ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 49

ราชันอินทรีเขาหิมะบินโฉบลงมาด้วยลักษณะท่าทางที่เหิมเกริม แต่ในขณะที่ใกล้จะบินลงมาถึงพื้นนั้น ก็เห็นเพียงมือที่ขาวผ่องของโหลชีตบอยู่บนหัวของมันเบาๆ สักพัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อนว่า "ช้าๆ หน่อยเจ้าทื่อ!"

คิดไม่ถึงเลยราชันอินทรีเขาหิมะที่เดิมทีดุร้ายจนทำให้ผู้คนอยากร้องไห้ตัวนั้นจะลดความเร็วลงอย่างว่าง่ายและยอมเชื่อฟังได้จริงๆ มันร่อนลงพื้นเบาๆ โดยไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังมีเสถียรภาพเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้นมันก็หดปีกลง แล้วก้มหัวลง

ในสายตาที่เหมือนมองเห็นผีของทุกคน โหลชีก็ลื่นลงมาจากบนลำคอของมันเหมือนกับลื่นลงมาจากสไลเดอร์ เมื่อเท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพื้น นางก็หัวหน้ากลับไปตบหัวของมันไปมาอีกครั้งเหมือนเป็นการให้รางวัล แล้วพูดว่า "เจ้าทื่อเด็กดี!"

เจ้าทื่อ......

ภายในสวนดอกไม้ยุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นอย่างมาก ขอถามแม่นางว่า ท่านตั้งชื่อให้ราชันอินทรีเขาหิมะจริงๆ หรือนี่? เจ้ากล้าที่จะได้รับอำนาจอันยิ่งใหญ่แค่นิดเดียวเท่านี้เองรึ! เจ้ากล้าที่จะไม่สบประมาทเหยียดหยามราชันอินทรีขนาดนี้เชียวรึ!

ในเวลานี้ มีสาวงามที่กล้าหาญมากคนหนึ่งคิดว่าราชันอินทรีเขาหิมะตัวนี้ถูกทำให้เชื่องแล้ว นางจึงเดินไปอย่างเงียบๆ และคิดอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสขนสีขาวดุจหิมะของมันสักหน่อย ราชันอินทรีขาวก็เลยกระพือปีก พัดนางให้บินออกไปโดยตรง

"อ๊ากๆ !"

"ตูม!" เสียงของหนักตกลงบนพื้น

ทุกคนเหงื่อออก

โหลชีเอามือกดลงไปบนหน้าท้อง แล้วพูดออดอ้อนขึ้นมาว่า "นายท่าน หิวแล้ว งานเลี้ยงยังดำเนินต่อไปไหมเจ้าคะ?"

"จัดต่อสิ"

ตอนนี้ไม่ว่าเฉินซ่าจะมองนางยังไง เขาก็ไม่รู้สึกขัดหูขัดตาเลย

ยิ่งกว่านั้นนางเพิ่งจะสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ด้วยการฝึกราชันอินทรีเขาหิมะให้เชื่องไป ไม่มีใครในแคว้นตงชิงที่จะสามารถทำได้ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะทำได้แล้ว! ช่างทำให้เขามีหน้ามีตาเกินไปแล้ว เขาชอบ ชอบมากๆ เลย

แต่ ก็มีอย่างที่เขาไม่ชอบเช่นเดียวกัน เขาพบว่าในตอนนี้ ผู้คนที่อยู่ทุกทิศทุกทางล้วนกำลังมองนางอยู่ รวมถึงบรรดาพ่อบ้านเหล่านั้นของพั่วอวี้ด้วย

เขาไม่ชอบ ไม่ชอบเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาของตงสือยู่

"แม่นางโหล รบกวนเจ้าพาราชันอินทรีตัวนี้ไปอยู่ด้านหลังก่อนเถอะ ข้าได้จัดหาสถานที่เอาไว้สำหรับราชันอินทรีเป็นการชั่วคราวแล้ว" องครักษ์เยว่พูด

โหลชีไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางจึงทำได้เพียงต้องพาราชันอินทรีเดินตามองครักษ์เยว่ไป แล้วอาหารมื้อใหญ่ล่ะ อีกประเดี๋ยวนางค่อยกลับมารับประทานก็ได้ นางเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หลังจากที่ได้สูญเสียกำลังและพลังงานไปแล้วก็จะต้องใช้การรับประทานอาหารมื้อใหญ่มาทดแทน ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่ได้ชดเชยเวลาที่เสียไปในการแก้คำสาปก่อนหน้านี้กลับมาเลยนะ เสียเปรียบ เสียเปรียบ เสียเปรียบจริงๆ และนางก็รู้ดีว่า เมื่ออยู่ข้างกายเฉินซ่านางจะไม่มีวันมีชีวิตที่อยู่อย่างสุขสบายและสงบสุขเลย ซึ่งมักจะมีเรื่องราวต่างๆ นานา ปัญหาที่ยากจะแก้ไขและอันตรายทุกรูปแบบเกิดขึ้นมาเสมอ

นางเพิ่งจะทะลุมิติมาไม่กี่วันเองนะ ขึ้นเขา ลงน้ำ ตกหน้าผา ขึ้นไปบนฟ้า เลือดตกยางออก เข้าไปอยู่ในคุกน้ำ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!

นางจะต้องตีตัวออกห่างจากเขาให้ได้ จะต้องทำให้ได้

"ข้าชอบของขวัญชิ้นนี้ที่ยู่ไท่จื่อมอบให้มากๆ เชิญๆๆ พวกเราเข้าไปดื่มสุราอีกครั้งกันเถอะ!" ในตอนนี้เฉินซ่าได้มีความเรียบง่ายเป็นกันเองเข้ากับบุคคลได้ทุกชนชั้นไปแล้วจริงๆ

"คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาทจะมีคนที่มีความสามารถทั้งนั้นเลย และยังมีสาวใช้นางหนึ่งก็มีทักษะที่น่าทึ่งเช่นนี้อีกด้วย! ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนั้นมีนามว่าอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

เฉินซ่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร องครักษ์เสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็พูดออกมาว่า "นางชื่อโหลชี เป็นสาวใช้ของฝ่าบาทเจ้าค่ะ"

เป็นแค่สาวใช้เท่านั้น ถ้าหากยู่ไท่จื่อสนใจขึ้นมา ก็รีบเอ่ยปากว่าอยากได้นางเร็วๆ เข้าสิ ถ้าหากว่าเขาเอ่ยปากออกมาว่าอยากได้นาง ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็คงไม่อาจปฏิเสธตงสือยู่ได้เพราะสาวใช้นางหนึ่งหรอกใช่ไหม?

ยังไงก็ตามเขาก็เพิ่งมอบของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนั้นให้เขานะ!

อิงดึงแขนของนางเอาไว้ แล้วลากนางไปด้านข้าง "เสวี่ย ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้า!"

เฉินซ่ามีสีหน้าที่เมินเฉย ความเรียบง่ายเป็นกันเองเมื่อสักครู่นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นภาพลวงตา

ไม่ว่าในพั่วอวี้แห่งนี้จะมีคนอิจฉาริษยาโหลชีและแทบอยากจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของนางไม่มากก็น้อย แต่ทว่า นางเป็นคนของพั่วอวี้ ในครั้งนี้นางได้แสดงพลังอำนาจแทนพั่วอวี้อย่างยิ่งใหญ่แล้ว ได้แสดงพลังอำนาจแล้วแคว้นตงชิงมีพรมแดนกว้างใหญ่ไพศาลและโภคทรัพย์ก็อุดมสมบูรณ์ อาณาเขตของแคว้นใหญ่เป็นหกเท่าของพั่วอวี้ ในสถานที่แบบนั้นจะหาใครสักคนมาฝึกราชันอินทรีเขาหิมะตัวนี้ให้เชื่องไม่ได้เลย แต่คนของพั่วอวี้ของพวกเขาฝึกให้เชื่องได้แล้ว! หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป พั่วอวี้ของพวกเขาก็จะดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก

ดังนั้นงานเลี้ยงนี้จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าของทุกคนในพั่วอวี้ล้วนมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความปลื้มปีติยินดี ท่าทางการเดินล้วนมีความสง่าผ่าเผย และท่าทางเวลาดื่มสุราก็แทบจะไม่กล้าได้กล้าเสียมากเกินไปแล้ว

ในเวลาอันสั้น ภายในโถงจัดงานเลี้ยงก็คึกคักเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาอารมณ์ดีมาก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะสร้างบรรยากาศให้คึกคักขึ้นมาได้

ฝูหรงองค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยชางนั่งอยู่บนที่นั่ง นางได้ถอดผ้าคลุมหน้าของนางออกแล้วตอนที่กำลังเป่าขลุ่ยหยกฝึกนกอินทรีก่อนหน้านี้ ซึ่งนั่นช่างเป็นใบหน้าของสาวงามที่งดงามเกินกว่าใครเสียจริงๆ

เดิมทีนางเป็นคนที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญอยู่นิดหน่อย เพราะว่าเมื่อสักครู่ได้รับบาดเจ็บภายในและถูกแว้งกัด ในตอนนี้สีหน้าของนางจึงขาวซีดไปหน่อยและมีความอ่อนแออยู่เล็กน้อย และบุคลิกองอาจห้าวหาญของนางก็ลดลง ทำให้ความสวยของนางดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมแล้ว จึงมักจะมีผู้ชายหลายคนมองมาที่นางอยู่ตลอดเวลา

ส่วนสาวเย่าองค์หญิงเล็กแห่งเป่ยชางก็ถอดผ้าคลุมหน้าออกเช่นกัน แม้ว่าความงามของนางจะด้อยกว่าพี่สาวเล็กน้อย แต่เป็นเพราะว่านางมีอายุน้อยกว่าเล็กน้อย มีรูปโฉมงดงามและอ่อนหวาน และมีลักยิ้มที่มุมปากซึ่งปรากฏขึ้นให้เห็นลางๆ ทั้งสองข้าง นางก็เลยสามารถทำให้ผู้คนรักและสงสารได้ง่ายมากเช่นเดียวกัน

แต่บางคนก็ไม่ถือว่าจะเป็นเช่นนั้น พระสนมน่ะ อย่างมากก็เป็นแค่ผู้หญิงเท่านั้นแหละ จะเทียบกับผู้หญิงที่สามารถฝึกราชันอินทรีเขาหิมะเชื่องได้หรือ? จะเทียบได้หรือ?

แม้แต่องค์หญิงทั้งสองพระองค์แห่งเป่ยชาง ถ้าหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากแคว้นเป่ยชางทั้งแคว้น พวกนางก็ไม่คู่ควรที่จะมาถือรองเท้าให้โหลชีด้วยซ้ำใช่หรือไม่?

และนี่คือ ความคิดของแขกที่ไม่ได้ส่งสาวงามมา เพียงแต่มาเพื่อแสดงความยินดีอย่างเดียวเท่านั้น

เป่ยฝูหรงพยายามกลั้นลมหายใจ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มออกมาว่า "ฝ่าบาทพูดอะไรอย่างนั้นเพคะ ฝูหรงไหนเลยจะกล้าสั่งแม่นางโหลเล่าเพคะ ฝูหรงรู้สึกละอายใจมากที่มีสู้แม่นางโหลไม่ได้ เพียงแต่อยากจะเชิญแม่นางโหลดื่มสุราสักจอก ขอบพระคุณบุญคุณที่แม่นางโหลได้ช่วยชีวิตเอาไว้ก่อนหน้านี้น่ะเพคะ"

นี่เป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้โหลชีอยู่บนหลังนกอินทรี และได้ช่วยชีวิตเป่ยฝูหรงเอาไว้

ตามหลักเหตุผลแล้ว บุญคุณที่ช่วยชีวิตองค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยชาง สมควรได้รับสุราจอกนี้ แต่ทว่า โหลชีมีฐานะเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง พูดตามความเป็นจริงก็คือ องค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยชางเป็นแขกผู้มีเกียรติ เมื่อนางประสบกับภยันตรายในพั่วอวี้ การที่สาวใช้และองครักษ์ของพั่วอวี้ได้สละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยนางนั้นก็เป็นเรื่องที่ควรจะทำอยู่แล้วนี่! นี่คือสังคมที่เคร่งครัดเรื่องชนชั้นมาก ไม่เหมือนสมัยปัจจุบัน

ดังนั้น อากัปกิริยาในการขอเชิญดื่มสุราขอบคุณสำหรับบุญคุณในครั้งนี้ขององค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยชาง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าวิธีที่นางทำนี้ช่างน่าชื่นชมยกย่องเป็นอย่างยิ่งจริงๆ รู้จักบุญคุณคน แล้วก็ไม่ทำเป็นไม่สนใจไยดีเพียงเพราะสถานะที่ต่ำต้อยของอีกฝ่ายด้วย

กลับเป็นโหลชีนั้น เหล้าจอกนี้ นางรับเอาไว้ก็ไม่ถูกต้อง ไม่รับก็ยิ่งไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่านางจะลงจากหลังเสือยากเล็กน้อยเสียแล้ว เพราะว่าถ้าหากนางรับเอาไว้ อาจจะทำให้ทุกคนคิดว่านางทะนงตน อาศัยความมีบุญคุณและคิดไม่ถึงเลยว่านางจะให้องค์หญิงของแคว้นมาคารวะนางด้วยสุราได้ แต่ถ้านางไม่รับก็ยิ่งไปกันใหญ่ องค์หญิงของแคว้นต่างก็คารวะนางด้วยสุรา นางเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น บังอาจจะไม่รับเอาไว้!

ไม่ใช่ว่าโหลชีไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ นางเพียงแค่ขี้เกียจไปสนใจก็เท่านั้น ดังนั้นนางจึงมองไปทางเฉินซ่า

เฉินซ่าไม่พูดอะไรสักคำ หยิบจอกสุราที่อยู่ตรงหน้านางขึ้นมา และแสดงเจตนาให้เป่ยฝูหรงทราบสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า "องค์หญิงใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว สุราจอกนี้ ข้าขอดื่มแทนโหลชีก็แล้วกัน" ในขณะที่เขาพูดอยู่ เขาก็เงยหน้าขึ้นดื่มสุราจอกนั้นจนหมดในคราวเดียว โดยที่ไม่ให้โอกาสเป่ยฝูหรงได้กล่าวคำอะไรใดๆ อีกเลย

ทุกคนที่อยู่ด้านล่างล้วนแต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เมื่อมองไปที่ที่นั่งก็รู้ว่าโหลชีจะต้องมีสถานะพิเศษภายในหัวใจของเฉินซ่าอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะพิเศษมากขนาดนี้! นี่เป็นการปกป้องอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเลยนะ!

โหลชีผู้นี้ เป็นแค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้นจริงๆ หรือ?

"ฮ่าฮ่า แม่นางโหล" ในเวลานี้ตงสือยู่ก็ยกจอกสุราขึ้นมาเช่นกัน แล้วพูดเป็นนัยๆ กับโหลชีว่า "สือยู่เลื่อมใสในความสามารถของแม่นางโหลมาก สุราจอกนี้ สือยู่ขอคารวะแม่นางโหล ขอแม่นางโหลวได้โปรดให้เกียรติรับไว้ด้วย"

ยู่ไท่จื่อตงสือยู่ได้ยกสถานะของนางขึ้นมาแล้ว ซึ่งตัวเขาเองแทบจะพูดคุยกับนางด้วยสถานะที่เท่าเทียมด้วยซ้ำ

ในขณะที่โหลชีกำลังสูดดมกลิ่นหอมที่ไม่เลวของสุรานั้น ก็คิดว่าดื่มจอกเดียวก็คงไม่เป็นไร นางก็เลยส่งสัญญาณให้สาวใช้ข้างหลังเอาสุรามาเติมให้เต็มจอก ในขณะที่กำลังจะยกจอกขึ้นมาดื่มนั่นเอง มือของเฉินซ่าก็ยื่นเข้ามารับสุราจอกนั้นไป แล้วพูดกับตงสือยู่ว่า "โหลชีคอไม่แข็ง จอกนี้ของยู่ไท่จื่อ ข้าก็ขอดื่มแทนนางเช่นกัน" พอพูดจบ เขาก็ดื่มจนหมดในคราวเดียวอีกครั้ง

ตงสือยู่ยิ้ม แล้วก็ดื่มจนหมดในคราวเดียวเช่นกัน และตอนที่นั่งลง เขาก็เหลือบมองโหลชีด้วย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ