ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา เฉินซ่าก็บินโฉบเข้ามาทันที กล่าวเสียงขรึม: "เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ยังคิดจะไปเผ่าชักมังกรอีกหรือ?"
"ข้าไม่ต้องไปหรืออย่างไร? เรื่องเกี่ยวกับท่านตาข้า ท่านว่าข้าไปหรือไม่ไป?"
"ข้าไม่อนุญาต"
โหลชีลุกขึ้นมาทันที: "เฉินซ่า ท่านจะมีเหตุผลหรือไม่?"
"เจ้าต่างหากมีเหตุผลหรือไม่ หมอเทวดาบอกแล้ว สามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ แม้แต่จะเข้าหอกับข้ายังไม่ได้ เจ้ายังคิดจะเดินทางไกลไปเสี่ยงอันตรายอีก?"
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้างดงามก็โหลชีก็แดงขึ้นมาอีก
ท่านพ่อของนาง พี่ชาย นักพรตเลวล้วนยังอยู่ที่นี่กันหมด เอาแต่พูดถึงเรื่องเข้าหอ ยังจะเอาหน้าอยู่ไหมเนี่ย?
นางไม่รู้จริงๆว่าคนโบราณนี่จะเปิดกว้างมากกว่านางเสียอีก
ผู้ชายสามคนของตระกูลซวนหยวนก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นกัน ดูท่าเฉินซ่ายังพะวงอยู่กับเรื่องไม่สามารถเข้าหอสามเดือนปล่อยวางไม่ได้อย่างสิ้นเชิงจริงๆ อย่างไรก็ต้องพูดมาถึงตรงนี้
"อะแฮ่มๆ เรื่องนี้เรายืนอยู่ข้างเฉินซ่า เสี่ยวชี เจ้าเพิ่งจะตั้งครรภ์ ไม่สามารถไปเสี่ยงอันตรายจริงๆ" ซวนหยวนคงจงใจทำหน้าเคร่งขรึม
แต่ว่าในตอนที่โหลชีสิบขวบก็เลิกเสียท่าอุบายนี้ของเขาแล้ว ทันทีที่เห็นเขาทำหน้าเคร่งขรึมก็ชิออกมาคำหนึ่ง
"ตอนนี้ข้าก็แค่มีลูกเท่านั้น สมัยนั้นตอนที่ตัวข้าเองยังเป็นเด็กท่านก็ให้ข้าออกไปหาเงินแล้ว"
ทันทีที่ซวนหยวนคงได้ยินคำพูดที่นางพูดในตอนนี้ก็มีความรู้สึกว่าท่าจะไม่ดีแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ พ่อลูกตระกูลซวนหยวนผู้ซึ่งรักลูกสาวดุจชีวิต รักและเอาใจน้องสาวเท่าชีวิตต่างก็เหมือนกับจะระเบิดอารมณ์ในทันที ดวงตาสี่ข้างเบิกกว้างจ้องมองมาทางเขา
สองหมัดยากที่จะสู้สี่มือ ยิ่งกว่านั้นเดิมทีแม้แต่พี่ใหญ่เขาก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว บวกกับซวนหยวนฮ่วนเทียนเจ้าเด็กเวรนี่อีก......
ซวนหยวนคงชิ่งหนีไปในทันที
"เจ้าสาม! เจ้าอย่าหนีนะ! เจ้าพูดให้ชัดเจนเลยนะ ไหนเจ้าบอกว่าในยุคปัจจุบันเจ้ารักและเอ็นดูเสี่ยวชีดุจอัญมณีราวกับสมบัติล้ำค่าไม่ใช่หรือ? ไหนเจ้าบอกว่าเสื้อผ้ามานางยื่นมือข้าวมาอ้าปากไม่ใช่หรือ?"
เฉินซ่ารับคำอย่างราบเรียบประโยคหนึ่ง "เป็นไปได้อย่างไร? ตอนที่ชีชียังเด็กมากๆก็ถูกเขาโยนออกไปฆ่าคนหาเงินซื้อบ้านแล้ว"
"ทำเกินไปแล้ว! อาสาม!"
เห็นว่าพ่อลูกซวนหยวนไล่ตามออกไปด้วยความโกรธเคือง ในที่สุดตำหนักนี้ก็เหลือเพียงพวกเขาสองสามีภรรยาแล้ว เงียบสงบแล้ว เฉินซ่ารีบสะบัดแขนเสื้อปิดประตูใหญ่ลงทันที กระบี่ดื่มเลือดโยนออกไป ขวางเอาไว้เป็นสลักประตูอย่างแม่นยำ
เขาเดินเข้าไปใกล้โหลชีทีละก้าว
จู่ๆโหลชีก็รู้สึกราวกับว่าอุณหภูมิภายในตำหนักบรรทมแห่งนี้สูงขึ้นหลายองศา อดที่จะถอยหลังไปทีละก้าวไม่ได้
เห็นท่าทางของนางเช่นนี้ เฉินซ่าก็ดุเสียงเบาออกมาคำหนึ่ง: "หยุด ห้ามเดินถอยหลังอีก!"
โหลชีรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก: "เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าห้ามกับข้าสองครั้งแล้วนะ!"
เห็นว่านัยน์ตาของนางแดงขึ้นมากะทันหัน เฉินซ่าก็วางอาวุธยอมจำนนในทันที "ข้าไม่ได้จะดุเจ้า กลัวว่าเจ้าจะสะดุดตัวเองล้มอีก ดูสิ ข้างหลังมีเก้าอี้ตัวหนึ่ง"
ถือโอกาสตอนที่นางหันหลังกลับไปมอง เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าสองก้าว กอดนางเข้าไปในอ้อมแขน "เอาล่ะ อย่าดื้อเลย ร่างกายของเจ้าในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะไปเผ่าชักมังกรจริงๆ ใครจะรู้ว่าหมอกดำพวกนั้นจะมีผลกระทบต่อลูกในท้องของเจ้าหรือไม่? ให้เยว่กับเฉิงสิบพวกเขาไปดีกว่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้แต่งงาน ไม่เหมือนอิง อวิ๋นกับโหลวซิ่นพวกเขาที่เพิ่งแต่งงานต้องอยู่กับภรรยา"
เยว่กับเฉิงสิบที่เฝ้าอยู่ในสวนดอกไม้ของตำหนักสามจามออกมาพร้อมกัน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ยินคำประโยคนี้ หากว่าได้ยินเข้า ทั้งสองคนต้องน้อยใจตายแน่ๆ เป็นโสดมีความผิดหรือ? เดิมทีเป็นโสดก็น่าสงสารมากอยู่แล้ว ยังจะต้องถูกส่งตัวไปไกลอีก? แล้วก็ปล่อยให้คนพวกนี้อยู่ที่นี่กอดภรรยาจู๋จี๋อี๋อ๋อเจ้ากับข้ายากที่จะแยกจากกันอย่างนั้นหรือ?
ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่ขอร้องอย่าลำเอียง!
เพียงแต่ว่าการพัฒนาของสถานการณ์ค่อยๆทำให้พวกเขาตกตะลึง
สามวันให้หลัง ผู้ส่งสารซึ่งอยู่ไกลถึงเป่ยชางก็ส่งรายงานด่วนมาอีกครั้ง หมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ใกล้เผ่ามังกรชักมากที่สุดแห่งหนึ่งในเป่ยชาง ถูกหมอกดำที่แผ่กระจายปกคลุมอย่างเงียบๆในคืนที่มืดมิด ทั้งหมู่บ้านสามร้อยกว่าชีวิต ไม่มีผู้ใดหนีรอด เหมือนกับภายในค่ำคืนเดียว ในขณะที่กำลังนอนหลับฝัน ถูกหมอกดำกลืนกินไปอย่างเงียบๆ
นี่อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย
หลังจากที่กลืนกินหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว การแผ่กระจายของหมอกดำดูเหมือนจะเร็วมากขึ้น
ตอนนี้ ชาวบ้านที่อยู่ในเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านแห่งนี้มากที่สุดต่างก็ตื่นตระหนกหวาดกลัว ไม่สนใจการปลอบประโลมของราชสำนัก แต่ละครอบครัวเก็บของมีค่าพกพาสะดวก พาลูกชายลูกสาวเตรียมออกจากบ้านเกิด มุ่งหน้าไปยังต้าเซิ่ง
หากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศต้าเซิ่งที่อยู่ไกลจากเผ่าชักมังกรแต่กำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ จะกลายเป็นจุดหมายแรกที่ชาวบ้านตงชิงเป่ยชางจะเลือกหลบหนีไป เป็นไปไม่ได้ที่พระราชาตงชิงเป่ยชางจะไม่สนใจเลย สันติภาพระหว่างประเทศที่กว่าจะรักษาเอาไว้ได้สุดท้ายก็จะพังทลายลงมา
และซีเจียงหนานเจียงที่คอยจ้องมองหาโอกาสตะครุบอยู่ตลอดจะต้องฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะมีสงครามเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งอีกครั้ง ใครก็ไม่สามารถได้อยู่อย่างสงบสุข
"พวกเราต้องไป"
โหลชีมองดูเฉินซ่าที่นิ่งเงียบเคร่งขรึมหลังจากที่อ่านรายงานด่วนแล้ว
ซวนหยวนจ้านขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า: "ข้าไปกับอาสามของพวกเจ้า ความปรารถนาของท่านตาเจ้าในตอนนั้น ก็ต้องเป็นตระกูลซวนหยวนเราที่ช่วยให้เขาสมหวัง"
"ปัญหาข้อนี้ไม่ต้องโต้แย้งกันตลอดอีกแล้ว ข้าก็จะไปเช่นกัน" โหลชียืนกรานหนักแน่น นางยังมีคำถามอีกมากมายว่าทำไมผู้หญิงบ้าคนนั้นถึงต้องมาที่นี่ด้วย นางมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง การไปครั้งนี้บางทีนางอาจจะสืบหาความจริงของเรื่องราวทั้งหมด แล้วก็ เหตุใดหมิงเลี่ยถึงต้องตายด้วย
นางก้มหน้าเอาไว้ เดินไปทางนางกำนัลคนนั้น ในตอนที่เห็นชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่เป็นชุดของนางกำนัลตำหนักสอง และในตอนที่ไม่มีใครอยู่บริเวณรอบๆ ในสายตาของนางมีประกายเจตนาสังหารแวบผ่านไปเล็กน้อย
"ข้าน้อยหลงทางไปชั่วขณะเดินมาถึงที่นี่ ท่านพาข้าน้อยออกไปเถอะ......"
"จริงๆเลย ทำไมถึงได้หลงทางในสถานที่แห่งนี้ได้? รีบตามข้าไป" คำว่าไปเพิ่งจะหยุดลง ดวงตาของนางเบิกกว้างในทันที ถอยหลังออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วล้มลงไป
สาวใช้ในวังเฒ่ารับศพของนางเอาไว้ ลากไปทางมุมของสวนดอกไม้
ผ่านไปนานพักใหญ่ นางกำนัลสะอาดสะอ้านน่ามองตัวน้อยคนนี้ที่ตายไปแล้วแท้ๆก็เดินออกมาใหม่อีกครั้ง นางหยุดอยู่ใต้ต้นดอกไม้ต้นหนึ่ง เด็ดดอกไม้มาทัดหู เผยรอยยิ้มที่แปลกประหลาดเล็กน้อยออกมา นางสัมผัสไปยังใบหน้าของตัวเอง ถอนหายใจเบาๆออกมาทันที
"ลืมไปแล้วว่ามีผิวพรรณที่นุ่มลื่นเช่นนี้คือเมื่อไหร่......" สายตาของนางว่างเปล่า ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ตอนแรกก็ยิ้มหวานออกมาก่อน จากนั้นก็โกรธแค้นจนใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ต่อจากนั้นก็โศกเศร้าไร้ที่เปรียบ แต่ไม่ว่านางจะมีการแสดงออกทางสีหน้าอย่างไร ผิวพรรณก็ทำให้คนรู้สึกว่ามันตึงแน่นอย่างประหลาดมาก
นางหยิบป้ายคาดเอวออกมาชิ้นหนึ่ง รีบก้าวเดินออกจากไปจากสถานที่แห่งนี้ ไปหาอาหญิงฝ่ายจัดการ
"อาหญิง ได้ยินมาว่าจักรพรรดิกับจักรพรรดินีออกจากวังครั้งนี้จะพานางกำนัลไปด้วยใช่ไหม?"
อาหญิงฝ่ายจัดการคนนั้นเห็นนางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย: "เอ้อร์เวยเองหรือ จริงๆเลย ข่าวพวกนี้เจ้ารอบรู้ที่สุดแล้ว ทำไมหรือ เจ้าอยากจะติดตามไปใช่ไหม?"
"อาหญิงฉลาดจริง!"
"จะตามไปไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จักรพรรดิมีราชโองการ นางกำนัลที่จะพาไปด้วยในครั้งนี้ต้องมีวรยุทธ ต้องผ่านสามกระบวนท่าของแม่ทัพเฉิงสิบท่าถึงจะผ่าน"
เมื่อครู่นี้เฉินซ่าเพิ่งมีราชโองการออกมาข้อหนึ่งจริงๆ เมื่อก่อนพวกเขาออกเดินทางไม่ชอบพานางกำนัลไปด้วย แต่ว่าครั้งนี้แตกต่างไปจากปกติ โหลชีตั้งครรภ์แล้ว ต้องดูแลอย่างพิถีพิถันในทุกๆด้าน ดังนั้นต้องพานางกำนัลไปด้วยอย่างแน่นอน เพราะทุกครั้งที่พวกเขาออกเดินทางล้วนไม่ได้ไปท่องเที่ยวภูเขาลำเนาไพรอย่างราบเรียบ โดยทั่วไปล้วนต้องฝ่าลมฝนและอันตรายรอบด้าน ดังนั้นอย่างน้อยก็ต้องพยายามหานางกำนัลที่สามารถปกป้องตัวเองและไม่ขัดแข้งขัดขา
เฉิงสิบเลือกนางกำนัลด้วยตัวเอง ขอแค่สามารถยืนหยัดจนผ่านสามกระบวนท่าของเขาไปได้ก็ถือว่าได้รับเลือกแล้ว
"เช่นนั้นเอ้อร์เวยขอไปลองดูหน่อย"
วันรุ่งขึ้น ขบวนของจักรพรรดิออกเดินทางรับแสงอรุณแรกในยามเช้า ชาวบ้านส่วนใหญ่ในเมืองหลวงล้วนยังอยู่ในความฝันที่งดงามช่วงสุดท้าย มีเพียงบรรดาคนขายของที่ตื่นเช้า เถ้าแก่และบรรดาผู้ช่วยที่เปิดร้านเช้าหน่อยเห็นขบวนนี้
โหลวซิ่น อวิ๋น อิงและคนอื่นๆที่เพิ่งแต่งงานเฝ้ารักษาการณ์ที่ตำหนักจิ่วเซียว เยว่ เฉิงสิบนำทัพอยู่ข้างหน้า ทหารม้าเกราะดำสิบแปดนาย องครักษ์สามสิบนาย คุ้มกันรถม้าสิบคันออกจากเมืองไปตลอดทาง นำพามาซึ่งลมแห่งความสง่างามน่าเกรงขาม
ต้าเซิ่งในตอนนี้อยู่ในช่วงเจริญรุ่งเรืองแล้ว หลังจากที่ออกจากเมืองหลวง ทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอี้ในตอนนั้นได้ถูกสร้างเป็นถนนใหญ่ที่ราบเรียบแล้ว สองข้างทางของถนนหลวงฟังคำแนะนำของโหลชี ปลูกเป็นต้นไม้เรียงรายกันอย่างเรียบร้อย ตอนนี้กิ่งก้านก็เขียวชอุ่ม ภูมิทัศน์งดงามมาก
ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ก็มีเมืองเล็กๆอีกเมือง พวกเขาผ่านทางไปแต่ไม่เข้า เร่งเดินทางไปตลอดทางราวกับลมพัดและฟ้าแลบ
หลังจากที่เป่ยชางกับตงชิงทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรช่วยเหลือเกื้อหนุนกันเสริมสร้างความเข้มแข็งของชาติ เดิมทีด้วยกำลังของชาติของพวกเขาในตอนนี้จะพิชิตต้าเซิ่งก็สามารถทำได้ แต่ว่าเบื้องหลังของเฉินซ่ากับโหลชีคือทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่หลงหยิน แล้วพวกเขามีใครที่กล้าลงมือ? ไม่เพียงเท่านั้น ได้ยินเขาว่าพวกเขามาที่เป่ยชาง ราชวงศ์เป่ยชางยังรู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ