"พวกเรามิใช่คนรักตัวกลัวตายพ่ะย่ะค่ะ!"
ถึงแม้ยังป่วยอยู่ แต่คำพูดนี้พวกเขาได้ตะโกนออกมาอย่างสิ้นแรง เสียงดังจนทำให้หูหนวกได้
เฉินซ่าพยักหน้าด้วยความพอใจ"ข้าอยู่ที่นี่ พระสนมก็อยู่นี่เหมือนกัน หากเชื้อโรคนี้รุนแรงขนาดนั้นจริงๆ พวกข้าสองคนจะตายไปกับพวกเจ้าด้วย!"
"ฝ่าบาท......"
"พระสนม......"
ขอบตาของทหารทุกคนล้วนแดงขึ้นมา ขนาดฝ่าบาทและพระสนมยังไม่กลัวเลย พวกเขาจะนอนรอตายที่นี่อย่างไรได้ล่ะ?และอีกอย่างหนึ่ง มีฝ่าบาทและพระสนมอยู่เป็นเพื่อน พวกเขายังต้องกลัวอะไรอีกล่ะ?แม้ตายไป พวกเขาก็จะเป็นทหารอยู่เคียงข้างของฝ่าบาทและพระสนมเหมือนเดิม!
โหลชีเห็นว่าเฉินซ่าได้ฟื้นความกล้าหาญและความมั่นใจของทหารกลับคืนมา เลยตะโกนพูดว่า"ทุกคนในนี้ล้วนเป็นทหารที่มีความภักดี แม้ว่าเป็นยมราชก็ไม่กล้าปลิดชีวิตพวกเจ้าไปหรอก มิต้องเป็นห่วงมาก ข้าจะพยายามรักษาพวกเจ้าให้ได้ ใครว่าเราต้องตายอย่างเดียว? พวกเจ้าบอกว่ากุนซือของเกายู่หู่ได้พรจากพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะพระเจ้าจะปกป้องแต่คนดีเท่านั้น จะไปปกป้องคนที่รู้แต่ใช้ความเล่ห์เหลี่ยมได้อย่างไร? พิษของเขา ข้าจะเป็นคนถอนให้ แต่ทหารเสือในเขาซงซาน พวกเจ้าต้องเป็นคนไปกำจัด พวกเจ้าทำได้หรือเปล่า?"
กำลังใจของพวกเขาฟื้นคืนกลับมาในเมื่อกี้นี้ ดังนั้นพวกเขาเลยมิกลัวอะไรอีก ตอนนี้โหลชียังให้ความหวังแก่พวกเขาอีก ขอให้นางสามารถรักษาพวกเขา ให้พวกเขาสามารถไปต่อสู้ในสนามรบได้ พวกเขาก็ไม่มีความกลัวอะไรอยู่แล้ว
เหล่าทหารตอบกลับอย่างเสียงดังทันที"ทำได้!"
เฉินซ่าหันไปมองโหลชี รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สง่างามมาก นางรู้ใจเขาทุกอย่าง สามารถติดตามทุกรอยก้าวของเขา นางยืนอยู่ข้างเขา เผชิญทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกับเขา มิเคยกลัว มิเคยถอย ถึงแม้เมื่อกี้เขาได้พูดว่า พวกเขาสามีภรรยาสองคนยอมตายพร้อมกันกับทหารเหล่านี้ นางก็มิได้โทษเขาหรือมีความลังเลแต่ใดเลย การกระทำของนาง ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจมาก
ล้วนเล่ากันว่าความรักของชายหญิงเป็นสิ่งที่อ่อนแอและสั้น แต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกรักนางมากขึ้นเรื่อยๆล่ะ
เขาจับมือของนางไว้อย่างแน่น
โหลชีก็หันหน้าและเงยขึ้นไปมองเขา เหมือนเป็นการปลอบใจเขา"ไม่ต้องห่วง ข้าจะรักษาพวกเขาให้ได้"
นางมิเคยกลัวพิษอะไรเลย ขอแต่เป็นพิษที่คิดค้นขึ้นมาด้วยคน นางก็จะถอนได้หมด มันเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าภัยพิบัติธรรมชาติอยู่แล้ว
แค่อยู่ที่เวลาเท่านั้น
ตอนนี้เวลาของพวกเขาเหลือไม่มาก เพราะพิษแบบนี้จะกลายพันธุ์ในร่างกายของคนไปเรื่อยๆ และยังมิรู้ว่าฝั่งเกายู่หู่ยังมีแผนอะไรอีกหรือเปล่า
"ข้าเชื่อเจ้า"เฉินซ่าพูดอย่างราบเรียบ เขาไม่อยากสร้างแรงกดดันให้นางใดๆ
สี่ชั่วโมงต่อมา โหลชีล้วนยุ่งกับการดูแลผู้ป่วย นางได้จับชีพจรให้ทหารสามร้อยนายเต็มๆ แถมยังให้คนสร้างกระโจมแพทย์ขึ้นมาใหม่ เพื่อรวมตัวทหารสามร้อยนายนี้ ถ้าจะรักษาก็ต้องเริ่มต้นจากพวกเขา
ช่วงเวลานี้ เนื่องจากเฉินซ่าอยู่ห่างจากนางมิได้ มีแต่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับนางเท่านั้น นางยุ่งอยู่ เขาก็วางมือข้างหนึ่งบนเอวของนาง บางทีที่นางมีเวลาพักผ่อนสักครู่หนึ่ง เขาก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนของตัวเอง
พวกทหารต่างมิรู้ความจริงของเรื่อง พอเล่าไปเล่ามา ก็กลายเป็นว่าฝ่าบาทกับพระสนมรักกันมากๆ ในขณะที่พระสนมรักษาพวกเขาอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่ ฝ่าบาทก็ได้อยู่เคียงข้างนาง หากพระสนมเกิดติดเชื้อขึ้นมา ฝ่าบาทก็จะเหมือนกับนาง และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับพวกเขามากๆ คำพูดที่พูดในก่อนหน้านี้ มิใช่พูดเล่นๆเท่านั้น เขาอยู่เพื่อทุกคน
มีฝ่าบาทแบบนี้ พวกเขายังมีอะไรไม่เต็มใจอีกล่ะ?
หลังจากนี้ไป ทหารหนึ่งแสนนายนี้ก็ยิ่งปฏิบัติต่อเฉินซ่าอย่างสุดจิตสุดใจมากขึ้น และยังนับถือโหลชีด้วย หลังจากข่าวนี้แพร่หลายออกไป ญาติพี่น้องของทหารหนึ่งแสนนายนี้ก็ได้สรรเสริญพระคุณของจักรพรรดิและพระสนมในบ้านเกิดของตัวเอง และสิ่งที่นำพามานั้นก็คือความภูมิใจที่ประชาชนมีต่อเฉินซ่าและพั่วอวี้
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เฉินซ่าและโหลชียังคาดเดาไม่ได้ในเวลานี้
หลังจากโหลชีใช้เวลาสี่ชั่วโมงตรวจชีพจรของทหารสามร้อยนายนี้แล้วก็มาถึงกระโจมของเฉินซ่า เริ่มลองทำยา เนื่องจากยาที่นางนำมานั้นมีไม่มาก ดังนั้นเลยให้อิงนั่งเจ้าขาวกลับตำหนักจิ่วเซียวและไปหาหมอเทวดา แล้วเอายากลับมายี่สิบกว่าอย่าง
จริงๆแล้วถ้าคิดจะถอนยาพิษนี้ ดีสุดก็ควรหาเจอต้นเหตุก่อน ต้นเหตุในการติดเชื้ออยู่ตรงไหน เชื้อแพร่เข้ามายังไง พวกเกายู่หู่ลงมืออย่างไร
หากไม่ตรวจสอบอย่างชัดเจน แล้วนางรักษาไป แต่ฝั่งนู้นมีคนติดเชื้อเพิ่มเรื่อยๆ งั้นนางก็ต้องเหนื่อยตายสิ แถมยังต้องเปลืองยาอีกมากมาย
แต่ไม่ว่านางตรวจสอบยังไง ก็ไม่เจอต้นเหตุในการติดเชื้อ โหลชีก็รู้สึกกระสับกระส่าย ตอนบ่ายมีคนเข้ามารายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ตลอด หากพรุ่งนี้เช้านางยังหาวิธีไม่ได้ กลัวว่ากำลังใจที่ฟื้นคืนมานั้นจะหายไปอีกทีหนึ่ง
เวลาแบบนี้ ความต้านทานต่อพิษของนางกลับกลายเป็นข้อเสียเปรียบ เพราะนางไม่สามารถไปทดสอบด้วยตัวเอง
"วู๊วู"
เห็นนางกำลังก้มหน้าทำยาอยู่ หลังจากที่วู๊วูรออยู่ข้างๆมานาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เดินไปกัดกระโปรงของนาง
ตามจริงแล้ววันนี้โหลชีก็รู้สึกมาตลอดว่าวู๊วูผิดปกติ แต่เรื่องเชื้อโรคในวันนี้ทำให้นางไม่สามารถแยกสติมาดูแลมันได้ ตอนนี้เห็นมันดึงชายกระโปรงของตัวเอง เหมือนจะพานางไปข้างนอก นางเลยชี้ไปข้างนอก ถามมันว่า"เจ้าจะให้ข้าตามเจ้าออกไปหรือ?"
"วู๊วู"
โหลชีรู้สึกตกใจเล็กน้อย พอนางป้อนยาวิเศษให้มันกินมานานขนาดนี้ ก็ทำให้วู๊วูแสนรู้กว่าเมื่อก่อนแล้ว
ใช่ มีกลิ่น เพราะกลิ่นนั้นเบาบางมาก ตอนที่เผาอยู่ในกองไฟดมไม่ออก พอโหลชีเอาออกมาถึงได้ดม แน่นอนว่า ต้นไม้ส่วนใหญ่ก็มีกลิ่นในตัวอยู่แล้ว แต่กลิ่นนี้แปลกๆไปหน่อย จะว่าเป็นกลิ่นเปรี้ยวหรือ?
พูดไม่ออกว่าเป็นกลิ่นอะไร แต่กลิ่นนี้ถ้าเข้มข้นกว่านี้หน่อย จะสามารถทำให้น้ำลายของคนไหลออกมาแน่นอน มันเป็นความเปรี้ยวในผลไม้
"วู๊วู"วู๊วูดึงชายกระโปรงของโหลชีอีก จากนั้นอยู่ๆก็วิ่งออกไป ในขณะที่เฉินซ่าและโหลชีล้วนไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ มันก็วิ่งกลับมาอีกที และในครั้งนี้ ปากของมันคาบหนูภูเขาอ้วนมาตัวหนึ่ง
มันทิ้งหนูภูเขาไว้บนพื้น หนูภูเขาสั่นไม่หยุด แต่ไม่กล้าหนี เหมือนถูกวู๊วูปราบปรามไว้
"วู๊วูเจ้าจะทำอะไรหรือ?"โหลชีรู้สึกตกใจกับพฤติกรรมในคืนนี้ของวู๊วู ไอ้น้อยนี่อัจฉริยะจริงๆ ตอนนี้ยังคาบหนูภูเขามาให้นางตัวหนึ่งอีก?
ทหารที่ถือช้อนใหญ่อยู่กลับพูดอย่างประหลาดใจ"ช่างแปลกจริง เราหามาตั้งนานก็ไม่เจอเหยื่อ ทำไมจิ้งจอกน้อยตัวนี้เพิ่งมาก็จับได้หนูภูเขาที่อ้วนขนาดนี้?"
หนูภูเขา สำหรับทหารเหล่านี้นะ หลังจากปอกหนังและหั่นชิ้นแล้วใส่เข้าไปต้มกับข้าวต้ม รับรองว่าอร่อยแน่ๆ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาหาไม่เจอสักตัวเลย
พอโหลชีได้ยินคำพูดนี้ก็เข้าใจขึ้นมา เอาไม้ฟืนในมือเข้าใกล้หนูภูเขาตัวนั้น แล้วใช้กำลังคาถาวาโยทำให้ไม้ฟื้นเกิดควันขึ้นมา และปัดควันไปยังหนูภูเขาตัวนั้น
พอหนูภูเขาได้ดมถึงควันนี้ก็รีบเดินถอยหลัง มันดูเหมือนกลัวควันนี้มาก จนไม่ทันได้คำนึงถึงการปราบปรามของวู๊วูแล้ว มันร้องไปเรื่อย และพยายามที่จะหนีออกไป
โหลชีปั้นคาถาวาโยอีกอันนี้ทำให้ควันนี้เพิ่มมากขึ้น ไม่ถึงสักครู่ หนูภูเขาก็เริ่มน้ำลายฟูมปากบนพื้น
"เป็นควันที่เกิดจากไม้ฟืนเหล่านี้"
เฉินซ่าหันไปมองไฟกองนั้น"ดับไฟ!"
แต่ทำดับแค่กองนี้ เขาก็รู้ว่ามันไม่ทันอยู่แล้ว ทหารตั้งหนึ่งแสนนาย ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าได้ตั้งฟ้าทั้งหมดกี่กองเลย
"ไม้ฟืนทั้งหมดที่ใช้อาจมิใช่ชนิดเดียวกัน มิเช่นนั้นการระบาดของเชื้อจะมีขนาดใหญ่กว่านี้"โหลชีพูด มองไปทางทหารที่ทำอาหาร"พวกนี้ไปตัดมาจากที่ไหน?"
แม่ถึงตอนกลางคืนแล้ว แต่เรื่องนี้มันรุนแรงมาก โหลชีและเฉินซ่าก็ได้ตามทหารมาถึงพื้นที่ที่ตัดไม้ ก่อนหน้านี้ เฉินซ่าได้ลงคำสั่งให้อิง ให้ไปดับกองไฟทั้งหมด และให้ทุกคนใช้ผ้าปิดปากและจมูกเอาไว้
แสงจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงช่างดูเงียบเหงาหรือเกิน บนเนินเขาเตี้ยที่ใกล้กับกองทัพ มีป่าไม้หนึ่งแห่งใบไม้ร่วงหล่นไปหมด ดูแห้งเหี่ยวมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ