ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 76

หลายวันมานี้คนในตำหนักจิ่วเซียวล้วนแต่หวาดผวาไปหมด

เพราะพวกเขาพบว่า สาวใช้ที่ยังคงพูดคุยและหัวเราะไปกับตัวเองก่อนหน้านี้ หรือองครักษ์ที่ยังเห็นหน้าค่าตากันมาโดยตลอดคนหนึ่ง ได้ระเหยหายไปจากโลกนี้เสียแล้วในทันทีทันใด

หลังจากนั้นก็ได้ยินว่า มีพ่อบ้านคนหนึ่ง ถูกจับเข้าคุกไปแล้วทั้งครอบครัว

หลายวันมานี้บนตัวของหัวหน้าผู้คุ้มฮั่วมีท่าทางที่เหี้ยมเกรียมแทบจะทุกวัน ทำให้ท่าทางที่ดูน่ากลัวเล็กน้อยมาแต่ไหนแต่ไรดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิมไปเสียแล้ว

"หัวหน้าผู้คุ้มคืนนั้นช่างทำให้ได้ระบายความโกรธไปได้มากเหลือเกินจริงๆนะขอรับ!" ในขณะนั้นเอง ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของเขากำลังพูดกับเขาว่า "แม่นางโหลนี่เก่งกาจมากเลยนะขอรับ ค่ายกลป้องกันที่นางได้ปรับปรุงใหม่ ไหนเลยจะสามารถเรียกว่าค่ายกลป้องกันได้ ชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นค่ายกลพิฆาตเสียแล้ว!"

ในคืนนั้น ฮั่วหยูฉุนมาตั้งมั่นรักษาเรือนจำตามปกติ แต่เพราะว่ามีค่ายกลเหล่านั้น ก็เลยไม่ต้องให้เขาทำอะไรเลย แต่กลับตามซีฉางอี้ไปดื่มชาสองสามกาเสียแล้ว

"องค์ชายเก้า ดูเหมือนว่าองค์ชายหลีจะออกไปจากพั่วอวี้แล้ว เจ้าผิดหวังมากหรือไม่?" ในขณะที่มองซีฉางอี้ที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ข้างๆโต๊ะอยู่นั้น ฮั่วหยูฉุนก็เลิกคิ้วขึ้น

"ข้าไม่ผิดหวังเลย แม่นางโหลมักจะมีเวลาว่างจากงานเสมอ" ซีฉางอี้พูด

"นี่มันเกี่ยวอะไรกับแม่นางโหลว่างหรือไม่ว่างด้วยเล่า?"

"แม่นางโหลเคยสัญญาว่า จะปล่อยข้าไป"

ฮั่วหยูฉุนตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาทันทีว่า "ถ้าหากแม่นางโหลสัญญาเยี่ยงนั้น เช่นนั้นก็มีปัญหาแค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น "

ในเวลานั้นเองซีฉางอี้จึงมองไปที่เขา แล้วถามด้วยความสงสัยเล็กน้อยว่า "จะว่าไป แม่นางโหลเป็นใครกันแน่? หรือว่านางเป็นคนของเขาเวิ่นเทียน?"

"เขาเวิ่นเทียนจะไปมีบุคคลเช่นนี้อย่างแม่นางโหลได้อย่างไร?" ฮั่วหยูฉุนทำเสียงฮึดฮัดขึ้นมา แต่ทว่า เมื่อพูดถึงเขาเวิ่นเทียน ในใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลายวันมานี้ ฝ่าบาทและพวกเขาลืมเขาเวิ่นเทียนทางด้านนู้นไปแล้วใช่หรือไม่? เขาต้องไปที่ตำหนักสามเพื่อพูดคุยกับแม่นางโหลสักหน่อยก็น่าจะดี ถึงแม้ว่านี่อาจจะไม่ถึงคราวที่เขาจะไปพูดคุย แต่ทว่า หลายวันมานี้เขาไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของแม่นางโหลเลย ในใจของเขาจึงรู้สึกคันยิบ ๆ ขึ้นมา

ฮั่วหยูฉุนกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเอง

"แม้แต่เขาเวิ่นเทียนแม่นางโหลก็ยังไม่สนใจอย่างนั้นหรือ?" ซีฉางอี้ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ ทันทีที่เห็นของที่อยู่บนข้อมือของตัวเอง ในที่สุดเขาก็เลยรีบพูดขึ้นมาว่า "หัวหน้าผู้คุ้มฮั่วถามแม่นางโหลให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่ ว่านางจะปล่อยข้าไปได้เมื่อไหร่? เจ้าก็แค่พูดว่า จะทำการแลกเปลี่ยนกัน ข้าสามารถบอกข่าวที่อาจเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทของพวกเจ้าเรื่องหนึ่งแก่นางได้"

"ได้ ข้าจะไปเดินสักรอบ เจ้ารอฟังข่าวจากข้าเถอะ" ฮั่วหยูฉุนหันหลังกลับทันทีแล้วเดินออกจากประตูไป ตอนนี้เขามีเหตุผลที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าแล้ว ฝ่าบาทคงไม่อาจไม่อนุญาตให้เขาพบกับแม่นางโหลอีกแล้วกระมัง?

เนื่องจากว่าแม่นางโหลอาศัยอยู่ที่นี่มาสองสามวันแล้ว หลายวันมานี้ ทุกครั้งที่เขาพูดถึงการขอพบแม่นางโหล เขาก็จะถูกฝ่าบาทสกัดเอาไว้โดยบอกว่านางต้องการพักผ่อนแล้วบอกให้เขากลับมาทุกครั้ง ทำให้ฮั่วหยูฉุนใกล้จะกลุ้มใจตายอยู่แล้ว

เขาเพียงแค่ให้แม่นางโหลอาศัยอยู่ที่นี่สองสามวันเองไม่ใช่หรือ? แล้วจำเป็นต้องให้นางคอยปกป้องเขาอย่างนี้ด้วยหรือ? ต่อให้เขามีความกล้านับสิบ เขาก็ไม่กล้าบังเกิดจิตใจที่คิดไม่ซื่อต่อแม่นางโหลอยู่ดี

แต่ทว่าคำพูดเหล่านี้ฮั่วหยูฉุนก็ทำได้แค่ตำหนิอยู่ในใจเท่านั้น เขาไม่กล้าหยิบยกมาพูดต่อหน้าเฉินซ่า อย่างแน่นอน

เขาเดินอย่างรีบร้อนจนไปถึงตำหนักสาม ยังไม่ทันได้เข้าไปข้างใน ก็ถูกองครักษ์ขวางเอาไว้เสียแล้ว เอาล่ะ ตอนนี้ได้มีองครักษ์เฝ้าอยู่นอกประตูตำหนักสามเสียแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าหลายวันมานี้มีสาวงามวิ่งไปวิ่งมาในตำหนักสามมากมายเหลือเกิน กฎเกณฑ์แบบนั้นก่อนหน้านี้จึงมักจะไม่เหมาะสมกับบรรดาคนที่มาจากต่างแดนเหล่านี้อยู่บ้าง

"หัวหน้าฮั่ว ฝ่าบาทมีรับสั่งว่า ไม่อนุญาตให้ฮั่วหยูฉุนเข้าไปข้างในขอรับ"

ในขณะที่องครักษ์คนนั้นกำลังมองฮั่วหยูฉุนอยู่ก็ยิ้มอย่างมีความสุขเล็กน้อย

ผู้คนเหล่านี้ แท้ที่จริงแล้วคือคนที่ล้วนแต่คอยติดตามเฉินซ่าอย่างมุมานะบากบั่นมาตั้งแต่เริ่มแรก และทั้งหมดก็คุ้นเคยกันกับเขาเล็กน้อย

ฮั่วหยูฉุนแทบจะกระอักเลือดออกมา ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ขมขื่นลงไปในทันใด แต่เมื่อใบหน้าที่ขาดสีของเลือดและหม่นหมองเล็กน้อยตามปกตินั้นของเขาขมขื่นลงมาแบบนี้ รูปแบบนั้นก็เลยบิดเบี้ยวไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้องครักษ์คนนั้นอดไม่ได้ที่จะเพ่งมองดูเขา

"แต่ว่า แม่นางโหลฝากคำพูดเอาไว้ว่า ถ้าหากท่านมาหานาง ก็ให้พวกเราไปรายงาน เดี๋ยวนางจะออกมาเองขอรับ"

"แม่นางโหลปราดเปรื่องยิ่งนัก!"

ทันใดนั้นฮั่วหยูฉุนก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางโหลจะเป็นคนดีอย่างนี้ ช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นจริงๆ เข้าอกเข้าใจผู้อื่นจริงๆ!

หลังจากที่องครักษ์ไปเชิญโหลชีมาแล้ว โหลชีก็ออกมาโดยที่ไม่ปล่อยให้ฮั่วหยูฉุนรออยู่นอกประตูตำหนักสามนาน

พอฮั่วหยูฉุนเห็นโหลชี ในใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิฝ่าบาทตนเอง เขาเอาแต่พูดว่าแม่นางโหลอารมณ์ไม่ดี เหนื่อยแล้ว และต้องการพักผ่อนอยู่ตลอดเวลา แต่เท่าที่ทุกคนเห็น นี่มันไม่ใช่รูปลักษณ์สวยงาม หน้าตาสดใสและงดงามจนน่าประทับใจหรอกหรือ?

โหลชีตบกระโปรงไปมา หลายวันมานี้ดูเหมือนเฉินซ่าจะชื่นชอบที่นางสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับเขาเข้าแล้ว จึงสั่งให้คนเร่งตัดเย็บเสื้อผ้าสีดำให้นางหลายชุด ควบคู่ไปกับการปรับปรุงใหม่เพียงเล็กน้อยของเธอเอง ทำให้เสื้อผ้าเหล่านี้ของนางมีสไตล์ที่เป็นกลางอยู่เล็กน้อย หลังจากสวมใส่ไปแล้วก็พอดีกับตัวมาก และการเคลื่อนไหวก็สะดวกมากเช่นกัน ไม่รุ่มร่ามแบบนั้นเหมือนกับกระโปรงผู้หญิง แต่ก็ไม่มีความองอาจห้าวหาญเหมือนกับชุดของผู้ชายเลยเช่นกัน นางชอบมันเอามากๆ

"คารวะแม่นางโหล"

"หัวหน้าผู้คุ้มฮั่วถ่อมตัวแล้ว แต่ว่าซีฉางอี้ต้องการพบข้ารึ?"

"ถูกต้อง" พอโหลชีพูดดังนั้น ฮั่วหยูฉุนก็เชื่อแล้วว่า โหลชีได้สัญญาว่าจะปล่อยซีฉางอี้ไปจริงๆ แต่ทว่า นี่พูดจริงหรือหลอกเขากันแน่?

"เขาพูดว่าอะไร?" โหลชีพูดไปพลาง เดินนำหน้าไปทางเรือนจำไปพลาง

"เขาพูดว่า สามารถบอกข่าวหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทแก่แม่นางโหลได้"

"เอ๋? งั้นก็ไปกันเถอะ ไปลองฟังข่าวที่เป็นประโยชน์อะไรบางอย่างที่เขาจะบอกข้ากันเถอะ"

"มีแค่สามคน รวมถึงข้าด้วย ข้าคาดว่าพวกเขาได้ถูกพวกเจ้ากำจัดไปหมดแล้วกระมัง" แต่เขายังเปิดเผยรายชื่อและลักษณะพิเศษของอีกสองคนออกมา

พวกเขาถูกจัดไปแล้ว รวมทั้งสาวใช้คนนั้นที่ถูกนางฆ่าด้วย ตอนที่ซีฉางอี้พูดอยู่นั้น โหลชีก็กำลังมองเข้าไปในดวงตาของเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากพูดโกหก ดวงตาของคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย และถ้าผ่านการฝึกมาแล้ว ก็จะสามารถมองการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเหล่านั้นออก

ในปีนั้นโหลชีก็เคยได้รับการฝึกพิเศษทางของที่นี้ด้วย เว้นเสียแต่ว่านางจะได้พบกับคนที่ได้รับการฝึกฝนพิเศษของที่นี้เช่นเดียวกัน แต่จะสามารถฝึกฝนได้จนถึงขึ้นที่ว่าแม้แต่ดวงตาของตัวเองก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่น้อยนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ยากมากจริงๆ

หลังจากที่รู้ว่าที่นี่ไม่มีสายลับของซีเจียงแล้ว โหลชีก็รู้สึกโล่งใจมากจริงๆ เพราะว่าสิ่งที่คนของซีเจียงเหล่านั้นสามารถทำได้ ล้วนเป็นสิ่งที่คนในตำหนักจิ่วเซียวไม่สามารถทำได้เลย และก็เป็นสิ่งที่สติปัญญาของพวกเขาล้วนแต่จินตนาการไม่ถึงกันทั้งนั้น เมื่อพบกับคำสาปเหล่านั้น พวกเขาก็ได้ทำการป้องกันจนไม่หวาดไม่ไหวและยากที่จะต้านทานมาก เปลี่ยนเป็นคนอื่นยังดีเสียกว่า อยากจะใช้ศิลปะการต่อสู้ก็ได้ ใช้แผนการในใจก็ได้

และถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้ยาพิษ หมอเทวดาก็สามารถถอนพิษได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นคนหนานเจียงและถึงแม้ว่าวิชากู่จะน่ากลัวไม่ต่างกัน แต่คนจงหยวนกลับได้ยินเรื่องวิชากู่ของหนานเจียงมามากพอสมควรว่า ถ้าเป็นวิชากู่ที่ไม่พิเศษอะไรพวกเขาก็พอที่จะรู้วิธีแก้ไขและทำลายคร่าวๆอยู่เหมือนกัน ความหวาดกลัวที่อยู่ภายในจิตใจจึงไม่รุนแรงเท่าที่ควร

ดังนั้น ที่โหลชีให้ความสนใจที่สุด ก็คือซีเจียง

"ฟังจากหัวหน้าฮั่วพูด เจ้ายังมีข่าวหนึ่งอยากจะบอกกับข้าใช่หรือไม่?" เรื่องที่โหลชีอยากจะทราบมากกว่าคือข่าวบางอย่างที่เขาสามารถนำมาให้ตัวเองได้ต่างหาก

ซีฉางอี้พูดว่า "ฝ่าบาทของพวกเจ้าถูกพิษกู่ พวกเรารู้แล้ว และเขากำลังหาวิธีทำยาแก้พิษมาโดยตลอดอยู่ใช่หรือไม่?"

พอคำพูดนี้เพิ่งจะสิ้นสุดลง โหลชีหันหลังกลับมา ทันใดนั้นเฉินซ่าก็เดินเข้ามาแล้วอย่างรวดเร็ว โดยไม่มองคนอื่นๆเลย เขาเอาแต่เหลือบมองไปที่โหลชี หลังจากนั้นก็นั่งลงข้างๆนาง

"......"โหลชีเงียบ

ฮั่วหยูฉุนเหงื่อหยด

คุณพระ นี่ฝ่าบาทตามมาจับตาดูถึงที่นี่เลยหรือเนี่ย?

ตอนนี้เขาควรที่จะแอบหนีไป แอบหนีไป หรือว่าจะแอบหนีไปดีล่ะ?

ฮั่วหยูฉุนแอบหนีไปแล้วจริงๆ พอออกประตูไปแล้วเขาก็เช็ดเหงื่อเย็นๆออก และคิดว่าตัวเองน่าจะต้องเข้าไปอยู่ในบัญชีดำของฝ่าบาทแล้วแน่ๆ ไม่สิ เขาอยู่ในบัญชีดำมาก่อนหน้านี้แล้วนี่นา หวังเพียงว่าแม่นางโหลจะสามารถปกป้องเขาได้นะ

ภายในห้อง ในขณะที่ซีฉางอี้กำลังมองดูเฉินซ่าที่ทำตัวเย็นชาและทำสีหน้าไร้อารมณ์อยู่นั้น เขาก็ตรึงแผ่นหลังแน่นโดยคุมสติตัวเองไม่ได้ แล้วพูดว่า "ฝ่าบาทพั่วอวี้"

"องค์ชายเก้าแห่งซีเจียง" ในขณะนั้นเองเฉินซ่าจึงมองมาที่เขา แล้วพูดว่า "เจ้าคิดดีแล้วหรือยังว่าจะตายอย่างไร?"

ลูกตาดำของซีฉางอี้หดตัวลงอย่างกะทันหัน แล้วมองไปทางโหลชีทันทีด้วยจิตใต้สำนึก

"อย่าทำแบบนี้ๆ องค์ชายเก้าบอกว่า เขารู้ข่าวที่เกี่ยวกับยาของพระองค์นะเพคะ" โหลชีคว้าข้อพับของเฉินซ่าเอาไว้ แล้วเอนร่างกายเข้าไปใกล้ๆเขา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ