ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 621

ในวังหลวงของซวนหยวน ในที่สุดโหลฮ่วนเทียนซึ่งแต่งกายในชุดไท่จื่อก็ดักตัวซวนหยวนคงที่สองสามมานี้คอยหลบเลี่ยงเขาตลอดเอาไว้ได้ ขวางเขาเอาไว้ที่หลังเขาตำหนักชิงฉวน

ตำหนักชิงฉวนเดิมทีเป็นตำหนักน้ำพุร้อนที่สร้างขึ้นเพื่อองค์หญิงน้อย ตอนนั้นเพิ่งสร้างเสร็จก็เกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นก็เลยปิดผนึกมาโดยตลอด หลังจากที่พวกเขากลับมาครั้งนี้ถึงเพิ่งเปิดผนึกมันออก ซวนหยวนคงจะเข้ามาดูเป็นระยะๆ

"เสด็จอา ท่านจะหลบข้าทำไมกันแน่?"

โหลฮ่วนเทียนเห็นเขาถือขวดใหญ่เอาไว้ในมือข้างละขวด อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้: "ท่านคงไม่ได้หลบมาดื่มเหล้าใช่ไหม?"

"เจ้าเด็กบ้านี่ ข้าเหมือนคนที่จะแอบดื่มเหล้าหรือ?" ซวนหยวนคงกลอกตามองเขาครู่หนึ่ง: "อีกอย่าง หากไม่ใช่เจ้าเพราะเอาแต่ตามข้าถามเรื่องน่าขายหน้าของเสี่ยวชีตอนเด็กๆ ข้าจะหลบเจ้าทำไม?"

ไม่รู้จริงๆว่าคนที่เป็นพี่ชายคนนี้เอาความสนใจมากมายขนาดนี้มาจากไหน ราชวงศ์ซวนหยวนในตอนนี้ยังมีเรื่องอยู่อีกมาก เขากลับยังสามารถหาเวลามาถามเรื่องราวใหญ่น้อยตลอดการเติบโตของชีชีได้ ฟังคร่าวๆจบไปรอบหนึ่ง ยังเอาแต่ตามถามเรื่องน่าขายหน้าของชีชี

หากมันมีเรื่องน่าอายหน้ามากมายขนาดนั้นก็ยังดีหน่อย เขารับประกันว่าพูดแน่! ปัญหาคือนังหนูนั่นฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบราวกับปีศาจมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้มีเรื่องน่าอายขนาดนั้นเลยนี่นา! หากพูดถึงเรื่องน่าขายหน้า ตรงกันข้ามเขากลับถูกนางแกล้งมากว่าเสียอีก!

ดังนั้นเขาย่อมต้องหลบอยู่แล้ว

"ครั้งนี้ไม่ได้ถามเรื่องน่าขายหน้าของเสี่ยวชี" โหลฮ่วนเทียนกลับมีท่าทางที่จริงจังมาก "ครั้งก่อนคนที่เสี่ยวชีบอกว่า สามารถฆ่านางได้ครั้งหนึ่งก็สามารถฆ่านางครั้งที่สองได้คือใคร?"

ในเรื่องนี้ ซวนหยวนคงไม่ได้เล่าให้เขาฟังเลย สองวันนี้เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติ หรือว่าวิญญาณต่างโลกตนนั้น เคยตายด้วยน้ำมือของเสี่ยวชีหรือ?

นางก็เคยไปโลกที่เสี่ยวชีกับเสด็จอาเคยไปหรือ?

ซวนหยวนคงได้ยินคำพูดก็ตะลึงงันไป จากนั้นโหลฮ่วนเทียนก็พบว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยน่าดูขึ้นมาเล็กน้อย

"ข้าเคยรับปากชีชี ไม่ว่ากับใครก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก"

"ไม่เอ่ย แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไร? ถ้าหากเป็นคนที่นางเคยฆ่าคนนั้นจริงๆ แต่ข้าไม่รู้อะไรเลย แล้วจะช่วยนางอย่างไร?" โหลฮ่วนเทียนเห็นดังนั้น ในใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา หรือว่าเมื่อก่อนเสี่ยวชียังเคยเจอกับเรื่องที่มันสยดสยองน่ากลัวอะไรเข้า ถึงกับกลายเป็นปมที่ไม่สามารถเอ่ยขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือ?

สายตาของซวนหยวนคงหนักอึ้ง ดูเหมือนจะไม่มีที่ให้หยุดลงมา นึกถึงประสบการณ์ในตอนนั้น ทำให้อารมณ์ของเขาจมดิ่งลงมาเช่นกัน

โหลฮ่วนเทียนก็ไม่เร่งรัดเขา ถึงอย่างไรเขาไม่พูด เขาไม่ไป ดูว่าใครจะดื้อด้านมากกว่ากัน เรื่องของเสี่ยวชีเรื่องนี้สำคัญมาก เขาจะต้องรู้ให้ได้

หลังจากผ่านไปนานพักใหญ่ ซวนหยวนคงถึงได้เอ่ยปาก

"ตอนที่ชีชีอายุได้สิบขวบ เคยตกเป็นเป้าหมายขององค์กรลึกลับองค์กรหนึ่ง"

ประโยคแรกที่พูดออกมาก็ทำให้โหลฮ่วนเทียนใจเต้นตึกตักขึ้นมา

แต่เขาอาจจะไม่รู้ว่า ภายใต้เทคโนโลยีชั้นสูงในยุคปัจจุบัน องค์กรลึกลับเช่นนั้นน่ากลัวขนาดไหน ทรงพลังอำนาจมากจนเกินไป ในครั้งนั้น โหลชีเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

"โลกใบนั้นเจ้าไม่สามารถจินตนาการออกมาได้อย่างแน่นอน ตอนที่ข้าเพิ่งจะพานางข้ามไป ก็ตกใจจนต้องหลบเข้าไปอยู่ในภูเขา หนึ่งปีกว่าก็ยังไม่กล้าออกมา" ซวนหยวนคงนึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งจะถึงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดใหม่ๆ ในตอนนั้นเขารู้สึกกลัวจริงๆ

ตึกที่สูงขนาดนั้น หนาทึบเต็มไปหมด เวลานั้นเขาไม่รู้จักกระจก เห็นอาคารมากมายล้วนมีกระจกเป็นผนังด้านนอก ถูกแสงแดดส่องประกายเจิดจ้า เขาลืมตาไม่ขึ้นเลย ยังมีรถยนต์ที่สัญจรไปมาบนถนน รถประจำทาง มีรถจักรยานยนต์วิ่งฉิวผ่านข้างกายของเขาไปอย่างรวดเร็ว เขานึกว่าวิชาตัวเบาของคนที่นั่นร้ายกาจขนาดนั้น เป็นเหตุให้เขารู้สึกว่าอยู่ที่นั่นวรยุทธและการฝึกตนของตนเองถือว่าแย่มากอยู่นานพักใหญ่ และก็ไม่กล้าที่จะลงมือพร่ำเพรื่อเลย

คนยุคโบราณคนหนึ่งไปถึงยุคปัจจุบัน ผลกระทบสารพัดต่างๆที่ได้ประสบพบเจอนั้นไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคจริงๆ

ดังนั้นช่วงปีแรกๆเขาก็สอนชีชีอย่างรีบเร่งมาก นอกจากรู้สึกว่านางมีภารกิจของนาง ต้องกลับไปสู่หลงหยินแล้ว ก็มีความเกี่ยวข้องกับความรู้สึกตกตะลึงที่มีต่อโลกใบนั้นอย่างมาก

ชีชีอายุไม่เท่าไหร่ก็เริ่มทำภารกิจแล้ว นั่นก็มีความเกี่ยวข้องกับการสั่งสอนที่ผิดพลาดของเขาเช่นกัน เพราะว่าเขานึกว่าคนในยุคปัจจุบันล้วนมีการฝึกตนที่แข็งแกร่งมาก พวกเขายังอ่อนหัดนัก ดังนั้นในตอนแรกที่เขาสอนชีชี คือต้องพยายามอย่างเต็มกำลัง

พยายามอย่างเต็มกำลัง

นี่คือความผิดพลาดมากมายขนาดไหน

ต่อมาองค์กรลึกลับนั่นตามหามาถึง พวกเขาถึงได้พบว่า เด็กที่อายุไม่กี่ขวบออกปฏิบัติภารกิจ สามารถไปมาได้อย่างอิสระในอาคารที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ได้รับความคุ้มครองอย่างแน่นหนา นั่นเป็นเรื่องที่ขัดต่อวิถีแห่งสวรรค์ขนาดไหน!

และเป็นเพราะนางเก่งกาจยอดเยี่ยมเช่นนั้น ถึงได้ตกเป็นเป้าของผู้หญิงคนนั้น

โหลฮ่วนเทียนฟังไปฟังมา คิ้วก็ขมวดขึ้นมาเช่นกัน

"ผู้หญิงคนนั้นเป็นบุคคลที่มีความทะเยอทะยานที่บ้าคลั่งคนหนึ่ง เป็นอัจฉริยะทางยารักษาล้ำสมัยที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ นางรู้จักสุดยอดอัจฉริยะที่บ้าคลั่งเหมือนกันมากมาย ก่อตั้งเป็นองค์กรลึกลับดังกล่าวขึ้นมา ทำการวิจัยต่างๆ พวกเขาค้นหาคนที่มีพรสวรรค์ที่ขัดต่อวิธีแห่งสวรรค์ต่างๆไปทั่วทุกหนทุกแห่ง คนที่ยินดีเข้าร่วมกับพวกเขา ก็จะกลายเป็นหุ้นส่วน คนที่ไม่ยินยอม ก็จะกลายเป็นหนูทดลองให้กับพวกเขา พวกเขาถูกใจชีชี ข้าย่อมไม่เต็มใจที่จะส่งชีชีไปให้คนประเภทนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาก็เลยคิดอยากจะจับชีชีไปเป็นหนูทดลอง"

"หลังจากนั้นล่ะ?"

"พวเราซ่อนตัว แต่ว่าในเวลานั้นชีชียังเด็ก เรื่องบางอย่างก็ยังไม่เข้าใจ หลังจากนั้นสองปี นางก็รับภารกิจมา มีลูกชายของเศรษฐีคนหนึ่งถูกผู้หญิงคนนั้นจับตัวไป เศรษฐีไม่เพียงไม่แจ้งความ ยังว่าแจ้งทหารรับจ้างให้เข้าไปช่วยในราคาที่สูง ฆ่าเพื่อนของผู้หญิงคนนั้นไปสองคน เพราะเหตุนี้ ทำให้ผู้หญิงคนนั้นโกรธขึ้นมา นางจึงตัดแขนตัดขาเด็กที่อายุแค่หกขวบคนนั้นด้วยตัวเอง แถมยังถ่ายเป็นคลิปวีดีโอส่งไปให้แม่ของเด็ก แม่ของเด็กคนนั้นทนรับความกระทบกระเทือนทางจิตใจนี้ไม่ไหว เสียสติไป เศรษฐีโศกเศร้าและเสียใจมาก ว่าจ้างชีชี จะเอาชีวิตของผู้หญิงคนนั้น"

......

ในพระราชวังเฮ่อเหลียน เฮ่อเหลียนหมิงคุกเข่าอยู่ใต้บัลลังก์ บนบัลลังก์มังกรที่เดิมทีควรมีเขาเป็นคนนั่งอยู่ตอนนี้กลับมี "ผู้หญิง" ที่สวมชุดกระโปรงสีม่วงนั่งอยู่บนนั้น ชุดฝ่ายในที่หรูหราไร้ที่เปรียบ ผมข้างขมับมีปิ่นระย้าหงส์เจ็ดสีปักเอาไว้ แต่งหน้าอย่างงดงามและประณีต ตรงเปลือกตาจรดหางตาปัดด้วยสีม่วงสว่างสดใส ระหว่างที่คลื่นลูกตาเคลื่อนไหวเบาๆแฝงไปด้วยเสน่ห์ที่ไร้ขีดจำกัด

ถ้าหากโหลชีและคนอื่นๆอยู่ที่นี่ก็จะพบว่า "ผู้หญิง" คนนี้ คือหยุนเฟิงชัดๆ!

หยุนเฟิงที่แต่งหน้าและสวมชุดผู้หญิงงดงามจนทำให้คนหยุดหายใจ

ผู้หญิงที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังบัลลังก์มังกร ก็คือเสี่ยวโฉว บนใบหน้าของเสี่ยวโฉวยังคงราบเรียบ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆเลย

และด้านหลังของเฮ่อเหลียนหมิงกลับมีคนยืนอยู่สองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายหล่อเหลามาก ผู้หญิงก็งดงามมากเช่นกัน การแสดงออกทางสีหน้าของทั้งสองกลับแข็งทื่อมาก ราวกับหุ่นขี้ผึ้ง

"เจ้านี่มันใจกล้ามากนะ เอาความสามารถที่ข้าสอนให้เจ้าในตอนนั้น มาใช้ในด้านนี้หมด" หยุนเฟิงเปิดริมฝีปากเล็กน้อย เสียงกลับเป็นการดัดเสียงออกมา ไม่เหมือนกับเสียงที่อ่อนโยนในเวลาปกติของเขา แต่ดูมีความเป็นผู้หญิงเล็กน้อย

"ฝ่าบาท ศิษย์......"

"เอาเถอะ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าอธิบาย แต่เจ้าลองพูดมาสิ ข้าช่วยให้เจ้าได้นั่งบนบัลลังก์ของแคว้นแทตย์แล้ว เจ้ากลับยังอาลัยอาวรณ์บัลลังก์เฮ่อเหลียนอยู่ นี่เป็นเพราะอะไร?"

เฮ่อเหลียนหมิง คือพระราชาของแคว้นแทตย์!

หลายปีมานี้ เขาสลับเปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งสองตัวตนนี้ แทบจะไม่มีคนรู้ความลับข้อนี้เลย

เขากำลังอยากจะพูดออกมา "หยุนเฟิง" คนนั้นกลับโบกไม้โบกมืออีก: "ช่างเถอะ เรื่องนี้ข้าก็ไม่ถือสาหาความกับเจ้า อย่างไรเสียต่อไปทั่วทั้งใต้หล้าก็จะเป็นของข้าอยู่แล้ว" เขาพูดถึงตรงนี้ สะบัดมือข้างหนึ่งไปทางเขา ทำให้เฮ่อเหลียนหมิงกลิ้งไปด้านหลังสองสามรอบก่อนที่จะหยุดลงมา

"แต่ว่า ตอนนี้ข้าให้เจ้าล่อโหลชีเข้ามา ทำไมเรื่องเล็กแค่นี้เจ้าก็ยังทำไม่ได้?"

เขาระเบิดอารมณ์ขึ้นมาในทันใด "รีบไปล่อโหลชีเข้ามา! โหลชี ข้าต้องการโหลชี! เจ้าได้ยินหรือไม่!"

เฮ่อเหลียนหมิงล้มลุกคลุกคลานถอยออกไปทางนอกตำหนัก พร้อมกับตะโกนไปด้วย: "ศิษย์รู้แล้ว ศิษย์จะไปเดี๋ยวนี้"

ออกมาจากตำหนักใหญ่ ในตอนที่แน่ใจว่าคนที่อยู่ข้างในมองไม่เห็น ในดวงตาของเขาผยสีเลือดออกมาเล็กน้อย กล่าวกระซิบพึมพำกับตนเอง: "โหลชี โหลชีข้าก็อยากจะเห็นเช่นกัน......"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ