ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 577

ในเมื่ออีกฝ่ายพูดมาแล้วว่าไปทางเดียวกัน ส่วนโหลชีก็มีเรื่องที่อยากถามอยู่พอดี จึงสรุปได้ว่าจำเป็นต้องพาเด็กสาวทั้งสามร่วมทางไปด้วย

หยุนฉิงเอ๋อร์กลอกตารอบหนึ่ง แล้วชี้ไปที่เฉินซ่าพลางพูดว่า "มีม้าอยู่สามตัวพอดี พวกเจ้าหนึ่งคนให้เราซ้อนคนละตัว ข้าจะนั่งม้าตัวนี้" หยุนผิงหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะเดินไปทางโหลชี ส่วนหยุนชุ่ยหันไปมองทางเฉิงสิบ

โหลชีหลุดขำพรืดออกมาอย่างสนุกสนาน "นี่พวกเจ้าจัดการแบ่งกันเองเรียบร้อยเลยรึ?"

"ยังจะหัวเราะอีก? มานี่" เฉินซ่าหรี่ตามองนาง เอื้อมมือออกมาคว้าจับ โหลชีพลันถูกเขาใช้พลังดูดเข้าไป ร่างทั้งร่างตกลงไปในอ้อมแขนของเขา

นางปรายตามองลงไปที่หยุนฉิงเอ๋อร์ ยิ้มพลางพูดว่า "ขอโทษนะ คงทำตามที่พวกเจ้าจัดแบ่งไว้ไม่ได้แล้วล่ะ ข้าให้พวกเจ้ายืมม้าของข้าแล้วกัน อ้อ! องครักษ์ที่หล่อที่สุดของบ้านข้า สามารถพาพวกเจ้าไปด้วยได้คนหนึ่ง เขาชื่อเฉิงสิบ"

อีกด้านหนึ่ง เฉิงสิบยื่นมือออกไปให้หยุนชุ่ยแล้ว จากนั้นก็ดึงตัวนางขึ้นมา

หยุนผิงก็ไม่มีท่าทีลังเลเลย ดึงหยุนฉิงเอ๋อร์มาแล้วเดินตรงไปหาท่าเสวี่ยทันที หยุนฉิงเอ๋อร์โกรธจนทำแก้มพองลม ระหว่างที่เดินไปก็หยิกที่เอวของหยุนผิงไปด้วย กระซิบพูดว่า "พี่ผิง ทำไมพี่ไม่ยอมให้ข้า ..... "

"ยอมให้เจ้าทำอะไร? แค่ข้ายอมก็จะสำเร็จได้แล้วรึ? เจ้าไม่เห็นหรือว่าคุณชายท่านนั้นกับแม่นางท่านนั้นเป็นคู่รักกันน่ะ?"

"แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันแล้วนี่!" หยุนฉิงเอ๋อร์ยังไม่ยอมแพ้

หยุนผิงถอนหายใจเฮือก พูดเสียงกระซิบว่า: " ฉิงเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเป็นสตรีสักการะ แต่ พี่รั่วหวามีคู่หมั้นไปแล้ว ตระกูลหยุนในตอนนี้ก็เหลือเจ้าเพียงคนเดียวที่เหมาะสมที่สุด เจ้ายอมรับชะตากรรมของตัวเองเถอะนะ"

"ในตอนนั้น ท่านผู้นั้นก็ไม่ใช่ว่าแอบหนีไปเหมือนกันหรอกรึ..."

"เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ" ทันทีที่เอ่ยถึงท่านผู้นั้น หยุนผิงก็เริ่มมีท่าทีเคร่งเครียดขึ้นมา รีบตัดบทคำพูดของนางทันที "จะเอามาเปรียบเทียบกันได้อย่างไรล่ะ? ท่านผู้นั้นต้องอุทิศไปให้กับเผ่ามนต์ดำ แต่เจ้าเข้าหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นสตรีสักการะ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย! สตรีสักการะถือว่าเป็นผู้มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ เป็นเกียรติยศอันน่าภาคภูมิใจ! เจ้าอย่าได้พยายามหาทางหนีอีกเลย ไม่อย่างนั้นพี่รั่วหวา ไม่มีทางละเว้นเจ้าแน่ "

"คู่หมั้นของพี่รั่วหวาก็ดูแปลก ๆ อยู่นะ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้ารู้สึกว่าตัวเองเรียกเขาว่าพี่เขยไม่ลงจริง ๆ พี่ไม่รู้สึกรึ? ข้ารู้สึกว่าเขากับสาวใช้ของเขาดูมีอะไรแปลก ๆ อยู่นะ" หยุนฉิงเอ๋อร์ร่ายยาว

ทั้งสองขี่ม้าตามหลังขบวนไปแบบไม่ใกล้ไม่ไกลนัก คิดว่าคงไม่มีใครได้ยินบทสนทนาของพวกนาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เฉินซ่ากับโหลชีจะได้ยินบทสนทนาของพวกนางอย่างชัดเจนชนิดไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว

แต่เพราะความสามารถในการได้ยินของหยุนฉิงเอ๋อร์นั้น ดีมากชนิดที่พวกเขาเองก็ไม่คาดคิด พวกเขาจึงไม่พูดอะไรกันมากนัก ต่อให้อยากจะพูด พวกเขาก็จะใช้ทักษะการส่งสัญญาณเสียงแบบลับที่รู้กันเพียงสองคน

ไม่นานก็มาถึงทางแยก บรรดาผู้คนที่รออยู่ต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่พอได้เห็นสามสาวตระกูลหยุนก็มีอันต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง

เมื่อครู่นี้โหลชีบอกกับพวกเขาว่าข้างหน้ามีอะไรไม่ดีบางอย่าง ทำไมจู่ ๆ ถึงกลายเป็นสาวน้อยแสนสวยสามคนไปได้ล่ะ?

แต่ทุกคนต่างก็ไม่มีใครถามอะไรมากมาย เทียนยีกับโหลวซิ่นกลับไปสอบถามเรื่องราวที่เมืองชายแดน พวกเขาจึงชะลอฝีเท้าเป็นแบบไป ๆ หยุด ๆ เพื่อรอ

เฉินซ่ากับโหลชีลงจากม้าไปขึ้นรถ ทั้งเชิญให้พวกหยุนฉิงเอ๋อร์ทั้งสามคนขึ้นไปด้วย เสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงเห็นดังนั้นก็ตามขึ้นไปด้วย ไม่ได้หรอก! จู่ ๆ ก็มีคนนอกที่ไม่รู้ที่ไปที่มาโผล่ขึ้นมาทีเดียวสามคน อย่างไรพวกนางก็ต้องขึ้นไปดูแลรับใช้จักรพรรดินี หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายคิดว่าจักรพรรดินีเป็นคนที่รังแกได้ง่าย ๆ

พวกนางก็รู้ดีว่า ปกติแล้วไม่มีใครสามารถรังแกโหลชีได้ แต่พวกนางก็ยังอดใจขึ้นมาด้วยไม่ได้

หลังจากขึ้นรถแล้ว หยุนฉิงเอ๋อร์ก็พึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่ง "รถม้าคันนี้ใหญ่น่าดูเลยจริง ๆ "

ทั้งที่บรรจุคนเข้ามาตั้งมากมายขนาดนี้แท้ ๆ แต่ก็ยังดูมีที่ว่างเหลือเยอะมาก

เอ้อร์หลิงชงชา เสี่ยวโฉวก็เริ่มยกจานขนมจากลิ้นชักเก็บของออกมา เพียงไม่นานก็เต็มโต๊ะ ขนมหวานเหล่านี้ดูสวยงามมาก ลองดมดูก็มีกลิ่นหอมหวานน่าอร่อย มีบางชนิดรูปลักษณ์เหมือนดอกเหมย บางชนิดรูปลักษณ์เหมือนกระต่าย น่ารักอย่างยิ่ง ยังมีบางชนิดรูปลักษณ์เหมือนอุ้งเท้าแมว เป็นขนมหวานที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน แค่เห็นหัวใจของพวกนางก็แทบละลายแล้ว

ทั้งสามคนต่างอดใจไม่ไหว เรียกว่าไม่มีแก่ใจไปสนใจอะไรอย่างอื่น สายตาเอาแต่จับจ้องไปที่ขนมหวาน หยุนฉิงเอ๋อร์อดใจไม่ได้ถามขึ้นประโยคหนึ่งว่า "ของพวกนี้ล้วนกินได้ใช่หรือไม่"

"กินได้สิ" โหลชีกำลังจะยื่นมือออกไปหยิบขนมอุ้งเท้าแมวชิ้นหนึ่ง แต่มือกลับถูกเฉินซ่าคว้าจับไว้อย่างรวดเร็ว

เอ้อร์หลิงที่อยู่ข้าง ๆ ส่งอ่างทองแดงแกะสลักขนาดเล็กที่เทน้ำลงไปแล้วขึ้นมา เติมน้ำร้อนเพิ่มอีกเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบขวดขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก แล้วหยดน้ำค้างหอมลงไปในน้ำอีกสองหยด

"เมื่อครู่เพิ่งจะขี่ม้าไม่ใช่รึ ไม่ต้องล้างมือก็จะหยิบของกินแล้ว?" เฉินซ่าจับมือของนางไปจุ่มลงในน้ำด้วยตัวเอง ล้างมือให้นางอย่างระมัดระวัง เสี่ยวโฉวยื่นผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดมาให้ เขานำผ้าฝ้ายมาซับลงบนมือของนาง จากนั้นก็ค่อย ๆ เช็ดทีละนิ้ว ๆ จนแห้ง ก่อนจะพูดว่า "กินเถอะ"

โหลชีบุ้ยปากด้วยท่าทางทะเล้น

อันที่จริงนี่ก็เป็นหนึ่งในนิสัยเสียของนาง เมื่อก่อนตอนออกไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แน่นอนว่าย่อมไม่มีเงื่อนไขในการกินอาหารอย่างเหมาะสม บางครั้งถึงขั้นคว้าผลไม้มาได้ก็เช็ด ๆ ถู ๆ กับเสื้อสองทีจากนั้นก็กินเข้าไปเลย ด้วยความที่คิดว่าร่างกายตัวเองมีระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างจากคนทั่วไป เรียกได้ว่าไม่ต้องกลัวพิษ ทั้งไม่เจ็บไม่ป่วย จึงทำให้ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องสุขอนามัยสักเท่าไหร่

แต่ตอนที่อยู่ในป่าในเขาไม่มีเงื่อนไขอะไร ก็ไม่เห็นว่าเฉินซ่าจะสนใจนาง ทันทีที่มีเงื่อนไขขึ้นมาได้บ้าง ก็เริ่มเจ้ากี้เจ้าการขึ้นมาเลยรึ?

พวกหยุนฉิงเอ๋อร์ทั้งสาม มองดูจนปากอ้าตาค้างกันเลยทีเดียว

ไม่ว่าที่ไหน แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่ผู้หญิงที่ต้องคอยปรนนิบัติรับใช้ผู้ชาย ในจุดนี้ทั้งในเผ่ามนต์ดำและเผ่ามนต์ขาวล้วนมองเห็นได้ชัดเจนมาก เผ่ามนต์ขาวยังนับว่าดีกว่าหน่อย แม้ว่าพวกผู้ชายจะรักใคร่เอ็นดูผู้หญิงก็จริง แต่ที่ผ่านมา พวกนางไม่เคยเห็นผู้ชายที่ล้างมือให้ผู้หญิงแบบนี้มาก่อนเลย ทั้งยังเป็นการล้างมือที่แสนจะอ่อนโยนละเมียดละไม เหมือนมองว่ามือของนางเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน!

ชั่วขณะนั้น หัวใจของสาวน้อยทั้งสามต่างเต้นกระหน่ำดั่งกลองรัว บางทีความรู้สึกนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความรัก แต่เป็นเพราะถูกจู่โจมโดนจุดอ่อนไหวมากกว่า

"พวกเจ้าแต่งงานกันแล้วรึ?" หยุนฉิงเอ๋อร์อดถามไม่ได้

"อือฮึ!" โหลชีพยักหน้าตอบรับ หยิบขนมอุ้งเท้าแมวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วกัดเข้าไปเต็มคำ หรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยท่าทางพึงพอใจ

เมื่อเห็นนางในลักษณะนั้น พวกหยุนฉิงเอ๋อร์ทั้งสามก็ไม่กล้าลงมือกับขนมแล้ว พวกนางต่างก็ไม่ได้ล้างมือกันสักคน ถ้าเกิดคุณชายท่านนี้ไม่ยอมให้พวกนางหยิบขนมล่ะ?

แต่เพียงไม่นานพวกนางก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว เสี่ยวโฉวยิ้มตายิบหยี ก่อนจะพูดกับพวกนางว่า "ทั้งสามท่านเชิญกินขนมเถิดเจ้าค่ะ" แล้วชี้ไปที่โต๊ะ ตอนนี้เองที่พวกนางพบว่าข้าง ๆ ที่นั่งของพวกนางมีการจัดแบ่งขนมเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน เหมือนกับขนมที่อยู่ตรงหน้าโหลชีทุกประการ ขนมส่วนนี้เป็นของพวกนาง ส่วนตรงนั้นเป็นของโหลชี ไม่จำเป็นต้องเอื้อมมือออกไปที่ถาดนั้นเพื่อหยิบขนม

การที่หยุนฉิงเอ๋อร์ออกมาพร้อมกับหยุนผิงและหยุนชุ่ยครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ของเมืองจาวเสียกำจัดพวกผู้ชายที่ต้องพิษตัณหาเหล่านั้น เนื่องจากพิษตัณหากำเริบ ทางผู้หญิงของเผ่ามนต์ดำน่าจะมีคนโดนแว้งกัดแน่ ๆ จึงไม่สามารถลงมือจัดการเองได้ นี่นับว่าเป็นการประนีประนอมระหว่างเผ่ามนต์ขาวกับเผ่ามนต์ดำประการหนึ่ง

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้ พวกนางก็ตั้งใจว่าจะไปที่เมืองจิ่นหยาง เพราะหยุนรั่วหวาอยู่ที่เมืองจิ่นหยาง พวกนางจึงต้องรีบไปรวมตัวกันที่นั่น

"ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็เป็นคนตระกูลหยุน ข้าจึงอยากถามข้อมูลของคนผู้หนึ่งจากพวกเจ้าหน่อย ไม่ทราบว่าพวกเจ้าเคยได้ยินชื่อหยุนโยวกันบ้างหรือไม่?"

โหลชีทำท่าเหมือนถามประโยคนี้ออกไปแบบไม่ใส่ใจนัก

นางเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นสีหน้าตื่นตระหนกระคนประหลาดใจของหยุนฉิงเอ๋อร์ นางหลุดปากถามขึ้นว่า "เจ้าถามถึงนางทำไมรึ?"

โดยปกติแล้วถ้ามีใครถามแบบนี้ ก็แปลว่าเคยได้ยินมาก่อนแน่นอน!

"ฉิงเอ๋อร์" หยุนผิงดึงเสื้อของหยุนฉิงเอ๋อร์ในลักษณะห้ามปราม พยายามสะกิดให้นางหยุดพูด

"ดูเหมือนว่าคุณหนูฉิงเอ๋อร์ที่ขึ้นเป็นสตรีสักการะ จะกลายเป็นคนที่พูดอะไรก็ไม่ได้ไปแล้วสินะ?" โหลชีหยิบขนมอีกชิ้นที่มีรูปร่างเหมือนดอกเหมยขึ้นมา แล้วยัดเข้าไปในปากตัวเองแบบคำเดียวหมด ก่อนจะพูดอย่างคลุมเครือว่า: "เป็นไปได้หรือไม่ว่าในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ ตลอดสามสิบปีนั้น จะไม่มีคนที่พูดได้เลยแม้แต่คนเดียว?"

คำพูดเหล่านี้กระตุ้นหยุนฉิงเอ๋อร์เข้าอย่างจัง นางทำแก้มพองลมอย่างไม่พอใจก่อนจะพูดว่า: "อะไรก็พูดไม่ได้เสียที่ไหนกันล่ะ? อะไรก็พูดได้ทั้งนั้นนั่นแหล่ะ! หยุนโยวผู้นั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นคนที่จะต้องถูกส่งไปให้เผ่ามนต์ดำ แต่นางแอบหนีออกไป ทั้งยังได้พบผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง จากนั้นจึงแต่งงานกับเขา เวลาต่อมาจึงทำได้แค่ต้องส่งน้องสาวของนางไปให้เผ่ามนต์ดำแทน! ในเผ่ามนต์ขาวนางถูกมองว่าเป็นคนทรยศ มีเพียง หยุนฉ่ายน้องสาวของนางเท่านั้น ที่ถือว่าเป็นผู้เสียสละเพื่อเผ่าของเราอย่างแท้จริง!"

แววตาของโหลชีเป็นประกายลุกวาบ หันไปมองหน้าประสานสายตากับเฉินซ่าแวบหนึ่ง

เรื่องต่าง ๆ ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางที่พวกเขาไม่คาดคิดขึ้นมาแล้ว!

หยุนโยวยังมีน้องสาวอีกคนอย่างนั้นรึ?

อีกทั้งเป็นเพราะนาง น้องสาวของนางถึงได้ถูกส่งตัวไปให้เผ่ามนต์ดำด้วย?

พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเรื่องนี้!

"หยุนฉ่าย?" โหลชีพึมพำชื่อนี้ซ้ำอีกครั้ง

"อื้ม! แล้วก็เป็นเพราะหยุนฉ่ายนี่ล่ะ ทำให้ช่วงยี่สิบกว่าปีมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามนต์ขาวกับเผ่ามนต์ดำไม่เป็นปรปักษ์ต่อกันประดุจน้ำกับไฟเหมือนแต่ก่อนแล้ว" หยุนฉิงเอ๋อร์พูดเจื้อยแจ้ว ดูจากสีหน้าท่าทีของนาง เหมือนว่าจะชื่นชมยกย่องหยุนฉ่าย อยู่ไม่น้อย

"แล้วตอนนี้หยุนฉ่ายผู้นี้ยังอยู่ที่เผ่ามนต์ดำหรือไม่?"

"ไม่ได้อยู่ พอนางรู้ว่ากุญแจที่ใช้เปิดสู่หุบเขาศักดิ์สิทธิ์หายไป ช่วงหลายปีมานี้ก็ออกไปช่วยตามหากุญแจแสงจันทร์ดอกนั้นไปทั่วทุกหนทุกแห่งเลย" หยุนฉิงเอ๋อร์ตอบ "ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้เลยว่า ตอนนี้นางไปตามหามันที่ไหนแล้ว"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ