หลังจากที่สอบสวนเฟยเยว่แล้ว เฉินซ่าก็นิ่งเงียบผิดปกติ โหลชีรู้ว่าเขาน่าจะมีข้อสงสัยที่ถือว่าน่ากลัวเล็กน้อยอยู่ในใจ ฉินซูเป่าเคยบอกไว้ว่า พ่อแม่ของเขารักใคร่ซึ่งกันและกัน ในวังหลวงไม่ได้มีผู้หญิงคนอื่น ถึงจะมีก็เป็นเพียงแค่นางกำนัล แต่ว่าสามารถเข้าถึงตัวไท่จื่อได้ ต้องไม่ใช่นางกำนัลธรรมดาทั่วไปแน่ เช่นนั้น เป็นไปได้อย่างมากที่จะถูกคนข้างกายที่ซึ่งพ่อแม่ของเขาไว้วางใจทำร้าย
"เบิกตัวแม่ทัพฉินมาเข้าเฝ้า"
หลังจากที่เฉินซ่านิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก็เบิกตัวฉินซูเป่ามาเข้าเฝ้า
หลังจากที่ฉินซูเป่ามาถึงยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉินซ่าก็กล่าวถามอย่างเคร่งขรึมแล้ว: "ในวังหลวงของราชวงศ์เฉิน มีผู้หญิงที่มีหน้าตางดงาม แซ่โกวไหม?"
"แซ่โกว?" ฉินซูเป่าอึ้งไปครู่หนึ่ง "ฮองเฮาก็แซ่โกว"
อะไรนะ?
ทีนี้แม้แต่โหลชีก็นั่งตัวตรงขึ้นมา มองดูเขาอย่างตกตะลึง "ฮองเฮาแซ่โกว?" นางมองเฉินซ่าครู่หนึ่ง พบว่าในดวงตาของเขามีเมฆหมอกแห่งความความทุกข์พุ่งขึ้นมา มือกำพนักพิงเก้าอี้เอาไว้แน่น ข้อนิ้วมือก็ยังซีดขาว
"พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮามาจากตระกูลโกวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง"
แววตาของเฉินซ่ามืดสลัวลง: "ในวังนอกจากฮองเฮาแล้ว ยังมีใครอีก?"
"เรื่องนี้กระหม่อมก็ไม่ทราบ ในตอนนั้นกองราชาอสูรเทพฝึกในกันอย่างยากลำบากและหนักหนาสาหัสมาก กระหม่อมใช้เวลาอยู่ในกองทัพตลอด สำหรับเรื่องในวัง สิ่งที่รู้มีน้อยมาก" ฉินซูเป่าพูดไป ก็เห็นว่าสีหน้าของพวกเขาต่างก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แค่คิดดูแล้วก็กล่าวถามว่า: "ฝ่าบาท ได้ยินมาว่าลูกชายขององค์หญิงเฉินเซียงก็อยู่ที่จิ่วเซียว?"
เฉินซ่าได้สติกลับมา ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าหากสิ่งที่ซู่ฉงโจวพูดก่อนหน้านี้ล้วนถูกต้องทั้งหมด เช่นนั้น แม่ของซู่ฉงโจวก็คืออาของเขา ไม่แน่ว่านางจะรู้เรื่องในวัง
โหลชีเห็นเขามองมา รีบกล่าวว่า: "ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกไว้ว่าพ่อแม่ของเขาใกล้จะมาถึงต้าเซิ่งแล้ว คาดว่าน่าจะมาถึงวันสองวันนี้แหละ"
สมัยนั้นตอนที่ซู่ฉงโจวจากไปยังเด็กมาก ยังไม่เคยไปที่ราชวงศ์เฉิน ฉินซูเป่าย่อมไม่รู้จักเขาอยู่แล้ว แต่ว่าพ่อแม่ของเขามา ไม่ว่าอย่างไรฉินซูเป่าก็ต้องรู้จักองค์หญิงเฉินเซียงในตอนนั้น ดังนั้นรอพวกเขามาถึงแล้ว ตัวตนของซู่ฉงโจวก็จะได้รับการยืนยันอย่างสมบูรณ์
"พระสนม พ่อแม่ของคุณชายฉงโจวมาถึงด้านนอกวังแล้ว" เอ้อร์หลิงเดินก้าวเท้ารีบเข้ามารายงาน
พวกเขาล้วนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ "คุณชายฉงโจวล่ะ?"
เอ้อร์หลิงกล่าวตอบว่า: "คุณชายฉงโจวไปรับด้วยตนเองแล้ว"
เฉินซ่าเงยหน้า "เรียกตัวมาเข้าเฝ้า"
หน้าประตูตำหนักสาม คนกลุ่มหนึ่งเดินมาอย่างเร็ว
คนที่อยู่ข้างหน้าคือซู่ฉงโจว เดิมทีเขาเดินช้าๆอย่างใจเย็น แต่สาวงามวัยกลางคนคนหนึ่งกลับเดินก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างเร็วแล้วจับมือของเขาเอาไว้ กล่าวอย่างรีบร้อน: "โจวเอ๋อร์เจ้าเดินเร็วๆหน่อยสิ มัวแต่ชักช้าร่ำไรเช่นนี้ทำไมกัน?"
ซู่ฉงโจวเห็นมืออีกข้างหนึ่งของนางถือชายกระโปรงเอาไว้ ด้วยท่าทางที่ใกล้จะบินทะยานไปข้างหน้า กล่าวขึ้นมาอย่างจนใจ: "ท่านแม่ รีบร้อนทำไม?"
"ไม่รีบร้อนได้อย่างไร? เด็กคนนั้นข้าไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อก่อนก็คิดมาตลอดว่าจากไปแล้วเช่นกัน ยังร้องไห้อยู่นาน ตอนนี้ยังมีโอกาสได้เจอ เจ้าว่าแม่ที่เป็นอา ยังจะไม่รีบร้อนได้หรือ?"
สาวงามวัยกลางคนนี้ดูแล้วอายุก็น่าจะประมาณสามสิบสี่สามสิบห้า ลักษณะของใบหน้าสวยงามสดใส ไม่ใช่ลักษณะอ่อนโยนนิ่มนวล แต่เป็นความงามที่งามที่สุดในแผ่นดินราวกับดอกโบตั๋น เมื่อมองดูอย่างละเอียด คิ้วยังมีส่วนคล้ายเฉินซ่าสามส่วน
โหลชีเป็นคนแรกเห็นสาวงามวัยกลางคนนี้ แทบจะทันทีที่เห็นนางก็เชื่อแล้ว ท่านผู้นี้คือองค์หญิงเฉินเซียง อาแท้ๆของเฉินซ่า
และหลังจากที่นางเห็นเฉินเซียงแล้วก็มองไปทางชายวัยกลางคนที่ตามอยู่ข้างหลังทันที
เฉินเซียงแต่งงานกับอารองของนาง ดังนั้น ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คืออารองของนาง ซวนหยวนอี้ หมายความว่า นางยังต้องเรียกเฉินเซียงว่าอาสะใภ้รองด้วยสิ
ครั้งก่อนลืมถามนักพรตเลวไปว่า พวกเขาสามพี่น้องหน้าตาเหมือนกันไหม
แต่ว่าตอนนี้เห็นซวนหยวนอี้นางก็รู้แล้ว ไม่เหมือนกันเลยสักนิด
สิ่งที่ซวนหยวนอี้อยู่เหนือความคาดหมายของนางคือเป็นประเภทบันฑิตหน้าขาว หน้าตาสะอาดสะอ้านหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง กิริยาท่าทางสง่างาม เมื่อมองเช่นนี้ ซู่ฉงโจวยังดูเหมือนเขามากกว่าเล็กน้อย
เช่นนั้น พ่อแท้ๆของนางหน้าตาจะเป็นอย่างไรกันนะ?
ในระหว่างที่นางใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย คนสามคนนั้นก็เดินอ้อมต้นดอกท้อสองสามต้นมาแล้ว เดินมาถึงด้านหน้า ต้นดอกท้อสองสามต้นนั้นก่อนหน้านี้โหลชีเป็นคนสั่งให้เสี่ยวโฉวปลูก
ความสัมพันธ์ระหว่างโหลชีกับซวนหยวนอี้ ตอนนี้ยังมีแค่นางกับเฉินซ่าเท่านั้นที่รู้ แม้แต่เสี่ยวโฉว ถึงแม้จะรู้ชื่อของนักพรตเลว แต่ก็ไม่เคยคิดไปทางด้านนี้เลย
ดังนั้นซู่ฉงโจวจึงไม่รู้
นางก็ไม่พูด เพียงแค่นั่งอยู่ข้างกายของเฉินซ่า สีหน้าท่าทางเกียจคร้าน เสี่ยวโฉวอยู่ด้านข้างกำลังปอกองุ่นให้วู๊วูอยู่ วู๊วูเจ้านักกินตัวน้อยนี่ถูกปรนนิบัติจนเคลิบเคลิ้มไปทั้งใบหน้า
แต่พวกเขาต่างก็นึกไม่ถึง แวบแรกที่ซวนหยวนอี้มองไม่ใช่คน แต่ว่ามองไปทางเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนั้น ในแววตาเผยความตกตะลึงออกมาโดยปริยาย
เฉินซ่ากับโหลชีมองหน้ากันครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที
แต่ว่าซวนหยวนอี้ระงับอารมณ์เอาไว้ได้ ไม่ได้พูดอะไรออกมาในทันที แต่โค้งคำนับเฉินซ่าภายใต้การแนะนำของซู่ฉงโจว การคำนับของพวกเขาย่อมไม่ใช่การคำนับแบบราชากับขุนนางอยู่แล้ว
สามารถมองออกมาได้ว่า ทุกท่วงท่ากิริยาของพวกเขาสง่างามและสมบูรณ์แบบ เห็นได้ชัดว่าได้รับการอบรมกิริยามารยาทที่เข้มงวดของราชวงศ์
"ซวนหยวนอี้พาฮูหยิน เฉินเซียง คำนับจักรพรรดิแห่งต้าเซิ่ง พระสนม"
ทันทีที่ซวนหยวนอี้พูดออกมา โหลชีก็กดไลก์ให้เสียงของเขาหนึ่งหมื่นครั้ง นี่มันช่างไพเราะมากจริงๆ ราวกับสายลมบางเบาที่พัดผ่านใต้แสงจันทร์ ไม่สูงไม่ต่ำ ไพเราะจนรู้สึกเคลิบเคลิ้มสบายหู
คำพูดยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเฉินเซียงร้องขึ้นมาอย่างประหลาดใจ: "แม่ทัพฉิน! ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่ได้?"
ทันทีที่คำพูดประโยคนี้ออกมา โดยพื้นฐานแล้วฐานะของนางก็ได้รับการยืนยันแล้ว ฉินซูเป่าเห็นว่าเฉินซ่าไม่ได้ห้าม เลยก้าวไปข้างหน้าแล้วคำนับเฉินเซียง และก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเช่นกัน: "ข้าน้อยคำนับองค์หญิงใหญ่!"
ฉินซูเป่าก็ไม่ได้พบองค์หญิงใหญ่ท่านนี้มานานมากแล้วเช่นกัน นานจนตอนที่เอ่ยถึงนางยังเรียกนางว่าองค์หญิงใหญ่ตามความเคยชิน
"แม่ทัพฉิน ข้านึกว่าพวกท่านทุกคนล้วน......" เฉินเซียงร้องไห้ขึ้นมาอีก นึกว่าทั้งราชวงศ์เฉินล้วนจากไปแล้ว
พวกเขากลับมาไม่ได้มาตลอด หลายปีมานี้ก็ยังต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไม่ให้คนอื่นรู้อีก ความกังวลและความทุกข์ทรมานในใจทำให้คนเจ็บปวดเหลือเกิน
เรื่องของสามเขาหนึ่งอุทยานก่อนหน้านี้ ไม่มีความจำเป็นต้องเล่าให้เฉินเซียงฟังอีก ฉินซูเป่าก็แค่พูดกับนางไปอีกสองสามประโยค ก็มองไปทางเฉินซ่า
เฉินเซียงก็ยิ่งมองดูเขาอย่างน้อยใจ เด็กคนนี้แตกต่างจากที่นางจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิงเลย เขาไม่ควรจะตาแดงๆแล้วมาจับมือของนางเอาไว้พร้อมเรียกว่าท่านอาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นหรือ? ทำไมถึงได้เย็นชาสงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบเช่นนี้ได้?
เฉินเซียงเศร้าใจเหลือเกิน
"ถ้าหากเจ้าเติบโตภายใต้ความรักความเอาใจใส่ของเสด็จพี่และพี่สะใภ้ ต้องไม่เป็นอย่างตอนนี้แน่......" นางอดที่จะปาดน้ำตาอีกครั้งไม่ได้
โหลชีแอบหยิกเอวหลังของเฉินซ่าทีหนึ่ง ร่างกายของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย เหลือบมองนางครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเรียกออกมาคำหนึ่ง: "ท่านอา"
เฉินเซียงกุมปากเอาไว้ แต่ว่าวินาทีต่อมาก็กระโจนเข้าไปทางเขา กอดเขาเอาไว้แน่นแล้วร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
ใครก็คิดไม่ถึงว่านางจะมีการกระทำเช่นนี้ ต่างก็ตะลึงอึ้งไป
โหลชีรีบคว้าแขนของเขาเอาไว้ทันที กลัวจริงๆว่าเขาแม่งจะใช้ฝ่ามือตบเฉินเซียงกระเด็นออกไป
คนที่กลัวยิ่งกว่านางคือซวนหยวนฉงโจว หลังจากที่ได้สติกลับมาก็รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงแม่ออกไปทันที ถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วมองไปที่หน้าอกที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาของเฉินซ่าครู่หนึ่ง เขาทำหน้าหมดคำพูด
โหลชีกลั้นหัวเราะแล้วกระแอมไอ: "เอ้อร์หลิง จัดเตรียมที่พักสำหรับองค์หญิงใหญ่และครอบครัวเสร็จหรือยัง?"
"ทูลพระสนม จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ตำหนักสอดแสงของตำหนักสอง"
เวลานี้เฉินเซียงถึงมองมาทางโหลชี ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา: "เจ้าก็คือสนมของซ่าเอ๋อร์?"
"นี่คือฮองเฮาของข้า" เฉินซ่าไม่ค่อยชอบการเรียกสนมเท่าไหร่นัก แล้วเขาก็ไม่ได้มีสนมคนอื่นเสียหน่อย พูดเช่นนี้ดูแล้วไม่หนักแน่นอย่างมาก
เฉินเซียงกำลังจะพูด จู่ๆซวนหยวนอี้ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็มองไปทางโหลชี: "พระสนมแซ่โหล?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ