บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 267

เมื่อฝ่าบาทได้ยินคำพูดของฮองเฮา เขาได้พยักหน้าให้คนพาพวกเขาเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ

“นางสนม เตรียมถ้วยจานมาอีกสองชุด”

ฮองเฮารับสั่งนางสนมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ฝ่าบาทคิ้วขมวด แสดงท่าทีที่ไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารกับพวกโม่เสิ่นยวน

แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ต้องหารือเรื่องอภิเษก ฝ่าบาทเลยไม่ได้ห้ามฮองเฮา

เมื่อถ้วยจานได้จัดเรียบร้อย ทั้งสามคนนั้นรอไปอีกสักครู่ โม่เสิ่นยวนและเย่จายซิงเพิ่งจะเดินกรีดกรายเข้ามา

“หม่อมฉันได้พาคู่หมั้นน้องซิงมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ขอรับ”

หลังจากที่โม่เสิ่นยวนเดินเข้ามา ได้สบกับสายตาที่เย็นชาของฝ่าบาท เขาจูงมือเย่จายซิงเข้ามาแล้วค่อยๆคำนับฝ่าบาทและฮองเฮา

เย่จายซิงก็ทำความเคารพโดยการคำนับเช่นเดียวกับเสด็จอา เป็นไปไม่ได้ที่จะให้นางคุกเข่าให้

“คู่หมั้น? โม่เสิ่นยวน ว่าที่ชายาของเจ้าคือ ยุ่นเอ๋อร์ไม่ใช่หญิงผู้นี้! ข้ายอมให้หญิงนี้เป็นชายารองของเจ้า ก็ถือว่าไว้หน้าเจ้ามากพอแล้ว”

ฝ่าบาทรับสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมพร้อมชี้ไปที่เย่จายซิง เพื่อเตือนสติโม่เสิ่นยวนให้เข้าใจสิ่งที่เขาพูด

สายตาของฮองเฮานั้นจ้องมองไปที่เย่จายซิง นางนึกไม่ถึงว่าจะมีหญิงธรรมดา ที่มีรูปลักษณ์งดงามถึงเพียงนี้ งดงามไร้ที่ติดั่งเช่นดอกบัวที่ถวายอยู่หน้าพระที่ไร้จุดด่างพร้อย

ถึงแม้ว่าจะแต่งกายธรรมดาแต่ดูสะอาดสะอ้าน แต่ก็ไม่สามารถบดบังความสง่างามของนางไปได้

อายุยังเยาว์แต่ท่าทีสง่างาม ไม่ได้มีเพียงความงดงามอย่างเดียว ดั่งเช่นที่นางจินตนาการไว้

นางไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ แต่เผยให้เห็นสีหน้าของความกังวล เหมือนจะกังวลความสัมพันธ์ของพ่อลูกนั้นจะไม่ลงรอยกัน

เย่จายซิงรับรู้ความรู้สึกของสายตาผู้คนได้เป็นอย่างดี นางกวาดสายตาจากฝ่าบาทไปที่ฮองเฮา

เมื่อเทียบแล้วคำรับสั่งฝ่าบาทไม่ลื่นหูและดูทรงโมโหโกรธาง่าย แต่ใบหน้ายิ้มแย้มของฮองเฮานั่นซิ ที่แฝงอุบายอำมหิตและแอบซ่อนไว้ในบึ้งลึก

สีหน้าและแววตาของฮองเฮานั้นเสแสร้งได้อย่างเนียบเนียน แต่เย่จายซิงพอรู้จักฮองเฮามาบ้างจากคำบอกเล่าของเสด็จอา เสด็จแม่ของเขาผู้นี้มีวิธีที่แยบยลมากกว่าทั่วไป โหดร้ายกว่าหญิงทั่วไป

ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนฝ่าบาทมีธิดาที่เกิดจากชายาองค์อื่นอีกสององค์ ทั้งสองเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ สุดท้ายเหลือเพียงองค์หญิง

หลิวอิ๋งเพียงองค์เดียวเท่านั้น

ถ้าไม่เป็นเพราะเสด็จอานั้นดวงแข็ง ก็คงต้องตายด้วยเอื้อมมือของฮองเฮาไปแล้ว

หนอนกู่ที่อาศัยอยู่ในร่างกายเขามานานหลายปี ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

ตอนนี้โม่เสิ่นยวนพูดกับฝ่าบาทด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:

“กระหม่อมมีความจำเป็นต้องทูลเสด็จพ่ออีกครั้ง ว่าภรรยากระหม่อมคือเย่จายซิง จะไม่มีจางยุ่นเอ๋อร์หรือ ฉู่ยุ่นเอ๋อร์ มีแต่เพียงนางคนเดียวเท่านั้น”

“สามหาวนัก! นางเป็นเพียงคนตระกูลชั้นผู้น้อยจากแคว้นเล็ก ไม่มีวันคู่ควรกับเจ้า เจ้าอย่าลืมไปว่า เจ้าคือเซ่าตี้แห่งแคว้นมังกรเทพ เรื่องอภิเษกของเจ้าข้าเป็นคนตัดสินใจ เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตามใจตนเอง!”

“เช่นนั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เป็นเซ่าตี้แล้ว ท่านหาคนมาแทนข้าได้เลย มังกรเขียวข้าก็จะคืนให้ราชสำนัก ”

โม่เสิ่นยวนพูดพลางเรียกหาเจ้ามังกรเขียวออกมา

ดวงตาของมังกรเขียวคลอไปด้วยน้ำตา แสดงให้เขารู้ว่ามันไม่ต้องการแยกจากโม่เสิ่นยวน

ฝ่าบาทรับสั่งด้วยความกริ้ว “มังกรเขียวรับเจ้าเป็นเจ้านาย เจ้าคืนมันให้ราชสำนักก็ไร้ประโยชน์! โม่เสิ่นยวน ตอนนี้เจ้าปีกกล้าขาแข็ง เพียงเพื่อหญิงสาวนางเดียวเจ้าถึงขั้นกล้าต่อต้านข้า! เจ้าคงคิดว่าการที่เจ้าสามารถปราบจักรพรรดิปีศาจใหม่ได้นั้น เจ้าจะกลายเป็นเทพพิทักษ์แผ่นดินใหญ่นี้หรืออย่างไร ถึงเจ้าจะเก่งกาจเพียงใด เจ้าก็ยังเป็นโอรสของข้าอยู่!”

โม่เสิ่นยวนสีหน้าเรียบเฉย:

“ท่านยังรับข้าเป็นโอรสของท่านอยู่หรือ ถ้าไม่เป็นเพราะกระหม่อมสามารถครอบครองมังกรเขียวได้ กระหม่อมคิดว่ากระหม่อมนั้นคงไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน แต่ท่านก็รับสั่งไม่ผิดว่าตอนนี้ประชาราษฎร์ของแผ่นดินใหญ่นี้ ต่างเข้าข้างกระหม่อม กระหม่อมอยากแต่งงานกับใคร ก็เป็นเรื่องของข้า เสด็จพ่อไม่สามารถมารับสั่งความคิดของกระหม่อมได้”

สีหน้าของฝ่าบาทยิ่งเคร่งเครียดขึ้นอีก ดำดุจก้นกระทะก็ไม่ปาน ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างด้านในแผดเผาไปด้วยความโมโห

เย่จายซิงรู้สึกว่าทักษะการทำให้คนหงุดหงิดนั้นก้าวล้ำไปมาก เขาทำให้ฝ่าบาทโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา

ตอนนี้ฮองเฮารีบห้ามปรามแล้วพูด:

“พอแล้วๆ พวกท่านทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นเวลานาน เหตุใดเมื่อพบหน้ากันก็ต้องทะเลาะกันทุกที มีเรื่องอะไรก็นั่งลงเจรจากันดีๆ อย่าทะเลาะกันอีกเลย สำรับเย็นหมดแล้ว เรามาทานข้าวกันก่อนเถอะ”

ทั้งสองคนพูดคุยกันเหมือนไร้ผู้อื่นอยู่ ทำเหมือนว่าไม่มีฝ่าบาท ฮองเฮา และฉู่ยุ่นเอ๋อร์ ทั้งสามอยู่ด้วย

เย่จายซิงไม่แม้แต่มองหน้าเขาทั้งสาม ชี้ไปสำรับที่เหลือพร้อมพูดกับนางสนมเตรียมอาหารว่า:

“คีบอาหารจานนั้นให้ข้าชิมดู”

“แล้วยังมีจานนั้นอีก”

“แหวะ ไม่อร่อยเลย ช่างมันเหอะ พวกท่านค่อยๆทานกันเถอะ”

นางพูดพลางวางตะเกียบลง ทำท่าไม่มีอาหารจานไหนที่ถูกปากเลย

เส้นเลือดบนศีระษะฝ่าบาทนั้นเต้นตุบๆ

ทันใดนั้นฮองเฮารู้สึกไม่มีอรรถรสขึ้นมาด้วยเหมือนกัน ทั้งที่วันอื่นๆเป็นอาหารที่ดูน่าทาน ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะดูจืดชืดไปหมด

เด็กสาวผู้นี้ มีฝีปากที่คมกริบถึงเพียงนี้

“เย่จายซิง เจ้ามันไร้มารยาทนัก! ที่นี่คือวังหลวงไม่ใช่บ้านของเจ้า ทำไมเจ้าถึงได้เสียมารยาทเช่นนี้ คนต่ำต้อยเช่นเจ้ายังริอ่านอยากจะเป็นพระชายาเซ่าตี้ ฝันกลางวันชัดๆ!”

ฉู่ยุ่นเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน เกินที่นางจะยอมรับได้ และพูดกับนางอย่างเยือกเย็น

“พระชายาเซ่าตี้อะไรกัน พี่จวินพูดแล้วว่าเขาไม่อยากเป็นเซ่าตี้แล้ว ถ้าเจ้าอยากเป็นพระชายาเซ่าตี้ รอให้มีเซ่าตี้คนใหม่แล้วเจ้าค่อยเป็น คนอย่างข้าก็เป็นคนเช่นนี้ แต่ใครให้พี่จวินมาชอบข้าหละ เจ้าแหกปากต่อว่าข้าก็ไร้ประโยชน์”

เย่จายซิงพูดด้วยท่าทีเกียจคร้าน

นางตั้งใจจะทำให้พวกเขาหงุดหงิดเกินทน อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขากินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างน้อยสิบวันถึงครึ่งค่อนเดือนก็ดี

โม่เสิ่นยวนมองนางอย่างอ่อนโยน แต่ความสนใจของเขานั้นไปจดจ่อกับคำพูดที่นางเรียกเขาว่า——พี่จวิน

นางเรียกเขาตลอดว่าเสด็จอา พี่จวินสองคำนี้ถูกเรียกออกมาจากปากเขา ทำให้เขารู้สึกพิเศษมากกว่าเคย ในใจนั้นรู้สึกจั๊กจี๊เหมือนมีขนนก

มาปั่นอยู่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา