ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 587

คืนนี้กองไฟที่เผาไหม้พุ่งทะลุ แดงฉานไปทั้งฟ้า เสียงลมเสียงไฟกลบเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดนอกเมืองไป คืนนี้มีเทพสงครามสองตนมาเยือน รับชีวิตมนุษย์จำนวนมาก เลือดไหลนองนอกเมืองต้นไม้ใหญ่

ในเมือง บุตรสาวหัวหน้าเผ่าเผ่ามนต์ขาวในที่สุดก็ร่ายมนต์ต้องห้ามของมดพันหมื่นบุกทำลายสำเร็จ พริบตาเดียว ผมดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นขาวโพลนทั้งหัว

แต่ต่อมายามนางคิดถึงคืนนี้กลับไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ใช้ผมขาวทั้งหัวแลกโอกาสในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ใครว่าไม่คุ้มค่ากัน?

มดที่ดำมืดเบียดเสียดแน่นเอี๊ยดไหลหลากเข้าประตูเมืองราวกับน้ำหลาก

ท่ามกลางแสงไฟพวกเขาล้วนได้ยินเสียงที่ทำเอาปวดฟัน จิ๊จ๊ะจิ๊จ๊ะจิ๊จ๊ะ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เสียงประตูเมืองดังขึ้นและล้มครืนลงมาต่อหน้าต่อตาทุกคน

หยุนรั่วหวาที่กระอักเลือดออกมาด้วยว่าใช้มนต์และแรงไปหมดตัว ในตอนนี้ยากจะปกปิดความตื่นเต้นในใจ หันไปมองเฉียบพลัน หวังจะได้เห็นชายผู้เย็นชาผู้นั้นจะมองตนด้วยแววตาชื่นชมหรือไม่ แต่กลับเห็นเพียงจ้าวหยุนเฟิงที่อยู่ในรถม้ายิ้มให้ตนอย่าง

ทั้งสองคนนั่นหายไปที่ใดกันเล่า?

ไม่แค่สองคน ยังมีหนึ่งจิ้งจอก

ช่วงนี้วู๊วูโดนโหลชีสั่งให้พักผ่อนรักษาตัว วันๆเอาแต่ขดตัวอยู่ในรถม้าที่วางสัมภาระ ในนั้นมียาที่โหลชีเตรียมไว้ให้มัน เอ้อร์หลิงเองก็คอยส่งของกินให้มันเป็นระยะๆ เพราะขนบนตัวมันหลุดหายไปเยอะมาก จนเผยให้เห็นหนัง ดังนั้นโหลชีเลยสั่งห้ามมันวิ่งไปทั่วอีก จะได้ไม่ต้องบาดเจ็บเพิ่ม

แต่ในคืนนี้ ยามทั้งสองคนทะยานตนขึ้นหลังคาเรือนและเหาะออกไปราวเหยี่ยว วู๊วูมีหรือจะทนเฉยไหว? ร้องออกมาสองคำ ร่างเล็กก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าธนู พุ่งออกนอกเมือง

ยามแส้ปลิดวิญญาณในมือโหลชีตวัดจับคนได้หนึ่งคน วู๊วูก็จะพุ่งเข้าไปอย่างเร็ว อ้าปากกว้างกัดคอหอยคนนั้นทันที

โหลชียังทนไม่ไหวด่าออกมา "ดีๆน่ะไม่เรียน เรียนแต่สิ่งไม่ดีทั้งนั้น"

ความโหดร้ายเยี่ยงนี้ นางไม่มีทางยอมรับหรอกว่าเรียนมาจากตนเอง ต้องเป็นเฉินซ่าน่ะแหละที่ทำมันเสียนิสัย

รอจนประตูเมืองล้มครืนลงมา องครักษ์อวิ๋นรีบควบม้านำทีมพุ่งทะลวงออกจากเมืองที่กลายเป็นกองเพลิงทันที และได้เห็นป่าด้านนอกก็โหมกระหน่ำด้วยไฟเช่นกัน

ด้านนอกกองเพลิงมีคนสองคนยืนอยู่ บุรุษองอาจดุจขุนเขา สตรีร่างอรชรแน่งน้อย อ้อมกอดนางยังอุ้มจิ้งจอกน้อยที่ดูว่านอนสอนง่ายด้วยหนึ่งตัว

ในรถม้า จ้าวหยุนเฟิงหลุบตาลง พูดเสียงต่ำว่า "ไม่ใช่ของเจ้า ก็ไม่มีทางเป็นของเจ้า เป็นไง ไม่ยอมแพ้รึ?"

พูดจบ มือของเขาแปะไปที่ตำแหน่งหัวใจแผ่วเบา ที่นั่นมีความเจ็บปวดแผ่ซ่านแผ่วๆ

ชิวชิ่นเซียนขี่ม้าอยู่ พลางไสม้าเดินไปด้านหน้าหลายก้าว จนเคียงคู่กับเฉิงสิบ นางมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาเย็นชาของเฉิงสิบ ริมฝีปากขยับ ในที่สุดทนไม่ไหวถามออกมาว่า "เฉิงสิบ ก่อนหน้านี้เจ้าคิดว่าจักรพรรดินี...เกิดเรื่องแล้วใช่หรือไม่?"

ในตอนที่โหลชีถือถ้วยชานั้นและพวกเขารู้เรื่องกัดเซาะวิญญาณ์ ท่าทางของเฉิงสิบทำให้ใจนางกระตุก ภาพนั้นยังคงประทับอยู่ในสมองนาง สลัดไม่หลุดเสียที

เฉิงสิบอึ้งเล็กน้อย หันไปมองนางหนึ่งที เงียบไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า "จักรพรรดินีเก่งกาจมาตลอดอยู่แล้ว แต่นางเคยบอกข้าว่า ไม่มีใครสามารถราบรื่นไปได้ตลอดจนแก่ตายได้" ดังนั้นต่อให้โหลชีเก่งกาจเพียงใด ก็อาจจะเจอเวลาที่เลินเล่อได้

เขากลัวกับเวลาแบบนั้นแหละ

ชิวชิ่นเซียนโพล่งออกมาทันทีว่า "งั้นก่อนหน้านี้หากจักรพรรดินีเกิดเรื่องจริงๆ เจ้าจะทำยังไง?"

เฉิงสิบหันมองนางอีก สายตานั้นกลับสงสัยพิกล เหมือนไม่ค่อยเข้าใจว่านางถามอย่างนี้ทำไม มองจวบจนชิวชิ่นเซียนสีหน้าแดงเรื่อ ในใจเริ่มเสียใจที่ถาม เขาถึงย้อนถามกลับว่า "คำถามนี้ควรจะถามองครักษ์คนหนึ่งรึ?"

ชิวชิ่นเซียนอึ้ง

เฉิงสิบส่ายหัวบอก "พวกเจ้าคิดมากไปมาตลอด"

จักรพรรดินีเป็นเจ้านายของเขา เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขา เป็นคนที่เขาเลื่อมใส เป็นแบบอย่างตลอดชีวิตให้เขา หากนางเกิดเรื่องจริง เขาต้องทำทุกทางที่ทำได้เพื่อล้างแค้นให้นาง ต่อให้เลือดไหลลงจนหยดสุดท้าย นี่เป็นหน้าที่ของลูกน้อง ทุกคนควรจะเป็นเช่นนี้

อย่างอื่นมีอะไรน่าถามกัน?

เมืองจิ่นหยางนับจากนี้หายไปจากหน้าแผนที่

สองวันต่อมา ยามบางคนในตำหนักมารได้รับข่าวนี้ โกรธจนชักกระบี่ฆ่านางกำนัลสิบสองนางที่รับใช้ตรงหน้า เลือดไหลนองตำหนัก จากนั้นก็คำรามออกมาเสียงก้องราวบ้าคลั่ง ยิ่งทำให้คนทั่วทั้งตำหนักมารอกสั่นขวัญหาย

"เฉินซ่า! โหลชี!"

เวลานั้นบนเตียงใหญ่ข้างหลังเขา มีชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่งอยู่ ทั้งสองคนสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาไร้ประกาย แต่กลับหน้าตางดงามนัก

ถ้าโหลชีอยู่ที่นี่ ต้องค้นพบแน่ว่า รูปโฉมของทั้งสองคนเหมือนกับมู่หลานที่ตอนแรกปลอมเป็นนางมากนัก ประหนึ่งมีใบหน้าที่ไม่ใช่หน้าตนเอง แข็งเกร็งยิ่งนัก

คนผู้นี้หมุนตัวหันไปมองชายหญิงคู่นี้ ในดวงตากลับทอประกายเคลิ้มฝันออกมาอีก เดินเข้าไปนั่งตรงกลางระหว่างชายหญิง จับมือพวกเขามาจับไว้ พูดด้วยน้ำเสียงลอยๆ

"พวกเจ้าหนีไปอยู่ที่ใดกันนะ? หลายปีแล้วยังไม่ออกมาพบข้า พวกเจ้าช่างใจร้ายนัก..."

"ยังไม่ได้หาโรงเตี๊ยมพักแรม?"

เห็นประกายระยิบระยับในแววตาเหล่าเฉา โหลชีพลันหัวเราะ ประสบการณ์ในการเดินทางภายนอกและพบปะกับพวกไร้ระดับต่างๆนั้น นางมีมากกว่าเฉินซ่านัก เลยเออออตามประโยคแรกของเขา "ก็ใช่ไง ไม่รู้ว่าท่านอารู้ไหมว่าโรงเตี๊ยมไหนดี? ราคาไม่เป็นไร ที่สำคัญต้องสะอาดสบาย"

พอได้ยินคำนี้ เหล่าเฉาหน้าบานเป็นจานเชิง ไม่ซื้อซาลาเปาละ หันบอกโหลชีว่า "คุณชายท่านนี้ถามถูกคนแล้ว ข้าเหล่าเฉาน่ะคุ้นเคยกับเมืองซื่อชิงยิ่งนัก จะหาโรงเตี๊ยมดีๆ งั้นต้องโรงเตี๊ยมรับเซียนอยู่แล้ว โรงเตี๊ยมรับเซียนนี้ทำไมถึงชื่อเช่นนี้น่ะหรือ? เพราะเป็นครอบครัวของศิษย์ในเขาศุทธิเซียนเปิดน่ะสิ อยู่ด้านหน้านี่เอง เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว คุณชาย ตอนนี้เป็นเวลาทานข้าวพอดี..."

กฎของโรงเตี๊ยมรับเซียนไม่เลวเลยจริงๆ ห้องโถงใหญ่กว้างขวางสะอาด บนกำแพงแขวนภาพวาดธรรมชาติและภาพเขียนพู่กันมากมาย ดูแล้วมีรสนิยมอยู่

ตอนนี้ห้องโถงนั่งกันเกือบครึ่งแล้ว ในตอนที่เห็นพวกโหลชีและเฉินซ่าเข้ามา หลายคนต่างมองกันตะลึง

แต่บุคคลมีชื่อเสียงที่เคยไปมาในเมืองซื่อชิงก็ไม่น้อย ดังนั้นหลังจากความตกตะลึงในแวบแรก พวกเขาก็ไม่ได้มองคนพวกนี้ในสายตาอีก

ตอนนี้ที่พวกเขาคุยกันคือเรื่องใหญ่ของเขาศุทธิเซียน

การที่โหลชียอมรับเชิญเหล่าเฉานี่มากินข้าวด้วย ก็เห็นแก่ที่ข่าวเขาถือว่าแพร่หลายพอดูอยู่

โหลวซิ่นขึ้นไปจองห้องพัก ทางนี้เลยหาโต๊ะที่ติดหน้าต่างในห้องโถงนั่งก่อน เหล่าเฉาแนะนำอาหารขึ้นชื่อให้พวกเขา และสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ

โหลชีไม่ได้งกกับอาหารเต็มโต๊ะอย่างนี้ เฉินซ่ามีนางอยู่ข้างๆก็ไม่ถือสาอะไรมากมาย สั่งเหล้ามากาหนึ่ง เลยกินไปฟังเหล่าเฉาเล่าเรื่องใหญ่ของเขาศุทธิเซียนไป

"เคยได้ยินเรื่องวังศุทธิเซียนบนเขาศุทธิเซียนกระมัง? เจ้าวังเก่าแห่งวังศุทธิเซียนเตรียมจะคัดเลือกเจ้าวังใหม่แล้ว เพียงแต่ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของวังศุทธิเซียนเอง หลายวันก่อนกลับมีคนจากสามราชวงศ์มาที่วังศุทธิเซียน บอกว่าจะช่วยคัดเลือกเจ้าวังใหม่" เหล่าเฉาพูดกดเสียงต่ำ พูดอย่างโกรธมาก

โหลชีสบตากับเฉินซ่า โหลชีถามขึ้น "สามราชวงศ์ไหน? คนที่มาเป็นใครกันบ้างน่ะ?"

"คนที่มาไม่ธรรมดาเลย หนึ่งในนั้นที่ร้ายกาจที่สุดคือเฉียนยิง แม่ทัพหญิงชื่อดังแห่งราชวงศ์เฮ่อเหลียน"

ราชวงศ์เฮ่อเหลียน?

โหลชีเลิกคิ้วถาม "แม่ทัพหญิงชื่อดัง? เป็นแม่ทัพผู้หญิงรึ?"

"ก็ใช่ไง จะว่าไปแม่ทัพหญิงผู้นี้ ว่ากันว่าตอนเด็กมีสัญญาหมั้นหมายกับอ๋องจันทรา ต่อมาอ๋องจันทราบอกจะตบแต่งกับองค์หญิงน้อยราชวงศ์เรา เลยถอนหมั้นกับแม่ทัพเฉียนไป!"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ