ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 451

ซู่ฉงโจวกับเฉินซ่านับเป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ แต่ก่อนที่เฉินซ่าจะแน่ชัดในชาติกำเนิดจริงๆ จะไม่ยอมเรียกขานเขาเป็นพี่น้องเด็ดขาด แม้ที่จริงเวลานี้เขาจะเชื่อคำกล่าวของซู่ฉงโจวแล้ว ในใจเชื่อเขาแล้ว

ก่อนหน้านี้ซู่ฉงโจวออกมาจากเขาพิณและกลับตำหนักจิ่วเซียวแล้ว โหลชีจึงไหว้วานวู๊วูและเจ้าขาว กับเขา เพราะนางต้องนำหน่วยศูนย์ ไม่มีเวลาดูสัตว์สองตัวนี้อีกจริงๆ

เจ้าขาวกับวู๊วูต่างรู้ภาษาคน หลังจากถูกนางเอาอกเอาใจแล้วก็กลับยอมตามซู่ฉงโจวไป แต่วันนี้ขณะที่เขาขี่เจ้าขาว อุ้มวู๊วูมาที่นี่ วู๊วูกลับโหวกเหวกเสียงดังกับเจ้าขาว เจ้าขาวกลับฟังมัน พรวดลงมาด้วยความรวดเร็ว แต่เขาไม่เข้าใจนี่ ไม่รู้ว่าเจ้าสองตัวนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่!

เฉินซ่าก็ฟังไม่เข้าใจ แต่พอเห็นเจ้าขาว เขากลับเบิกตาโพลงฉับพลัน ทั้งหันศีรษะกลับมามองภูเขาลูกนั้นอีกแวบ หันตัวไปกล่าวกับอิง "กองทัพล่นถอยไปหนึ่งลี้ รอข้ากลับมา!"

ว่าแล้วเขาก็ไม่สนใจพวกเขา อุ้มจิ้งจอกม่วงทะยานขึ้นไปอยู่บนหลังของเจ้าขาว ชี้ไปทางหุบเขาร้อยแมลง

"วู๊วู!"

จิ้งจอกม่วงวู๊วูเงยหน้ายืดอก ท่วงท่าห้าวหาญ ยืนอยู่บนไหล่ผึ่งกว้างของเฉินซ่าเสมือนแม่ทัพที่น่าเกรงขามหนึ่ง คล้ายกำลังสั่งการเจ้าขาว ให้บินไปด้านหน้าเร็วไว

ราชันอินทรีเขาหิมะร้องยาวเสียงหนึ่ง ปีกใหญ่ยักษ์ตีปะทะเวหา ชั่วแวบเดียวก็ร่อนออกไปหลายสิบจั้งแล้ว ความเร็วนั้นเร็วจนน่าตะลึง

ขี่ม้าอาจต้องใช้เวลากว่าค่อนวัน แต่มีความเร็วของเจ้าขาว ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงหุบเขาร้อยแมลงแล้ว!

เฉินซ่านั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังกว้าง สายตายาวไกล

ทางที่ดีเกายู่หู่ก็ภาวนาให้ชีชีปลอดภัย มิเช่นนั้นเขาจะทำเขาซงซานให้ราบเป็นหน้ากลองแน่ ให้ทุกคนทั้งตระกูลเขาตายอย่างไร้ดินกลบ

...

โหลชีไม่รู้ว่าตนเองดวงเฮงถึงขีดสุดหรืออย่างไร เพราะนางเห็นคนนั้นจากไปแบบเงียบๆ จึงตามออกมา คิดไม่ถึงว่าจะพบชายชุดเครื่องแบบเหมือนกันหลายสิบคนกำลังเข้าใกล้ทางนั้นแบบไร้สุ้มเสียง เห็นพวกเขาทั้งสองฝ่ายพบกันต่างเกร็งตัว โหลชีเลิกคิ้ว ตกบนต้นไม้อย่างเบาหวิว ต้นไม้ต้นนี้มีบุ้งจำนวนมาก แต่ครั้นนางยืนบนกิ่งไม้ บุ้งที่อยู่ละแวกก็กระดืบออกไปทันที บ้างไม่ทันยังร่วงตกต้นไม้ พริบตาข้างตัวนางก็สะอาดหมดจด ไม่มีแมลงสักตัว

"ท่านคือผู้ใด?"

คนตรงข้ามยืนขึ้นถาม

"ชาวยุทธภพเรียกข้าว่าขุนพิษ "

ขุนพิษ? เมื่อครู่แม้โหลชีเห็นว่าคนผู้นี้มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายขุนพิษที่ถูกนางสังหารเมื่อก่อนหน้านี้ ในใจมีความสงสัย แต่ตอนนี้ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวว่าตัวเองคือขุนพิษจากปาก ถึงรู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาถูกหลอกแล้ว ที่สังหารไปมิใช่ขุนพิษ

แต่นี่ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรนางก็ไม่ปล่อยไปอยู่แล้ว

"เจ้าอยู่กับพระสนมแห่งพั่วอวี้หรือ?"

"พระสนมแห่งพั่วอวี้?"

ขุนพิษตะลึงงัน หรือว่าดรุณีงามเฉิดฉายเมื่อครู่ก็คือพระสนมแห่งพั่วอวี้? เขาคือผู้ที่ช่ำชองการสังเกตคนเหมือนกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าคนเหล่านี้ต้องไม่คุ้นเคยกับพระสนมแห่งพั่วอวี้เป็นแน่ หรืออาจเป็นผู้ใต้อาณัติ อีกฝ่ายแต่ละคนพกพาจิตสังหารและความอำมหิตชั่วร้าย สวมชุดอย่างสั้น กลางเอวมัดถุงตาข่ายเหล็กสีดำเหมือนกัน ตุงๆ ไม่รู้ว่าบรรจุอะไร แต่สัญชาตญาณเขารู้สึกระทึกหวาดหวั่นอย่างหนึ่ง

คนเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกอันตรายมาก เวลานี้เขาตัวคนเดียว ย่อมไม่กล้าล่วงเกินพวกเขา ดังนั้นจึงส่ายหน้ากล่าวทันที "ข้าไม่รู้พระสนมแห่งพั่วอวี้อะไร ข้ามาหาแมลงทำยาที่นี่ หากพวกเจ้าตามหาคน ทางนั้นมีเสียงต่อสู้อยู่หน่อย ก็ไม่รู้ว่าพระสนมท่านนั้นจะอยู่หรือไม่" เขาชี้ไปด้านหลัง

ในเมื่อขุนพิษมองออกว่าคนเหล่านี้อันตราย โหลชีย่อมดูออกเช่นกัน ยามนี้นางจะให้คนเหล่านี้เข้าแทรกค่ายกลคำสาปสังหารของนางไม่ได้เป็นอันขาด ตอนนี้วรยุทธ์พวกหลินเสิ้งเวยเหล่านั้นยังไม่ถึงขั้น ติดอยู่กับยอดฝีมือหลายร้อยนั้นก็ลำบากอยู่แล้ว และเพราะมีการเข้าร่วมของเฉิงสิบ โหลวซิ่นและองครักษ์อวิ๋นถึงยังไหว หากเวลานี้ยังมีกำลังภายนอกเข้าร่วมอีก ทั้งค่ายกลต้องพังทลายแน่

ดังนั้นโดยธรรมชาตินางต้องสกัดคนเหล่านี้ไว้

คิดเช่นนี้แล้ว นางก็ขึ้นเสียงเอ่ย "ขุนพิษ ท่านดึงพวกเขาไว้ก่อน ขอบคุณมาก!"

ว่าแล้วนางราวนกบังเหินตัวหนึ่งมิปาน หันตัวเลือกทิศทางหนึ่งเหาะไป

ขุนพิษตะลึงงัน จากนั้นก็เดือดดาล นังเด็กนี่กลับกล้าวางแผนทำร้ายเขา!

สายตาที่คนเหล่านั้นมองเขาเปลี่ยนฉับพลัน ไม่ว่าที่โหลชีเอ่ยจะเป็นจริงหรือไม่ ขุนพิษผู้นี้กล่าวว่าไม่รู้จักสนมแห่งพั่วอวี้อะไร เห็นก็ไม่เคยเห็น ทว่าแม้แต่นามเขานางก็ขานขึ้นแล้ว เพียงพอประจักษ์ว่าวาจาที่เขากล่าวเมื่อครู่เป็นเท็จ

ฆ่าผิดดีกว่าปล่อยไป

แต่เดิมทีขุนพิษก็เป็นยอดฝีมือนามหนึ่ง ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการเอาชีวิตเขา เขาก็ต้องเอาตัวรอดสุดชีวิตอยู่แล้ว เช่นนี้อีกฝ่ายได้แต่ทิ้งคนเจ็ดแปดคนอยู่ต่อกรกับขุนพิษที่นี่ ที่เหลือถึงตามโหลชีไป

นี่ก็คือแผนการของโหลชี ต้องการให้ขุนพิษสกัดคนแทนนางสักหน่อย เช่นนี้โอกาสชนะของนางก็จะมากอีกนิด

นางโลดแล่นในป่าอย่างรวดเร็ว นำพวกเขาออกห่างค่ายกลมากขึ้นเรื่อยๆ จุดที่นางอยู่ แมลงเหล่านั้นถอยห่างจากนาง แต่ทหารกล้ากองพยัคฆ์ที่ตามอยู่ข้างหลังกลับไม่สบายนัก เพราะโหลชีวิ่งไปทางที่มีแมลงมากเป็นการเฉพาะ นางไม่กลัวแมลง แต่ทหารกล้าเหล่านั้นกลัวนี่! ถึงพวกเขาจะเตรียมการก่อนมาหุบเขาร้อยแมลง บนตัวพกพายาไล่แมลงและยาแก้พิษมามากมาย แต่แมลงมากเกินไปจริงๆ อีกทั้งยิ่งไปพวกเขาก็ยิ่งเข้าใจ หยูกยาที่พวกเขานำมาไม่อาจไล่แมลงได้ทุกชนิด ยาแก้พิษเหล่านั้นก็ไม่อาจแก้ร้อยพิษได้

"ไม่ต้องกลัว นางต้องไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดแน่ และใช้ไม่เป็นด้วย" หัวหน้าหวางกดเสียงต่ำเอ่ย

ครั้นสิ้นเสียงก็ได้ยินโหลชีขำขันอุ๊บเสียงหนึ่ง "ระเบิดเส็งเคร็งเช่นนี้? ผู้ใดเป็นคนประดิษฐ์กัน?" ที่จริงในใจนางยังตกใจเล็กน้อย ที่นี่กลับมีคนทำระเบิด? ถึงจะหยาบไปหน่อย แต่กับโลกนี้แล้วก็น่าจะเป็นอาวุธร้ายกาจมากแล้ว

ที่นางรู้สึกขำขันก็คือสีหน้าเมื่อครู่ของพวกเขา คิดว่าแม้แต่สิ่งนี้นางก็ดูไม่ออกว่าเป็นอะไรหรือ?

คนมากมายเช่นนี้ คนหนึ่งพกพาระเบิดหลายลูก จะสู้กับนาง? แม้ใบหน้าโหลชียังคงแสยะยิ้ม ทว่าในหัวสมองกลับแล่นความคิดปราดแล้ว นางคนเดียวย่อมรับมือกับระเบิดมากมายเพียงนี้ไม่ได้ แต่วรยุทธ์นางแกร่งกว่าพวกเขานี่

เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็ดึงแหวนเหล็กเล็กๆ ที่อยู่ข้างบนทันที โยนออกไปข้างหน้า พร้อมกันนั้นก็หลบ กระโจนไปทางด้านข้างสิบกว่าคนทางขวา

นี่ทำให้อีกฝ่ายอยากโยนระเบิดร้อยทำลายก็ทำไม่ได้แล้ว นอกเสียจากพวกเขาจะสละพวกพ้องสิบกว่าคนข้างตัวนาง

"ตูม" เสียงหนึ่ง เสียงอเนจอนาถดังระงม โลหิตแตะกระจาย

การระเบิดเมื่อครู่ ทำให้บาดเจ็บไปสิบกว่าคนทันที แต่ละคนล้วนมีสีสันอยู่บนตัว แต่ไม่ตายสักคน

"จุ๊ๆ แย่จริง" โหลชีทดสอบอานุภาพของระเบิดร้อยทำลายนี้ ทันใดนั้นก็ส่ายหน้า นี่ก็คือความหยาบที่นางกล่าวถึง ระเบิดชนิดนี้ของพวกเขา แม้ทำร้ายคนได้เป็นวงกว้าง แต่กลับไม่ถึงชีวิต เห็นได้ว่าอานุภาพไม่เพียงพอ

แต่เมื่อคำกล่าวนางได้ยินถึงหูฝ่ายตรงข้าม นั่นแทบเป็นการคุยโวอย่างหน้าไม่อาย!

"ฆ่านางเสีย! ใช้ระเบิดร้อยทำลาย ให้นางลิ้มรสฝีมือของกุนซือของเราเสียหน่อย!"

ทหารทุกนายหยิบระเบิดร้อยทำลายออกมา ครั้นตั้งใจมองกลับต้องตะลึง พวกเขาจะโยนไปทางไหน? โหลชีแวบไปแวบมาราวสายเงา ตามข้างตัวพวกเขาไม่หยุด!

"กระจายตัว! อย่าให้นางตาม!" หัวหน้าหวางขึ้นเสียงกล่าวทันที

ก็ขณะที่โหลชีต่อสู้อีนุงตุงนังกับทหารกล้าเหล่านี้ เจ้าขาวก็พาเฉินซ่ามองหาจากด้านบนแล้วรอบหนึ่ง ที่เสียงดังที่สุดก็คือจุดที่พวกองครักษ์อวิ๋นอยู่

เจ้าขาวร้องเสียงหนึ่งแล้วโฉบลงมา

"ดูเร็ว! เป็นเจ้าขาว ฝ่าบาท ฝ่าบาทมาแล้ว!" โหลวซิ่นตาแหลมเห็นก่อน ร้องขึ้นด้วยความดีใจทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ