โหลฮ่วนเทียนก็เป็นห่วงมากเกินไปชั่วขณะ เดิมเขาควรจะคิดได้ ถ้าโดนได้ โหลชีกับเฉินซ่าก็คงออกมานานแล้ว จำเป็นต้องโดนขังด้วยรึ?
กระบี่ในมือเขาโดนกับโดมธนูนั่นแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาเบิกตากว้างฉับพลันคือ กำลังภายในเข้มแข็งปานนี้ฟันลงไป โดมธนูนั่นกลับไม่ขยับเลยสักนิด และประกายไฟสีฟ้านั่นกลับราวกับมีชีวิตขึ้นมา ลามเลียมาบนกระบี่เขา และเริ่มเผาไหม้กระบี่ของเขา
แต่ทั้งๆที่เป็นประกายไฟ เขาพลันรู้สึกหนาวเสียดกระดูก
แม่เจ้า
โหลฮ่วนเทียนทนไม่ไหวเงยหน้ามองเฉินซ่า นี่มันประกายไฟอะไร? มีประกายไฟที่หนาวเสียดกระดูกด้วยรึ? หนาวขนาดนี้เผาไหม้ได้อย่างไร?
แต่ที่เขายิ่งอยากรู้คือ ประกายไฟหนาวขนาดนี้ ทำไมเฉินซ่าถึงได้เหงื่อแตกพลั่กอย่างนั้นล่ะ?
"พี่ชาย พยายามปล่อยมือให้ได้..." เสียงโหลชีแหบพร่ามากขึ้นแล้ว
โหลฮ่วนเทียนไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมแค่ปล่อยมือยังต้องพยายาม แต่พอเขาอยากจะปล่อยกระบี่ที่เย็นเยียบราวน้ำแข็งในมือนั้น ก็พบว่าไม่ว่าทำยังไงมือก็ขยับไม่ได้ นิ้วมือราวกับแข็งไปแล้ว และความรู้สึกนี้ยังค่อยๆกระจายไปเรื่อยๆ
"แม่เจ้า"
โหลฮ่วนเทียนทนไม่ไหวสบถออกมา ในขณะที่เตรียมจะรวบรวมกำลังภายในใส่มือ เฉินซ่าที่เหงื่อแตกพลั่ก เหล่เขาเบาๆหนึ่งทีพลางว่า "ถ้าข้าเป็นเจ้า จะเก็บกำลังภายในไว้"
"น้องเขย เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่าทางและน้ำเสียงเจ้าตอนพูดน่ะมันช่างน่าอัดนัก?" แม่งเอ๊ย บอกเขาดีๆว่าอย่าใช้กำลังภายในไม่ได้รึ?
"ชีชีชอบข้า" เฉินซ่าพูดอย่างเย็นชา
โหลฮ่วนเทียนเดือดทันที "เจ้าออกมา!ข้าขอเปลี่ยนคน! ให้ข้าเข้าไปกอดเสี่ยวชีและโดนขังไว้ในนั้น! ต่อให้โดนขังจนตายข้าก็ยอม"
"ไม่ถึงเจ้าหรอก"
"เจ้าเก่งก็ออกมาสิ"
"เจ้าเก่งก็เข้ามาสิ"
โหลชีที่โดนเฉินซ่าโอบไว้มึนหัวอยู่นั้นพลันรู้สึกหน่ายใจขั้นสุด ทำไมพวกโง่แต่น่ารักรอบข้างนางมีมากขึ้นเรื่อยๆนะ? งี่เง่าไร้เดียงสาอีกต่างหาก
นางพูดอย่างอ่อนแรงว่า "จะเป็นผู้ใหญ่กันหน่อยได้ไหม?"
ผู้ชายสองคนตอบนางพร้อมกันว่า "ก็เป็นผู้ใหญ่มาตลอด"
หัวโหลชีชนเข้ากับอ้อมกอดเฉินซ่า
"นักพรตเลวล่ะ?"
"เขาบอกจะไปลากตัวคนวิปลาสผู้นั้นออกมา"
โหลชีได้สติขึ้นมาทันที "เขาเอาของดีอะไรมาไหม?"
"เอารถม้ามาคันหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าคืออะไร"
เวลานี้โหลฮ่วนเทียนถึงได้รู้ว่าทำไมพวกเขาเสียงแหบพร่าขนาดนั้นแล้ว ยังพยายามคุยกับตนอยู่ เพราะหากไม่พูดอะไรเขาจะรู้สึกว่าสติค่อยๆหายไป มีแต่พูดไม่หยุด เขาถึงจะรู้สึกว่าตนเองยังอยู่ ไม่หนาวตายก่อน
ความหนาวเย็นขนาดนี้ไม่เหมือนตอนหิมะตกเย็นเป็นน้ำแข็ง เหมือนความหนาวเย็นยะเยือกที่เสียดแทงเข้ากระดูก ทีละส่วนๆ เสียดแทงเข้าไป เหมือนไอเย็นที่มีชีวิตพยายามมุดเข้าข้างใน มุดเข้าถึงกระดูกแล้วยังไม่ยอมหยุด คอยมุดตลอด ทำให้คนรู้สึกว่าวิญญาณก็โดนแช่แข็งไปด้วย
"น่าตายนัก นี่มันประกายไฟอะไรกันแน่!"
โหลชีพูดอย่างเหนื่อยมาก "นี่มิใช่ไฟ เป็นเถ้าชนิดหนึ่ง เป็นเถ้าที่ขูดออกมาหลังจากแช่กระดูกคนตายด้วยน้ำยาสามปีแล้ว ใช้หญ้าปีศาจมาเผา เผาไหม้อย่างแปลกประหลาดมาก"
ถึงเขาจะไม่รู้ว่านั่นมันของบ้าอะไร แต่เขารู้จักหญ้าปีศาจ ก่อนหน้านี้โหลชีก็เคยพูดถึงหญ้าปีศาจกับเขา สิ่งนี้ หลายวันนี้ซวนหยวนคงก็ทำอยู่ บอกว่าเสี่ยวชีให้เขามา เขาเคยอยากแตะดูสักครั้ง โดนซวนหยวนคงไล่ตีไปรอบหนึ่ง
หญ้าปีศาจ หญ้าปีศาจธาตุหยินมากนัก เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ตอนนี้บวกกับเถ้ากระดูกคนตายอะไรนั่น เป็นคนตายอะไรน่ะ? กระดูกคนตายยังต้องแช่น้ำยาสามปี หมายความว่า สามปีก่อนอีกฝ่ายก็ได้วางแผนเอาไว้แล้วรึ?
เสี่ยวชีของพวกเขายังไม่โรคจิตขนาดนั้น ดังนั้นเลยรับมือสิ่งนี้ไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติ
เขาไม่มีทางคิดแน่ว่า เป็นแค่คนตายธรรมดาง่ายๆอย่างนั้น สิ่งที่ทำอย่างโรคจิตนี่ไม่เคยมีสิ่งไหนเป็นปกติเลย เขาอยากด่าคำหยาบจริงๆเลยทำยังไงดี? แต่เขาอยากรักษาภาพพจน์ไท่จื่อของตนไว้...
โหลชีพลันนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ พูดขึ้นว่า "พี่ชาย ซ่า พวกท่านฟังข้านะ พยายามให้ตนเองหลับไป..."
เฉินซ่ากับโหลฮ่วนเทียนตะลึงอึ้งพร้อมกัน เวลานี้บังคับตัวเองให้นอน? ทำไมกัน?
สถานที่เย็นขนาดนี้ จะหลับได้รึ? อีกอย่าง หลับแล้วก็หลับสลบไปเลยจริงๆ ถึงเวลานั้นอีกฝ่ายจะทำยังไง ไม่ใช่รอให้คนทำอะไรก็ได้รึ?
แต่ทั้งสองคนก็เชื่อใจโหลชียิ่งนัก ถึงจะรู้สึกแปลกมาก แต่ในเมื่อนางพูดออกมาแล้ว พวกเขาก็ฟัง
ทั้งสองคนหลับตาลงพร้อมกัน บังคับให้ตนเองหลับ
คนที่ล้อมอยู่ด้านนอกกลับตะลึงอึ้ง
"นอนหลับ?"
"มาหลับเวลานี้ได้อย่างไร? จะเป็นปัญหาหรือไม่? ฝ่าบาทบอกแล้วว่าโหลชีผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ไม่ว่านางทำอะไรก็ไม่อาจเลินเล่อได้ ตอนนี้พวกเราควรรีบไปกราบทูลฝ่าบาท?"
หลายคนที่รวมตัวกันอยู่ในจุดหนึ่ง ถ้าโหลชีเห็น ก็จะพบว่านี่เป็นคนของลัทธิสิ้นโลกีย์ ถึงบางคนจะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่น่าจะเคยประมือกันมาบ้าง
เหมือนพวกผู้เชี่ยวชาญนั้นที่ลอบเข้าไปในเขาซงซานของทุ่งป่าเถื่อนเพื่อชี้แนะทหารเสือเขาซงซาน
ในมือพวกเขาทุกคนล้วนถือสิ่งแปลกประหลาด บ้างเป็นคันฉ่องที่วาดยันต์ไว้อย่างพิเศษด้านหนึ่ง บ้างเป็นมีดสั้นที่ประดับประดาด้วยอัญมณีเล่มหนึ่ง และยังมีประกายแสงที่สะท้อนสีเขียวครึ้ม
คนพวกนี้ก็เป็นสมาชิกสำคัญของลัทธิสิ้นโลกีย์ที่เหลืออยู่หลังจากทำสงครามครั้งใหญ่กับคนของอิง และพูดได้ว่า พวกที่ตายไปนั้นล้วนเลือกมาเสียสละแทนพวกเขานั่นเอง
มีเสียงตะคอกดังจากด้านบน
"ซวนหยวนคง!"
"หยุนเฟิง"จำเสียงเขาได้ในทันที เขากัดฟันกรอดบอก "ซวนหยวนคง! ทำไมเจ้าชอบมาขัดขวางข้านักนะ!"
เขาพยายามดิ้นรนขัดขืน อิงกลับกอดขาเขาแน่นอย่างสุดกำลัง และใช้ร่างตนเองกอดรัดเอาไว้
"ปล่อยมือ! ปล่อยมือ!" การมาของซวนหยวนคงทำให้ "หยุนเฟิง"เริ่มลนลาน เขาโดนอิงกอดรัดเอาไว้แน่นหนา เดินไม่ได้หนีไม่ได้ แววตาเกิดประกายอาฆาตขึ้นมา
"ตายก็ไม่ปล่อย" อิงกัดฟันกรอด ปล่อยให้อีกฝ่ายถีบเขาไม่หยุด
"เดิมอยากไว้ชีวิตเจ้า ดูท่าเจ้าจะไม่อยากอยู่แล้ว!" แววตา"หยุนเฟิง"ฉายแววอาฆาต เขายกมือขึ้น กรงเล็บทั้งห้านิ้วพลันกลายเป็นโปร่งใสขึ้นมาเล็กน้อย ยังมีประกายแสงสีเขียวครึ้ม เขาคว้าหมับไปที่กลางกระหม่อมอิงทันที
ในตอนที่อิงกำลังจะตายด้วยมือเขา ในท้องพระโรงพลันมีสายน้ำไหลเทลงมาจากความว่างเปล่า
"ผู้หญิงบ้า! เก่งนักก็ออกมาสู้กัน!เก้าปีก่อนข้าไม่รู้เรื่องนี้เลยลงมือไม่ทัน ทำให้ชีชีต้องทุกข์ยาก ครั้งนี้ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!"
"ซ่า"ดังขึ้น "หยุนเฟิง"กับอิงต่างเนื้อตัวเปียกปอนไปทั้งตัว
"อ๊า!"
"หยุนเฟิง"พลันร้องออกมาอย่างโหยหวนเจ็บปวด ถีบอิงกระเด็นลอยออกไป แรงมากนัก ทำให้เขากระเด็นไปชนกำแพงสองชั้น และออกนอกตำหนักดังโครม
เขากระอักเลือดออกมาหลายคำ และค่อยๆหลับตาลง
"เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า! เจ้า! โหลชี! เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบขัดขวางไม่ให้ข้าขึ้นถึงจุดสูงสุด! โลกนี้เป็นของข้า! ของข้า!"
"หยุนเฟิง"ตะคอกอย่างคลุ้มคลั่ง ทะยานร่างขึ้นเหนือตำหนัก ทะลุเพดานขึ้นไป พาให้เศษกระเบื้องปลิวว่อน
"มาได้จังหวะพอดีเลย!"
ซวนหยวนคงสะบัดมือกลางอากาศ เปิดอีกไหหนึ่ง สาดน้ำยาในนั้นใส่เขาไปอีก
"เจ้าสมควรตาย!"
เวลานี้ "หยุนเฟิง"สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดครึ่งเปียกครึ่ง ดูน่าอนาถนัก เขาโดนน้ำยานี้สาดใส่หัวเต็มๆ เครื่องสำอางบนหน้าเละหมดแล้ว บวกกับสีหน้าบิดเบี้ยวเคืองแค้น ราวกับครึ่งคนครึ่งผี
"ฝ่าบาท!"
"ฝ่าบาท ข้าน้อยมาช่วยท่านแล้ว!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ