ตำหนักสาม ห้องหนังสือของจักรพรรดิ
ห้องหนังสือแห่งนี้ไม่สู้บอกว่าเป็นสถานที่ที่เฉินซ่ากับโหลชีสองคนใช้สำหรับพักผ่อนอยู่ด้วยกันในยามว่างดีกว่า อย่างไรเสียก็ไม่มีขุนนางใหญ่คนไหนสามารถมาถึงห้องหนังสือแห่งนี้ได้ ที่นี่ไม่หารือเรื่องบ้านเมือง ไม่คุยเรื่องรบทัพจับศึก
ดังนั้นตอนที่ซวนหยวนฮ่วนเทียนดึงหนังสือภาพที่วาดได้อย่างประณีตละเอียดมากเล่มหนึ่งออกมา การแสดงออกทางสีหน้าของเฉินซ่ากับโหลชีก็ยังคงสงบนิ่งมาก ไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อย
"ทำไมล่ะ ข้าดูหนังสือภาพไม่ได้หรือ?" ในตอนที่โหลชีสบตาเข้ากับสายตาคับแคบของเขา ก็เงยหน้าขึ้นมา กล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจมาก: "ซ่าก็ดูหนังสืบภาพเหมือนกัน"
หลังจากภาคภูมิใจจบ เห็นสายตาที่เฉินซ่าเหลือบมองมากลับเต็มไปด้วยความดูถูก
ใบหน้าของเฉินซ่าดำมืดลงมาทันที กัดฟัน อยากจะกดตัวนังหนูคนนี้มานอนคว่ำบนตักแล้วตีให้หนำใจเลย
จากนั้นซวนหยวนฮ่วนเทียนก็เหมือนกับค้นพบโลกใหม่ พบว่าเฉินซ่าเหมือนจะ.........
"น้องเขย เจ้าหน้าแดง!"
"ข้าเปล่า"
"มีสิ เจ้าหน้าแดงนั่นแหละ!" ซวนหยวนฮ่วนเทียนเลิกคิ้วมองดูเขา "ดูหนังสือภาพมีอะไรให้หน้าแดงกัน?"
เวลานี้ ซวนหยวนคงกล่าวออกมาอย่างสบายๆประโยคหนึ่ง: "นี่มีอะไรน่าแปลกใจกัน? ถ้าให้เจ้าเห็นหนังสือภาพที่อารมณ์พลุ่งพล่านแบบนั้น หรือว่าเขาไม่ควรจะหน้าแดงหรือ?"
"อารมณ์พลุ่งพล่านแบบนั้น? คืออะไร?" ซวนหยวนฮ่วนเทียนสงสัย ด้านหลังศีรษะก็โดนหมอนรองเอวใบหนึ่งกระแทกใส่
"เชี่ย ใครมันกล้าตีข้า?"
"พ่อเจ้าเอง" ซวนหยวนจ้านเหลือบตามองเขาอย่างดูถูก "ไม่ต้องพูดออกมา พูดออกมาแล้วช่างขายหน้าพ่อของเจ้าจริงๆ อายุยี่สิบกว่าแล้ว เจ้ายังไม่เคยดู 'ชุนกงถู' หรือ?"
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ถูกแม่ของเขาเลี้ยงดูมาตลอด ไม่ได้สั่งสอนประสบการณ์ทางด้านนี้เลย แล้วราชวงศ์ซวนหยวนของพวกเขาก็ไม่มีความเคยชินกับการส่งนางกำนัลฝึกสอน คงไม่ใช่ว่าลูกชายของเขาคนนี้ยังเป็น.........
ถูกสายตาแปลกประหลาดนี้ของซวนหยวนจ้านทำให้ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว ซวนหยวนฮ่วนเทียนแวบไปอยู่ด้านหลังของโหลชีโดยสัญชาตญาณ
"เสี่ยวชี สายตาของเสด็จพ่อช่างน่ารังเกียจนักเจ้ารู้สึกไหม?"
"ไอ้เด็กเวร เจ้าว่าใครน่ารังเกียจ?"
"ใครรับคำต่อก็ว่าคนนั้นแหละ"
เห็นว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นมาอีกครั้ง โหลชีกลอกตามองบนอย่างจนใจ ตบไปที่โต๊ะ "ใครยังจะทะเลาะกันอีก!"
ผู้ชายทั้งหลายหดตัวและเงียบลงทันที
ซวนหยวนคงตบไหล่ของเฉินซ่าอย่างเห็นอกเห็นใจ: "เจ้าหนูเฉิน นานขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เสริมความแข็งแกร่งของตำแหน่งสามีอีกหรือ ดูสิ ปล่อยให้เมียเจ้าตบโต๊ะต่อหน้าของเจ้าได้"
เฉินซ่ากวาดตามองเขาครู่หนึ่ง สะบัดมือของเขาออกไปจากไหล่ ล้อเล่นอะไรกัน หากเขาทำอะไรโหลชีขึ้นมาจริงๆ คาดว่าคนแรกที่จะสู้ตายกับเขาก็คือท่านผู้นี้แหละ ยังพูดว่าเสริมความแข็งแกร่งตำแหน่งสามีอะไรอีก
อีกอย่าง เขาชอบนิสัยเช่นนี้ของผู้หญิงของเขานี่แหละ
"พูดเรื่องจริงจัง" โหลชีกุมหน้าผาก รู้สึกจนใจกับผู้ชายพวกนี้มาก อย่าทำตัวเป็นเด็กกันขนาดได้ไหม? มาที่นี่ไม่ใช่เพื่อคุยเรื่องจริงจังกันหรอกหรือ?
เวลานี้ เยว่เคาะประตูอยู่ด้านนอก
"จักรพรรดิ จักรพรรดินี"
"เข้ามา"
เยว่เข้ามาพร้อมกับแจกันกระเบื้องสีขาวราวกับแสงจันทร์ใบหนึ่ง จากนั้นก็วางแจกันใบนั้นไว้บนโต๊ะ
"คนที่ส่งน้ำชักมังกรมาคือหลูต้าลี่" เขากล่าว "หลูต้าลี่กำลังรออยู่นอกตำหนักสาม บอกว่ามีเรื่องจะรายงานต่อจักรพรรดินี"
ตอนนั้นหลังจากที่พวกเขาไปถึงเผ่าชักมังกร หลูต้าลี่สมัครใจอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องน้ำชักมังกรศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นสิ่งที่มอบให้กับโหลชี พวกเขาไม่อยากให้น้ำนั่นเกิดปัญหาขึ้นมาแม้แต่น้อยนิด
"เรียกตัวมาเข้าเฝ้า"
หลังจากที่หลูต้าลี่เข้ามา โหลชีพบว่าเจ้าโง่ร่างใหญ่ในตอนนั้นตัวผอมลงไปมาก และหน้าตาก็หล่อเหลาขึ้นมาไม่น้อย ความทึ่มจางไปเล็กน้อย คนทั้งคนแตกต่างออกไป
นี่ยังใช่เจ้าโง่ร่างใหญ่หลูต้าลี่ที่แบกเสี่ยวเป่าไล่ตามเสี่ยวโฉวที่ปลอมตัวเป็นหมอเทวดาไปตลอดทางเพราะต้องการจะให้นางรักษาเสี่ยวเป่าคนนั้นอยู่อีกหรือ?
"แม่นาง.........ไม่ จักรพรรดินี!" ทันทีที่หลูต้าลี่เอ่ยปากก็ยังคงเป็นหลูต้าลี่คนเดิมคนนั้น ในสายตาของเขาดูเหมือนจะมองไม่เห็นคนอื่น มีเพียงโหลชีเท่านั้น
"จักรพรรดินี ทางด้านเผ่าชักมังกรมีเรื่องประหลาด!"
โหลชีชะงักงันไปครู่หนึ่ง "เรื่องประหลาดอะไร?"
"ภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของเขตต้องห้ามจู่ๆก็ถูกหมอกดำปกคลุมเอาไว้! ผู้นำเผ่าให้ข้ารีบมาหาพวกท่านเพื่อคิดหาวิธี พวกเขากลัวว่าดินแดนของเผ่าก็จะถูกหมอกดำประหลาดพวกนั้นกลืนกิน!" หลูต้าลี่กล่าวอย่างเร่งรีบ
"ท่านพี่ ข้าก็คิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน"
โหลชีมองไปทางหลูต้าลี่ "หัวหน้าเผ่ายังได้พูดอะไรอีกไหม?"
"หัวหน้าเผ่ากับข้าแยกย้ายกันไป พวกเขาไปหาพระราชาเป่ยชาง อยากจะให้พระราชาเป่ยชางส่งคนมาช่วยเหลือ ทางนั้นอยู่ใกล้ที่สุด"
สิ่งที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงคือ เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีจดหมายด่วนจากผู้ส่งสาร
เมื่อวานเป็นวันที่แดดจ้า อากาศดีมาก แต่ผ่านไปคืนหนึ่ง แต่จู่ๆก็มีพายุฝนฟ้าคะนอง ตอนที่โหลชีตื่นขึ้นมาในตอนเช้ารู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
จากนั้นจดหมายด่วนก็มาถึง
พระราชของเป่ยชางส่งทหารไปที่เผ่าชักมังกรแล้วจริงๆ แต่ว่า หลังจากทีมที่มีคนร้อยคนเข้าไปในหมอกดำแล้วก็ถูกทำลายไปจนหมด ความเร็วของการแพร่กระจายของหมอกดำก็ยิ่งเร็วขึ้นมาอีก คนของเผ่าชักมังกรถูกบีบให้ถอยออกจากดินแดนของเผ่าแล้ว
ผู้ส่งสารที่อยู่ในเป่ยชางรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติอย่างมาก ดังนั้นจึงรีบส่งจดหมายกลับมา
"หากปล่อยไว้ไม่สนใจ พวกข้าน้อยกังวลว่าที่สุดแล้วหมอกดำจะลามมาถึงเขตเมืองที่ชาวบ้านอยู่อาศัย กลืนกินเป่ยชาง หรือแม้กระทั่งแพร่กระจายต่อไปอีก"
ผู้ส่งสารที่เขียนจดหมายกลับมานี้ คือหนึ่งในผู้ส่งสารสามร้อยคนที่เฉินซ่าจัดตั้งขึ้นมาเพื่อค้นหาโหลชี และส่งข่าวของนางกลับมาในตอนนั้น เคยติดตามโหลชีอยู่ช่วงหนึ่ง บรรทัดสุดท้ายที่เขาเขียนในจดหมายนี้ทำให้ในใจของเฉินซ่ากับโหลชีต่างก็เต้นไม่เป็นจังหวะ
คนที่ตัวเองฝึกฝนขึ้นมากับมือ โหลชีย่อมรู้จักเป็นอย่างดี หากไม่มีการสังเกตการณ์และวิเคาระห์ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะด่วนสรุปเช่นนี้เด็ดขาด
"ซ่า?" โหลชีมองดูเฉินซ่า
เฉินซ่าหน้านิ่งราวกับน้ำ
ราวกับว่าเพิ่งจะได้ใช้วันเวลาที่สงบสุขไม่นาน ก็มีความรู้สึกว่ากำลังจะมีพายุมาอีกแล้ว
ในอดีตเขาเคยเต็มไปด้วยความองอาจผึ่งผาย แทบอยากจะเหยียบใต้หล้าให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ตอนนี้เขาแค่อยากจะอยู่กับผู้หญิงที่รัก ทำลูกทุกวัน
"เราควรจะไปดูหน่อย" เห็นว่าเขาไม่พูดไม่จาอยู่นาน โหลชีเดินเข้าไปใกล้ก้าวหนึ่งอย่างจนใจ สองมือดึงเข็มขัดของเขาเอาไว้เบาๆ ดึงแล้วส่ายไปมาเบาๆอย่างปลอบประโลมและออดอ้อนเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้งอนอีกแล้ว แต่นางรู้ว่าสุดท้ายเขาก็จะไป
จักรพรดิของต้าเซิ่ง มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ต้องดูแลใส่ใจแล้ว เขาก็แค่ต้องการให้นางเอาใจ ยิ่งอยู่ก็ยิ่ง "เปราะบาง" แล้ว
เห็นว่าเขายังทำหน้าบึ้งตึงอยู่ โหลชีกำลังจะพูดอะไร จู่ๆก็รู้สึกว่าในกระเพาะอาหารปั่นป่วนขึ้นมา รู้สึกคลื่นไส้กะทันหัน นางคลื่นไส้อาเจียนขึ้นมา รีบปิดปากเอาไว้ทันที
"ชีชี? เป็นอะไรไป?" เฉินซ่าสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ