด็นลงไปในหลุมใหญ่ ก่อนหน้านี้นางเห็นจางมิ่งแล้ว แต่เพราะไม่มีเวลาถามมาก เลยไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่นางก็มีเตรียมใจไว้แล้วว่าจางมิ่งอาจจะยังไม่ตาย นี่แสดงว่าหลุมใหญ่ไม่ได้ลึกถึงขั้นที่ตกลงไปแล้วจะตาย ดังนั้นนางถีบซิงเอ๋อลงไปเต็มแรง พอถีบออกไปครั้งนี้ ซิงเอ๋อไม่มีทางรอดแน่

นางไม่ใช่คนใจบุญ สำหรับศัตรูแล้ว และยังเป็นศัตรูที่พอลงมือก็คิดทำลายรูปโฉมนางแล้วด้วย เห็นอกเห็นใจน่ะรึ

เพราะในควันหมอก คุณชายเหลียนซินและชุ่ยเอ๋อมองการกระทำของนางไม่ชัดเจน จนตาย ซิงเอ๋อก็ไม่ทันจะได้ส่งเสียง ดังนั้นพวกเขาเลยไม่รู้ว่าซิงเอ๋อโดนฆ่าแล้ว

โหลชีลากสองขาหนักอึ้งเดินเข้าไปดู ย่อเข่าลงสังเกตดูอย่างละเอียด ดูไปดูไป สายตานางก็เปล่งประกายระยิบระยับดุจดวงดาว

"ฮะฮะ! ของดี ของดีนี่นา!"

แต่ตอนนี้นางกลับยกก้อนหินก้อนนี้ไม่ไหว!

"เสี่ยวหนิว ไปในถ้ำเรียกใต้เท้าองครักษ์อิงออกมา บอกเขาว่า มายกก้อนหิน!" นางจะเรียกใช้ก็ต้องเรียกใช้อิงอยู่แล้ว ส่วนเฉิงสิบกับโหลวซิ่น ให้พวกเขาพักผ่อนก่อนดีกว่า

"อ๊ะ ขอรับ!" เสี่ยวหนิวไม่รู้ว่านี่เป็นของดีอะไร แต่โหลชีพูดเขาก็เชื่อ

เขารีบวิ่งเข้าไปในถ้ำ "ใต้เท้าองครักษ์อิง พระสนมเรียกให้ท่านไปยกก้อนหิน!"

"ยกก้อนหิน?" อิงพูดไม่ออก พวกเขารออยู่ครึ่งค่อนวัน บีบรัดหัวใจอยู่นาน สุดท้ายนางให้เขาไปขนก้อนหิน?

หางตาเฉินซ่ากลับสังเกตเห็นสีหน้าแข็งทื่อชั่วขณะ บวกกับขัดใจเหลือประมาณของจางมิ่ง

ตอนนี้เขาถึงนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ตอนจางมิ่งแกล้งตาย ในอ้อมกอดกอดหินก้อนหนึ่งเอาไว้ เพียงแต่ตอนหลังโดนเขาเตะกระเด็นออกไป เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร ตอนนี้มาคิดดูแล้ว จางมิ่งไม่มีทางกอดก้อนหินพร่ำเพรื่อแน่ หินก้อนนั้นต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ!

"รีบไป"

"ขอรับ" อิงรับคำออกไปทันที ไม่นาน มือหนึ่งกอดก้อนหินก้อนหนึ่ง อีกมือพยุงโหลชีกลับมา

สายตาเฉินซ่าหยุดลงตรงมือของเขาที่พยุงโหลชีอยู่ เขารู้สึกสะท้านเยือก รีบปล่อยมือทันที และถอยไปสองก้าว แต่พอเขาปล่อยมือ โหลชีก็ยืนไม่อยู่ทำท่าจะคะมำล้มไปข้างหน้า

นางหมดแรงแล้ว

เฉิงสิบพึ่งขยับตัว เฉินซ่าก็รับนางเข้าอ้อมกอดไปก่อนแล้ว

"อุ๊...."

เสียงดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง โหลชีคือจมูกชนเข้ากับแผงอกแน่นปั๋งของเขา ส่วนเฉินซ่ากลับเป็นเพราะร่างกายเขาอ่อนแอเกินกว่าจะขยับตัวมากขนาดนี้ไหว เขาเจ็บจนร่างแทบจะแหลกสลายแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ