ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 511

ร่างของมู่หลานพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที คว้าจับข้อมือของอามู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ว่า "เสี่ยวหลัว อย่าพูด!"

เยว่หลุดเสียงหัวเราะดัง "เฮอะ" ออกมาเบา ๆ

อามู่หันหน้ากลับมา ประสานสายตาเข้ากับดวงตาสีเข้มของอวิ๋น หัวใจสั่นสะท้าน "พี่อวิ๋น ข้า..."

"พูดกับไม่พูด มันตัดสินใจยากขนาดนี้เชียวรึ?" น้ำเสียงของอวิ๋นฟังดูราบเรียบไม่แยแส แต่กลับฟังออกถึงความเหินห่างเล็กน้อย สิ่งนี้ทำให้อามู่ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง โพล่งออกมาทันทีว่า: "ไม่! ไม่ใช่! พวกเรามาจากลัทธิสิ้นโลกีย์!"

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกจากปาก นางก็เห็นว่าสีหน้าของทุกคนในที่นี้ล้วนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

น้ำตาของอามู่ร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง: "ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังพวกเจ้านะ ข้า...."

"พูด" อวิ๋นเอ่ยคำพูดหนัก ๆ ออกมาเพียงคำเดียว

เมื่ออามู่เห็นท่าทางของเขาที่ราวกับจะวาดเส้นแบ่งเขตกับนางอยู่แล้ว ในใจพลันรู้สึกโศกเศร้า รีบดึงมือออกจากมือของมู่หลาน หันหลังกลับแล้ววิ่งทะยานเข้าไปหาหยุนทันที โถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา นางใช้แรงเยอะมาก จนเกือบจะกระแทกอวิ๋นให้ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเลยทีเดียว

นางไปกระแทกโดนเข้ากับแผลเป็นของเขา แผลเป็นรอยนั้นเหมือนจะเจ็บยิ่งกว่าตอนแรกขึ้นมาแล้ว ทว่ามือของอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้ผลักนางออกไป ทอดถอนใจอย่างล้ำลึก ใช้สองมือคว้าจับที่หัวไหล่ของนาง แล้วค่อย ๆ ดึงตัวนางออกเล็กน้อย

"นี่เจ้าจะทำอะไร?" มีคนมองอยู่ตั้งเยอะแท้ ๆ ก่อนหน้านี้ที่สถานะลูกสาวของนางยังไม่เปิดเผย เขาไม่เคยรู้เลยว่า นางจะเป็นคนที่มีน้ำตาได้มากมายมหาศาลขนาดนี้

"พี่อวิ๋น อามู่ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่านจริง ๆ นะ ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับท่าน หลังจากนั้นพอมาถึงตำหนักจิ่วเซียว ข้าก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีก เพราะกลัวว่าท่านจะไล่ข้าไป พี่อวิ๋น ไม่ว่าท่านอยากรู้อะไร อามู่ก็จะพูดออกมาให้หมดเลยดีหรือไม่....."

"เสี่ยวหลัว! เจ้าทำแบบนี้ยังจะกล้าสู้หน้าท่านพ่อบุญธรรมได้อีกรึ?" มู่หลานพยายามดิ้นรนหวังจะพุ่งเข้ามา แต่ฮั่วหยูฉุนใช้มือเดียวคว้ากุมเข้าที่ไหล่ของนาง ทำให้นางพยายามเท่าไหร่ก็ขยับตัวไม่ได้

โหลชีมองนางด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ทำสัญญาณมือ ฮั่วหยูฉุนพยักหน้า จากนั้นก็คุมตัวนางออกไป

ในเมื่ออามู่รู้ทุกอย่าง เช่นนั้นก็ถามนางแล้วกัน ตอนนี้ใบหน้าของมู่หลานคืนกลับมาเป็นใบหน้าดั้งเดิมของนางแล้ว ภัยคุกคามครั้งใหญ่ก็ถูกคลี่คลายแล้ว โหลชีจึงรู้สึกโล่งใจลงไปได้เปลาะหนึ่ง

นางนั่งลงในตำแหน่งที่นั่งหลักในห้องโถง เสี่ยวโฉวเดินไปข้าง ๆ นาง ก้มหน้าลงกระซิบคำพูดสองสามประโยคที่ข้างหู คิ้วของโหลชีพลันเลิกขึ้นสูง

"กลั่นชุบ?"

เสี่ยวโฉวพยักหน้า

นางเคยได้ยินซวนหยวนคงพูดถึงพิษชนิดนี้มาก่อน ส่วนเหตุผลที่นางจำได้ ก็เพราะว่าชื่อของพิษชนิดนี้มีความแตกต่างอย่างมากกับอาการกำเริบของมันหลังถูกพิษ ชื่อของมันค่อนข้างน่าสนใจ เพียงแต่หลังจากถูกพิษแล้ว บาดแผลหรือรอยแผลเป็นตามร่างกายที่มีอยู่ ยิ่งนับวันก็จะยิ่งหนักขึ้น ยิ่งรักษาก็จะยิ่งน่ากลัวขึ้น ปากแผลจะขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ ลุกลามไม่หยุด จนกระทั่งทั้งร่างของผู้ถูกพิษจะไม่มีผิวเนื้อที่สภาพดี ๆ หลงเหลืออยู่เลย แล้วสุดท้ายก็จะเป็นเหมือนเศษเนื้อผสมกองเลือดเละ ๆ กองหนึ่งเท่านั้น

ในตอนแรกซวนหยวนคงใช้พิษนี้มาขู่ให้นางกลัว ดังนั้นถึงได้อธิบายอาการที่แสดงหลังจากถูกพิษไว้อย่างละเอียดชัดเจน อีกทั้งเขายังเคยพูดด้วยว่า พิษชนิดนี้ในใต้หล้าแห่งนี้ คาดว่าคงจะมีแค่เขากับศิษย์ร่วมสำนักของเขาเท่านั้น ที่จะสามารถแก้พิษชนิดนี้ได้

ทันทีที่นางเห็นรอยแผลเป็นขององครักษ์อวิ๋น นางก็รีบลากเขาชนิดไม่กล้าหยุดพักตรงดิ่งเข้าไปหาโหลชีอย่างรวดเร็ว ถ้าโหลชีไม่ได้เรียนวิธีแก้พิษมา เช่นนั้นองครักษ์อวิ๋นก็คงจบสิ้นแน่แล้ว

โหลชีพยักหน้า: "ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปที่สวนยาด้านหลังแล้วขอให้ท่านหมอเทวดาถอนหญ้าชิงไห่ออกมาให้เจ้าสักหลาย ๆ ต้น ให้ลูกน้องดูแลยาคั้นสกัดเฉพาะน้ำออกมา เติมน้ำลงไปแล้วแช่มือในนั้น"

เสี่ยวโฉวตกใจเล็กน้อย เข้าใจว่าพิษขององครักษ์อวิ๋นสามารถถ่ายทอดผ่านการสัมผัสหรือซึมซับผ่านทางผิวหนังได้โดยตรง แม้ว่านางจะไม่มีบาดแผลบนร่างกาย แต่คิดเผื่อไว้ก็นับว่าสมควรอยู่ จึงตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วเดินไปที่สวนยาด้านหลังอย่างรวดเร็ว

น้ำเสียงเมื่อครู่ของโหลชีไม่ได้กดให้ต่ำลง ทุกคนในห้องโถงจึงได้ยินกันหมด อิงหันไปมองเขาอย่างงงงวย เยว่เอียงหน้าไปมองอิงกับอามู่ คล้ายว่าจะเข้าใจอะไรบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมาเล็กน้อย

ในทางกลับกัน สีหน้าของอวิ๋นกลับดูปกติมาก ดูไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่

"พวกเจ้ารออีกสักครู่ก็ไปหาท่านหมอเทวดาด้วยล่ะ พวกเจ้ามีการสัมผัสใกล้ชิดกับองครักษ์อวิ๋น ทางที่ดีคืออาบน้ำไปเลยจะดีที่สุด" โหลชีพูดกับเยว่และอิง

"พระสนม อวิ๋นถูกพิษหรือพ่ะย่ะค่ะ?" เยว่ถาม

อิงตกใจ: "ทำไมถึงถูกพิษได้? ใครเป็นคนวางยาพิษเขา?" เขาหันไปมองอามู่ "เป็นเจ้ารึ?!"

อามู่ตกใจจนผงะ แผดเสียงร้องตะโกนขึ้นว่า "ข้าเปล่านะ! ข้าจะวางยาพิษพี่อวิ๋นได้อย่างไรกันเล่า!"

"ไม่ใช่เจ้าวางยาพิษ แต่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าแน่ กู่ที่อยู่บนร่างของเจ้า แม้ว่าจะคล้ายกับกู่ของฝ่าบาท แต่ก็ไม่ใช่กู่ชนิดเดียวกัน กู่บนร่างเจ้ามีพิษที่ซ่อนอยู่และพิษนี้จะไม่มีผลต่อหนอนกู่ที่แฝงอยู่ในร่าง แต่จะมีผลต่อคนที่สัมผัสใกล้ชิดตัวเจ้า หากคนที่ถูกแพร่เชื้อไม่ได้รับบาดเจ็บ จะไม่มีปัญหาใด ๆ เป็นการชั่วคราว แต่ขอแค่เขาได้รับบาดเจ็บขึ้นมา เกิดมีบาดแผล บาดแผลนั้นก็จะค่อย ๆ เน่าเปื่อยลง เสื่อมสลายลงจนในที่สุด ร่างคนทั้งร่างก็จะกลายเป็นแผล"

ทุกคนฟังแล้วต่างตกใจกลัว

ร่างคนทั้งร่างกลายเป็นแผลทั้งหมด มันหมายความว่าอย่างไรกัน? เมื่อคิดตามคำพูดนี้ เส้นขนทั้งหมดบนร่างกายต่างก็ลุกชัน

อามู่รีบถอยออกมาจากอ้อมแขนของอวิ๋นด้วยใบหน้าซีดเผือดอย่างรวดเร็ว มองอวิ๋นด้วยดวงตาแดงเรื่อ ริมฝีปากสั่นเทา ถึงกับทิ้งตัวลงคุกเข่าดัง "ตึง" หนัก ๆ อย่างไม่กลัวเจ็บเลยทีเดียว

"พี่อวิ๋น... อามู่ผิดต่อท่าน อามู่สมควรตาย!" ตอนนี้พอคิดขึ้นมา นางเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมเมื่อก่อนภายนอกถึงยังไม่เป็นอะไร แต่ช่วงนี้ รอยแผลเป็นของอวิ๋นกลับเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นี่จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าตอนนั้นที่หุบเขาร้อยแมลง พวกเขาจูบกัน อีกทั้งเขายังสัมผัสร่างกายของนางด้วย......

นางเอาแต่หวนคิดถึงจูบนั้นกับสัมผัสหยอกเย้าเบา ๆ นั้น เอาแต่หน้าแดงใจเต้นรัว แต่กลับไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนั่นเป็นการทำร้ายพี่อวิ๋น!

อามู่กัดฟันกรอด ยกมือข้างหนึ่งขึ้นฟาดเข้าไปที่ตำแหน่งกลางกระหม่อมของตัวเอง!

นางสมควรตาย นางคือฆาตกร....

"เขาบอกว่าเขาแซ่มู่ เดิมทีข้ากับพี่สาวต่างก็เป็นลูกสาวตระกูลโหล พ่อของพวกเราเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของตระกูลโหล"

ความหมายของคำพูดนี้คืออะไร โหลชีแสดงท่าทางว่าไม่เข้าใจ ท่านจินเคยพูดไว้ว่านางมีคำสาปเลือดดวงชะตา ซึ่งต้องเป็นทายาทสายตรงของตระกูลโหลเท่านั้นถึงจะมีได้ แต่ตอนนี้นางกลับได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นคนของตระกูลซวนหยวน แล้วถ้าหากพวกมู่หลานสองพี่น้องเป็นหลานสาวที่แท้จริงของตระกูลโหล ทำไมถึงต้องไปลัทธิสิ้นโลกีย์ คารวะพ่อบุญธรรม ทั้งยังถึงขั้นต้องเปลี่ยนแซ่ตามเขาอีก?

แต่นางมีลางสังหรณ์ว่า อามู่จะสามารถไขข้อข้องใจของนางได้ ช่วยให้นางเข้าใจปัญหามากมายที่ก่อนหน้านี้ขบคิดอย่างไรก็ขบคิดไม่แตก

"พูดต่อเถอะ" นางเริ่มจะร้อนใจขึ้นมาแล้ว ราวกับว่าความจริงทั้งหมดมาอยู่ตรงหน้า รอแค่ยื่นมือออกไปยกม่านผืนบางที่กางกั้นอยู่ชั้นหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น

แววตาของอามู่แลดูว่างเปล่าลงไปเล็กน้อย "ตอนที่ยังเด็ก พวกเราไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตระกูลโหลมาก่อนเลย พ่อบอกว่า ในบ้านมีคนคิดจะทำร้ายเขา พวกเราเลยไปอาศัยอยู่ข้างนอก รอให้วันไหนที่คำสาปเลือดดวงชะตาของเขา หรือไม่ก็ของข้ากับพี่สาวแสดงความสามารถออกมา ค่อยกลับไป ตอนนั้นข้ากับพี่สาวก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ตัวข้านั้นอย่างไรก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา แต่พี่สาวมักรู้สึกไม่มีความสุขอยู่เสมอ เพราะทุกคนที่เป็นคนในตระกูลโหลต่างได้สวมแก้วแหวนเงินทองให้อร่าม ได้ใช้ชีวิตหรูหรา กินดีอยู่ดี แต่พวกเรามักต้องอดมื้อกินมื้อ ทุกวันพี่สาวของข้าต้องไปทำงานช่วยคนปักผ้า เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว นางเคียดแค้นชิงชังพ่อมาโดยตลอด คิดว่าเขาจะต้องทำเรื่องอะไรผิด แล้วถูกไล่ออกจากตระกูลแน่ ดังนั้น ตอนที่ได้พบพ่อบุญธรรม นางจึงตัดสินใจไปกับเขาแบบไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย "

ในห้องโถงมีเพียงเสียงเบา ๆ ของอามู่ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีต ทุกคนล้วนฟังเงียบ ๆ แต่ในขณะที่อามู่กำลังจะเล่าต่อ จู่ ๆ เทียนยีกลับวิ่งตะบึงเข้ามา มองไปที่โหลชี แล้วพูดอย่างร้อนรนว่า: "พระสนม เร็วเข้า ฝ่าบาทกระอักเลือดแล้ว!"

โหลชีพลันลุกพรวดพราดขึ้นมาทันที "ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?"

กระอักเลือด? หรือว่าพิษกู่กำเริบอีกแล้ว?

"ส่งกลับไปที่ตำหนักบรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"

เงาร่างของโหลชีพลันหายวับไปจากสายตาของทุกคน

พวกอวิ๋นก็ทำท่าจะตามไปทันทีเช่นกัน แต่จู่ ๆ ร่างของอามู่กลับทรุดฮวบล้มลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว

"อามู่!" อวิ๋นตกใจ ตรงเข้าไปอุ้มนางขึ้นมา ตะโกนร้องเรียกประโยคหนึ่ง "หมอเทวดา!"

ในเวลาเดียวกัน ที่สวนยาด้านหลัง เสี่ยวโฉวกำลังนั่งอยู่ใต้ระเบียงพลางแช่มือในน้ำสมุนไพร ได้ยินแค่เสียงดัง "ตึง" ร่างทั้งร่างของท่านหมอเทวดาซึ่งกำลังจัดเตรียมหยูกยาอยู่ในสวน ก็ล้มฟุบลงไปกลางสวนยาทันที

"หมอเทวดา ท่านเป็นอะไรไป?" เสี่ยวโฉวกรีดร้องเสียงแหลม รีบพุ่งเข้าไปหมายจะช่วยเขา แต่เมื่อเห็นมือของตัวเองก็รีบหยุดลงอย่างรวดเร็ว

"ใครก็ได้รีบมาเร็วเข้า ท่านหมอเทวดาเป็นลมไปแล้ว!"

ชั่วขณะหนึ่ง คล้ายกับว่ามีมือมืดข้างหนึ่ง ที่ยื่นเข้ามาสร้างความวุ่นวายโกลาหลในตำหนักจิ่วเซียวอย่างเงียบงัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครมีแก่ใจคิดจะออกไปตามหา หรือต่อให้หาเจอจริง ๆ ก็ไม่แน่ว่าจะมีเวลาสนใจด้วยซ้ำ

โหลชียังไม่รู้เรื่องที่หมอเทวดากับอามู่เป็นลมหมดสติไป นางรีบร้อนกลับไปที่ตำหนักสาม เห็นโหลวซิ่นอุ้มวู๊วูอยู่ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย เมื่อเห็นนางก็รีบตรงเข้ามาหาทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ