โหลชีดึงแขนเสื้อของเฉินซ่าเบา ๆ แล้วกระซิบพูดว่า "นี่! เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าของสิ่งนี้มันใช่แน่นอนแล้ว?"
เฉินซ่าส่ายหน้าเล็กน้อย: "ข้าไม่ได้แน่ใจหรอก แต่ของทุกอย่างที่อยู่ในนี้ หากข้าไม่ได้ไป ใครก็อย่าหวังว่าจะได้ไปเหมือนกัน"
อีตานี่มันจริง ๆ เลย......
"นี่เจ้าจะโอหังเกินไปแล้วนะ!" ชิงยีโกรธขึ้นมาอีกแล้ว
เฉินซ่าไม่แม้แต่จะชายตามองเขาแม้เพียงหางตา ทำราวกับว่าชิงยีไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะให้เขาชายตามองดู หรือพูดคุยอะไรด้วยแม้แต่คำเดียว ไม่พูดไม่ได้ว่า เฉินซ่าที่เป็นแบบนี้นับว่ามีการแสดงอารมณ์ที่แข็งกร้าวกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าว่าตามลักษณะนิสัยของฝ่าบาทผู้แสนเกรียงไกรที่ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่คนก่อน ถ้าเป็นในอดีต ชิงยีพูดกับเขาแบบนี้ เขาจะไม่พูดอะไรแม้เพียงครึ่งคำ ก็จะลงมือฆ่าอีกฝ่ายทิ้งชนิดตาไม่กระพริบอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ ชิงยียิ่งโกรธหนักจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวอื๋อไปทั้งหน้าแล้ว ถ้าเขายังคิดจะพูดอะไรออกมาอีก เขาก็คงดูเหมือนตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นอยู่บนคานเรียกให้คนมาสนใจแน่แล้ว ดังนั้น เฮ่อเหลียนเจี๋ยจึงสั่งให้เขาถอยไป
ชิงยีจำต้องถอยหลังไปสองก้าวด้วยท่าทางที่ยังโกรธเคืองฮึดฮัด เฮ่อเหลียนเจี๋ยเป็นฝ่ายก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองก้าว อยู่ห่างจากเครื่องหยกที่ส่องประกายราวกับแสงจันทร์ชิ้นนั้นแค่เพียงเล็กน้อย โหลชีพบว่าพวกเขาไม่มีแม้แต่เงา
การค้นพบนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ แสงของเครื่องหยกนั้นนับได้ว่าสว่างดี แต่กลับนุ่มนวลอ่อนโยนมาก แต่จะอย่างไรก็ควรมีเงาจาง ๆ บ้างถึงจะถูก แต่นี่กลับไม่มี แปลว่าเครื่องหยกชิ้นนี้ต้องไม่ใช่เครื่องหยกธรรมดาอย่างแน่นอน
นางเข้าไปคล้องแขนของเฉินซ่า เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้เขาอย่างสดใส: "เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว เจ้าของชิ้นนี้ข้าชอบ พวกเราเอาแล้ว"
ชิงยีกลอกตามองบนใส่จนตาขาวแทบกลับ นี่มันชวนให้โกรธแทบตายแล้วจริง ๆ ไม่รู้จักคำว่ามาก่อนได้ก่อนเลยสินะ?
"พวกเจ้า..." เฮ่อเหลียนเจี๋ยกลับจ้องมองไปที่โหลชี รอยยิ้มที่เดิมทีซุกซ่อนอยู่ในดวงตาพลันหายวับไปในทันใด สีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ หนักอึ้งจมดิ่งลงไปทุกขณะ
ไม่ เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?
เขามองเห็นอะไร?
เดิมที โหลชีที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้จะเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ แฝงด้วยความงามที่ทำหัวใจคนเห็นรู้สึกสั่นไหว ราวกับดอกไม้ตูมที่ส่งกลิ่นหอมกำจาย กลิ่นหอมจรุงใจชวนให้กระชุ่มกระชวย เห็นได้ชัดว่าเป็นดอกไม้ตูมที่งามที่สุดซึ่งยังไม่เคยถูกเด็ดดอมมาก่อน
แต่ทว่าตอนนี้ดอกไม้ตูมดอกนี้ กลับดูเหมือนเบ่งบานอวดความงามอย่างเต็มที่ในชั่วข้ามคืน ทั้งสีสันที่จัดจ้าน ยั่วยวนทรงเสน่ห์ มีแรงดึงดูดอันมหาศาล
เห็นได้ชัดว่าเคยถูกปรนเปรอด้วยความรักใคร่เอ็นดูมาก่อน
ในสมองของเขาเฝ้าจินตนาการถึงภาพฉากเหล่านั้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ยามที่นางเบ่งบานอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล ยามที่นางส่งเสียงร้องออดอ้อน ความอ่อนหวานงดงาม ความคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับสุนัขจิ้งจอก รวมถึงเสียงร้องไห้ยามร้องขอความเมตตา
แต่ใบหน้าอันงดงามทรงเสน่ห์เหล่านั้น ล้วนไม่ได้มีไว้เพื่อเขา
เสน่ห์อันเย้ายวนของนาง ไม่ได้มีไว้เพื่อเขา
ความหวานหอมอ่อนละมุนของนาง ไม่ได้ถูกเขาลิ้มลอง
ความเจ็บปวดสายหนึ่งแล่นปราดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ เขาคิดมาตลอดว่าสิ่งที่เขารู้สึกต่อโหลชีเป็นแค่ความรู้สึกที่เรียกว่าก็ชอบอยู่ เพราะอย่างไรนางก็รูปร่างหน้าตาไม่เลว นิสัยใจคอก็พิเศษไม่เหมือนใคร แต่จริง ๆ ก็มีเหตุผลอื่นประกอบด้วยมากมาย ท้ายที่สุดนางยังมีกุญแจโอสถน้ำพุในร่าง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่เสด็จแม่บอกเขาว่า เป็นคนที่มีสัญญาหมั้นหมายตบแต่งกับเขา กับอีกเหตุผลหนึ่ง นางเป็น "สมบัติล้ำค่า" ที่ผู้คนในแผ่นดินใหญ่หลงหยินต่างก็ต้องการแย่งชิงมาไว้ในครอบครอง เพราะคุณสมบัติพิเศษของนาง ดังนั้นการที่เขาจะใส่ใจนางจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
แต่กลับค้นพบว่าตอนนี้นางถึงกับ.....
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกับสูญเสียอะไรบางอย่างไป
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา
จะเป็นไปได้จริง ๆ หรือ? ว่าผู้หญิงคนนี้ได้เข้ามาครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในใจของเขาไป โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว?
ความโกรธแค้น ความเจ็บปวด ความไม่ยินยอมพร้อมใจ ความขุ่นเคือง อารมณ์ต่าง ๆ ไหลบ่าเข้ามาผสมปนเปกันอยู่ในหัวใจของเขา ทำให้สีหน้าของเฮ่อเหลียนเจี๋ยที่เดิมทีแลดูผ่อนสบายใจเพราะวางกลยุทธ์ไว้อย่างดี ถึงกับบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยเลยทีเดียว
เรื่องนี้ว่ากันตามจริงก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดอยู่ แต่ไหนแต่ไรมา เฉินซ่าก็เป็นคนประเภทที่ชอบซ้ำเติมชาวบ้านด้วยการทาเกลือใส่บาดแผลคนอื่นอยู่แล้ว หลังจากเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก็คว้ามือของโหลชี แล้วดึงตัวมาก่อนจะโน้มลงไปที่ริมฝีปาก จูบเบา ๆ ก่อนจะกัดเย้าอีกเล็กน้อย ก้มหน้ามองนาง เมื่อเห็นว่านางยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนนักจู่ ๆ ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างยิ่งขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า
"เด็กดี ข้าไม่รู้จักควบคุมตัวเองให้ดี คงทำให้เจ้าเหนื่อยแย่เลยใช่หรือไม่? คืนนี้ข้าจะนวดเอวให้เจ้าดีไหม?"
โหลชีถึงกับตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง: "....."
สวรรค์
ฝ่าบาท ทำไมท่านไม่ไสหัวไปตายซะให้พ้น ๆ?
ในบรรดาคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ มีใครบ้างที่ไม่มีกำลังภายในมากพอจะได้ยินประโยคนี้? ยังมีหน้าทำมาเป็นลดเสียงพูดเบา ๆ ต่อหน้าพวกยอดฝีมือขนาดนี้ ลดเสียงแล้วจะมีประโยชน์อะไร! หา! มีประโยชน์อะไร!
ใบหน้าของโหลชีร้อนผ่าวจนแทบจะลุกเป็นไฟให้ได้แล้ว
ดังนั้นแล้ว จากนี้ไปก็จะเป็นแบบนี้อีกเรอะ? เรื่องที่พวกเขาสองคนเป็นสามีภรรยากัน มันต้องทำให้ทั่วหล้ารับรู้ให้หมดทุกคนอย่างนั้นใช่ไหม? ฝ่าบาท แล้วไอ้ความหึงความหวงของท่านล่ะ? ขอร้องว่าช่วยกรุณาสาดอารมณ์หึงหวงให้มันกระจายเกลื่อนที่นี่หน่อยได้ไหม? ปล่อยให้คนอื่นได้ยินคำพูดที่ท่านไม่สบอารมณ์บ้างสักประโยคจะได้ไหม?
นี่ยังกล้าทำตัวไร้ยางอายกว่านี้ได้อีกไหมเนี่ย!
ขณะที่นางกำลังจะหยิกเขา จู่ ๆ ตรงหน้าก็มีลมกระโชกแรง จากนั้นเฉินซ่าก็ผลักนางออกไปเบา ๆ รอจนนางหันหลังกลับมาดู ถึงพบว่าที่แท้เฮ่อเหลียนเจี๋ยชิงลงมือโจมตีเฉินซ่าแล้ว!
ด้วยความระมัดระวังตัวบวกกับความเจ้าเล่ห์มากไหวพริบของเฮ่อเหลี่ยนเจี๋ย เขาจะไม่รู้จริง ๆ หรือว่าตอนนี้วรยุทธ์ของเฉินซ่าเพิ่มระดับขึ้นมาไม่น้อยแล้ว? พูดตามหลักเหตุผล ในเวลานี้เขาไม่ควรลงมือแบบมุทะลุ แต่ควรค่อย ๆ มองทางลม จากนั้นค่อยคลำหาสถานการณ์ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดถึงจะถูก แต่ทำไมเขาถึงกับไม่พูดอะไรสักคำ ก็เป็นฝ่ายชิงลงมือโจมตีเฉินซ่าก่อนแบบนี้ล่ะ?
นี่ไม่เท่ากับว่ารนหาที่หรอกหรือ?
ทางฝั่งโหลชีที่กำลังคิดอยู่ว่าเฮ่อเหลียนเจี๋ยรนหาที่ไม่เข้าเรื่อง อีกฝั่งหนึ่ง ชิงยีกลับส่งสัญญาณมือให้กับลูกน้องตัวเอง บรรดาองครักษ์ทางฝั่งนั้นค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่ให้จับได้ คิดจะพยายามไปขวางตรงหน้าโหลชี ชิงยีค้อมตัวลง ย่องด้วยฝีเท้าเบาหวิวเหมือนแมวเดิน ค่อย ๆ เข้าใกล้โต๊ะเครื่องเซ่นอย่างเงียบ ๆ
เดิมทีเฮ่อเหลียนเจี๋ยควรจะโบกมือปัดเขาออกไปในฝ่ามือเดียว แต่จากมุมหางตาของเฮ่อเหลียนเจี๋ยที่เหลือบเห็นโหลชีซึ่งยืนอยู่อีกด้าน แววตาของนางดูสงบราบเรียบมาก เหมือนกับว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือตายก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับนางเลยสักนิด ชั่วขณะที่อยู่ตรงเส้นแบ่งความเป็นความตายคล้ายมีผีมาดลใจ เขาปล่อยให้ชิงยีมายืนบังอยู่ข้างหน้าเขา มือข้างหนึ่งถึงกับเอื้อมออกไปคว้าตัวองครักษ์คนหนึ่งมาแบบไม่รู้ตัว แล้วเหวี่ยงไปทางเฉินซ่า ชั่วขณะที่เงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าท่าทางหวั่นวิตกระคนหวาดกลัวขององครักษ์ที่ถูกเหวี่ยงจนร่างลอยไปในอากาศคนนั้น เหมือนจะสลักฝังลงไปในสมองของเฮ่อเหลียนเจี๋ย
เสียงปะทะดัง "ปัง" ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทั้งชิงยีและองครักษ์คนนั้นซื่อยีก็ถูกโจมตีจากด้านหลังต่อหน้าเขา พลังปราณระเบิดออกจากส่วนหน้าอกและแผ่นหลังของพวกเขา เพียงชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างก็แหลกสลายไปไม่มีเหลือ
ตรงหน้าของเฮ่อเหลียนเจี๋ยหลงเหลือเพียงรอยเลือดสีแดงฉานผืนหนึ่ง ชั่วขณะนั้น ในใจรับรู้ถึงความจนตรอกไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะตกอยู่ในสภาพอับจนหมดหนทางได้ขนาดนี้ แต่ในเวลานี้เขาไม่อาจสนใจอะไรอื่นได้อีก เขาล้วงหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กัดฟันกรอดแล้วพูดว่า "หนังสือสมรสกับฤกษ์ยามตกฟากของโหลชีอยู่กับข้า!"
เฉินซ่าชะงักการเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่ง เลิกคิ้วขึ้นพลางมองไปที่กล่องหยกในมือของเขา "กล่องหยกกลไก?"
"ในเมื่อเจ้าก็รู้จักมันดี บางทีข้าอาจเจรจาเงื่อนไขกับเจ้าได้" เฮ่อเหลียนเจี๋ยยื่นข้อเสนอ
"ชีชี พี่ชายของเจ้าบอกไว้ใช่หรือไม่ว่า การแต่งงานของพวกเราถ้าหากไม่มีสิ่งนี้จะไม่นับว่าสำเร็จ? " เฉินซ่าเหลือบมองไปทางโหลชี
โหลชีถือเครื่องหยกไว้พลางเดินถอยหลังไปหลายก้าว ถอยไปเรื่อย ๆ จนไปอยู่ด้านหลังของพวกเยว่กับอิง
ในระหว่างที่เฮ่อเหลียนเจี๋ยยังสับสนอยู่บ้างเล็กน้อย โหลชีก็หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ "ถ้าพิษกู่ของเจ้ายังไม่ได้ถูกแก้ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยากรู้ว่าข้าเป็นหญิงธาตุหยินหรือไม่ เจ้าสิ่งนี้นับว่าสำคัญมากอยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้น่ะรึ....."
"มันก็เป็นแค่ขี้หมา"
มันก็เป็นแค่ขี้หมา
ช่างหยาบคายได้อย่างถึงที่สุดจริง ๆ !
"ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ!" แต่ทำไมเฉินซ่าถึงได้ชอบมันขนาดนั้นล่ะ? ทำไมเขาถึงได้ชอบมันมาก ๆ ๆ ๆ ขนาดนั้นเลยล่ะเนี่ย?
เขาวาดกระบี่ขึ้นมา แล้วฟาดไปทางเฮ่อเหลียนเจี๋ย ปราณกระบี่ไร้รูปร่างแต่ทรงพลัง เสมือนกระบี่เสมือนดาบอันคมกริบ
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจี๋ยเป็นสีแดงก่ำ แผดเสียงคำราม แล้วขว้างกล่องหยกกลไกไปทางโหลชี มีแค่วิธีนี้วิธีเดียวคือลงมือกับโหลชีตรง ๆ ถึงจะสามารถเบนความสนใจของเฉินซ่าได้
ผลเป็นไปดังคาด เฉินซ่าหันไปมองโหลชีอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ต่อให้เขารู้อยู่แก่ใจว่าตรงนั้นมีคนคุ้มครองนางอยู่ ต่อให้เขารู้อยู่แก่ใจว่าถึงแม้จะไม่มีคนอื่น นางคนเดียวก็สามารถรับมือกับลูกไม้ตื้น ๆ พรรค์นั้นได้ แต่เขาก็ยังปล่อยผ่านไม่ได้อยู่ดี
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพฤติกรรมแบบนี้ช่างโง่เขลาสิ้นดี นางเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเขา เฮ่อเหลียนเจี๋ยไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเกิดความรู้สึกอิจฉาจนแทบทนไม่ได้ ล้วงเอาระเบิดวายุเมฆออกจากอกเสื้อ แล้วขว้างออกไปกระแทกพื้นจนระเบิด กลุ่มควันลอยคละคลุ้งเต็มอากาศ
โหลชีกลับคิดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเจี๋ยจะงัดลูกไม้พรรค์นี้ออกมาใช้ รอจนนางกลั้นหายใจโบกไล่ควันจนหมด ตัวของนางก็ถูกดึงเข้าไปซุกซบอยู่ในอ้อมอกอันแสนคุ้นเคยแล้ว
เสียงของเฉินซ่ากระซิบแผ่วเบาอยู่ที่ข้างหู: "ปล่อยเขาไป ข้าเห็นแล้วล่ะว่าหลังผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ ในใจเขาก็บังเกิดจิตมารขึ้นมาแล้ว การฝึกวรยุทธ์ของเขาตลอดชีวิตนับจากนี้ไป จะไม่มีทางก้าวหน้าขึ้นมาได้อีกแล้ว ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งเขาอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้ "
ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งรักศักดิ์ศรีของเฮ่อเหลียนเจี๋ย การที่เขาถึงกับตัดสินใจคว้าตัวคนที่ติดตามข้างกายมานานหลายปีออกไปต้านรับการโจมตีร้ายแรงถึงชีวิตที่พุ่งมาหาตัวเอง เขาไม่มีทางทนรับได้ไหวแน่ โหลชีโพล่งถามขึ้นมาทันทีว่า "เจ้าจงใจปล่อยเขาไปรึ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ