น้ำเสียงเฉินซ่าเคร่งขรึม "ว่ามา"
ซวนหยวนฉงโจวเดิมก็อยู่ตงชิง และยังเป็นข้าราชการของตงชิง ดังนั้นเลยรู้เรื่องในตงชิงดีกว่าพวกเขา
เขาขมวดคิ้วพูดเกี่ยวกับตำนานเรื่องหุบเขาติดตรึง เฉินซ่ายืนฟังไม่พูดอะไร ทันใดนั้นได้กลิ่นหอมอ่อนมาก เขาสายตาเป็นประกาย หมุนตัวไปทางขอบถ่านดำที่ไหม้เกรียมนั่น เดินเข้าไปวนดูรอบหนึ่ง และมองเห็นตัวหนังสือใบไม้เล็กๆส่องประกายเทาเงินอยู่ในพื้นหญ้าอีกด้านหนึ่ง
"เฉิงสิบ เอากระดาษขาวมา"
เฉิงสิบรีบหากระดาษขาวมา พอเห็นตัวหนังสือใบไม้เล็กๆนั่นก็สายตาเป็นประกาย "สัญลักษณ์ที่ฮองเฮาเคยบอก?"
เฉินซ่าพยักหน้า รับคำ
เขาถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย
"แบบนี้เท่ากับว่าเสี่ยวชีฟื้นแล้ว?" ซวนหยวนอี้มองเฉิงสิบเอากระดาษซวนสีขาวไปแปะทับพื้นหญ้าตรงนั้นอย่างแปลกใจ จากนั้นก็หยิบขวดเล็กออกมาจากเอว เปิดขวดออก และเทน้ำยาสีเขียวหลายหยดลงไปบนกระดาษนั้น
ไม่นาน พวกเขาก็เห็นน้ำนั้นย้อมกระดาษจนปรากฏตัวหนังสือออกมา
"สี่คนเข้าหุบเขา เฮ่อเหลียนโดนพิษเครื่องหอม ข้างในอันตราย แต่ข้าไม่เป็นไรแล้ว"
พอเห็นประโยคนี้ เฉินซ่าก็ผ่อนคลายจิตใจลงนิดหน่อย อย่างน้อยนางฟื้นแล้ว เฮ่อเหลียนเจี๋ยโดนพิษเครื่องหอม พิษชนิดนั้นก่อนหน้านี้ตอนโหลชีจัดเตรียมก็เคยบอกเขา พอคิดว่าเฮ่อเหลียนเจี๋ยไม่อาจแม้แต้จะแตะต้องชีชี สีหน้าเขาก็ดีขึ้นไม่น้อย
"รถม้าเข้าไปไม่ได้แล้ว และหนทางนี้ก็อันตรายนัก" ซวนหยวนฉงโจวบอก
เฉินซ่าปรายตามอง สั่งการว่า "ข้าจะพาหลายคนเข้าหุบเขา พวกเจ้าไปตามทางเดิม ถึงเวลานั้นรอที่ทะเลทรายเย็น"
ทะเลทรายเย็น คล้ายกับทุ่งป่าเถื่อนพั่วอวี้แต่เดิม แต่กลับใหญ่กว่าทุ่งป่าเถื่อนพั่วอวี้สิบกว่าเท่า อีกอย่างทุ่งป่าเถื่อนพั่วอวี้ยังมีหลายอำนาจครอบครอง ทะเลทรายเย็นกลับไม่มีคนเลย
ดังนั้นเมื่อก่อนพวกเขาไม่รู้ว่าตระกูลโหลตระกูลข่งซิวพวกนั้นอยู่ที่ไหน ทางนี้ก็น้อยมากที่จะมีใครได้ยินเรื่องตระกูลเหล่านี้ ก็เพราะระหว่างกลางคั่นด้วยทะเลทรายเย็น
"ฝ่าบาท พาข้าน้อยไปเถอะ" เฉิงสิบกับโหลวซิ่นก้าวออกมาพร้อมกัน อิ้นเหยาเฟิงกับชิวชิ่นเซียนก็รีบตามออกมา
"ฝ่าบาท ข้าไปด้วย" อามู่ก้าวออกมาด้วย
เฉินซ่ายังไม่ทันพูดอะไร ซวนหยวนฉงโจวก็ส่ายหน้าบอกว่า "ทางที่ดีสตรีไม่ควรไป ที่นี่ค่อนข้างอันตรายกับสตรี แต่ข้าเดาว่า ในนั้นน่าจะมีอะไรบางอย่าง ปราณหยินค่อนข้างแรง ค่อนข้างเป็นอันตรายกับร่างกายสตรี น้องชาย ข้าไปกับเจ้า"
เฉินซ่าเหล่เขาหนึ่งที
"อวิ๋น เฉิงสิบ โหลวซิ่น เทียนยีตี้เอ้อร์ ฉงอ๋อง ตามข้าไป คนอื่นที่เหลือออกเดินทางได้"
"ฝ่าบาท พาอามู่ไปด้วยเถอะ!" อามู่ร้อนใจเล็กน้อย นางไม่อยากแยกจากอวิ๋น
เฉินซ่ากลับขึ้นไปเอาของที่รถม้า และเดินไปทางหุบเขา ไม่สนใจนางสักนิด อามู่กัดริมฝีปาก และอยากเข้าไปอง อวิ๋นขมวดคิ้วดึงนางออกไป
"อามู่ ฝ่าบาทไม่ชอบพิรี้พิไร นี่เป็นคำสั่ง! รีบขึ้นรถ"
อามู่หันกลับไปมองคนอื่น พวกอิ้นเหยาเฟิงหมุนตัวกลับขึ้นรถม้าแล้ว ถึงใบหน้าจะเต็มไปด้วยความกังวล
คำสั่งของฝ่าบาทไม่อาจขัดขืนได้
นางได้แต่ขึ้นรถ
"โจวเอ๋อร์ เฉินซ่า พวกเจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ" เฉินเซียงก็เป็นกังวลมาก
ซวนหยวนฉงโจวกุมมือนางไว้แน่น "ท่านแม่ ไม่ต้องเป็นห่วง อย่าลืมกินยานะ"
เฉินเซียงพยักหน้า
ฉินซูเป่าพาขบวนอ้อมผ่านหุบเขาติดตรึงไป ไม่นานทางนี้ก็เหลือแค่พวกเขาไม่กี่คน
ทั้งหมดเจ็ดคน เฉินซ่าเดินอยู่หน้าสุด ซวนหยวนฉงโจวตามติด พวกเขาเดินมาถึงที่ที่โหลชีพึ่งผ่านไปไม่นาน และพบจดหมายที่นางทิ้งไว้อีก
ตัวหนังสือสีดำจางๆลอยขึ้นมาเมื่อพบกับเฉินซ่า
"ระวังหนอนกู่หน้ามนุษย์ สีดำ หัวคล้ายใบหน้าคน เลียนแบบเสียงคนได้ มุดเข้าร่างกายคนแล้วจะทำให้ใบหน้าผู้โดนหนอนกู่เปลี่ยนไป"
"หนอนกู่หน้ามนุษย์?" อวิ๋นพูดอย่างตะลึง "ของเช่นนี้ข้าน้อยเคยเจอคนซีเจียงครั้งหนึ่งตอนอยู่ทุ่งป่าเถื่อน และได้ฟังเขาพูดมาก่อน ช่างน่ากลัวนัก"
เฉิงสิบรีบหยิบผงยาสองขวดออกมาจากสายรัดเอว "นี่คือยากันกู่ที่ฮองเฮาเตรียมไว้และใช้เลือดของนางทำ หนอนกู่ธรรมดาไม่ต้องกลัวเลย แต่ถ้าเป็นหนอนกู่ชั้นสูงอาจจะช่วยกันได้แค่หนึ่งถึงสองชั่วยาม"
ถึงโหลชีจะกินดีจิ้งจอกมารลงไปแล้ว ตัวนางเองไม่กลัวหนอนกู่ แต่ในเมื่อเป็นยาที่ใช้เลือดของนางก็จะฤทธิ์ยาแย่ลงหน่อย พอแบ่งยาออกไป คนหนึ่งกินสองเม็ด มีแค่เฉินซ่าที่ไม่ต้อง
เดินเข้าไปอีกหน่อย เข้าในเส้นทางคับแคบนั่น พวกเขาก็เห็นทิวทัศน์งดงามเบื้องหน้า กล้วยป่ารูปปั้นหิน กลิ่นหอมของดอกไม้ เสียงร้องของนกน้อย ห่างไกลออกไปเป็นหมอกบางๆปกคลุมผืนป่า....
"อย่ามองทางนั้น" จู่ๆเฉินซ่าก็พูดขึ้น ดึงความสนใจของทุกคนจากไอหมอกที่ห่างไกลนั่นกลับมา ต่างมองเขาอย่างสงสัย
"หลานยี!"
ชิงยีร้องเสียงดัง แต่กลับเห็นหลานยีกระอักเลือดคำโตออกมา จากนั้นร่างตกลงพื้นอย่างแรง เอวด้านหลังกระแทกบนก้อนหิน จากนั้นหัวก็กระแทกกับก้อนหินอีกก้อนที่เล็กหน่อย เอียงกายพลิกนอนบนพื้น ไม่ขยับอีกเลย
"หลานยี!" ชิงยีเย็นยะเยือกในใจ
โหลวซิ่นเดินเข้าไป ย่อเอวลงไปอังลมหายใจชิงยี ลุกขึ้นยืน เดินกลับมายืนด้านหลังเฉินซ่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เห็นท่าทางของเขาแล้วชิงยีรู้ทันทีว่าหลานยีตายแล้ว เขากัดฟันกรอด แตไม่กล้าพูดอะไรท้าทายเฉินซ่าอีก
ซวนหยวนฉงโจวปรายตามองหลานยีที่วิญญาณกลับสู่บ้านเก่านั่น แอบถอนหายใจ ลูกผู้น้องชายของเขาคนนี้หลังจากโดนคนแย่งชิงเมียไปต่อหน้าต่อตาก็เก็บกักไฟโกรธไว้จนป่านนี้ เจ้ายังไม่กลัวตายโดยการบอกเขาอีกว่าโหลชีจะช่วยชายผู้ลักพาตัวนางมา และยังดึงมือเขาลงน้ำไปอีก นี่ไม่ใช่การไปแหย่หนวดเสือหรือไง?
ไม่ตายก็เป็นไปได้ยากแล้ว
เฉินซ่าเพียงรู้สึกว่าไฟโกรธและความกังวลในใจตนพัวพันอยู่ด้วยกัน ไม่เห็นเขาขยับอะไร ราวกับเงาวาบผ่าน ร่างก็มาถึงข้างลำธาร ไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาซัดฝ่ามือใส่ผิวน้ำแข็งที่แตกเป็นรูนั่นอย่างแรง
เสียงปึ้งดังขึ้น เสาน้ำที่โดนโจมตีจนปะทุขึ้นสูงอย่างน้อยสามจุดสามเมตร ร่างเขาปราดอย่างรวดเร็ว สองฝ่ามือซัดใส่ และโจมตีเสาน้ำอีกสี่ห้าอัน การกระทำของเขาเร็วยิ่งกว่าตอนเสาน้ำตกลงมาเสียอีก ดังนั้นเลยเร็วมาก ซวนหยวนฉงโจวมองเห็นแผ่นหินใต้น้ำแล้วก็รู้สึกสงสัยมาก
"น่าจะมีกลไก"
เขาพึ่งพูดจบ เฉินซ่าก็กระโดดลงไป เขากลั้นลมหายใจว่ายลงไป สองมือจำสองด้านของแผ่นหินขนาดใหญ่ไว้มั่น แผ่นหินกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย เขากำหมัดทันที ซัดใส่แผ่นหินอย่างแรง
มีเลือดไหลที่หมัด แต่แผ่นหินนั่นก็แตกออกเป็นสาแหรก เผยให้เห็นรู น้ำเริ่มไหลเข้าไป เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย กระโดดเข้าไปทันที
"ฝ่าบาท!"
พวกอวิ๋นกระโดดตามลงไปทันที ตอนพึ่งเข้าสู่น้ำแข็ง ความเย็นเสียดกระดูกก็ทำให้เกือบจะตัวสั่นเทา ซวนหยวนฉงโจวหิ้วชิงยี ตามติดลงไปด้วย
แรงน้ำปั่นป่วนราวกับมีหลุมน้ำวน ทำให้คนค่อยๆถูกดูดลงไปเรื่อยๆ
และที่พวกเขาไม่รู้คือ ปลายทางของหลุมน้ำวน ตัวประหลาดที่กำลังมองพิจารณาเฮ่อเหลียนเจี๋ยและโหลชีได้ยินเสียงซ่าๆของสายน้ำหมุนวนร้อนเร็วลงไป สีหน้าเปลี่ยนทันที
"ใครกล้าทำลายแผ่นหินใต้น้ำ ทำให้น้ำท่วมถ้ำข้า?"
โหลชีดวงตาเป็นประกายทันที ไม่ต้องถามเลย เฉินซ่ามาแน่! หมอนี่ มาเร็วมาก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ