อสูรกายขนาดยักษ์ที่โผล่ออกมาจากใต้พื้นดิน ทำให้บรรดาผู้ที่ก้าวออกมายืนข้างหน้าวิ่งกลับเข้าไปแบบในซอกหลืบอีกครั้ง
พวกเขาอยู่ในสภาพหวาดผวา เพราะไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะมีอสูรกายขั้น 5 ออกมามากมายขนาดนี้ แถมยังมุ่งหน้าเข้าไปโจมตีท่านหวงอีกต่างหาก
เห็นชัดๆ ว่าพวกมันกำลังช่วยสองพี่น้องเย่จายซิงอยู่ หรือว่า……สองคนพี่น้องนี้มีคนใดคนหนึ่งเป็นอสูรกายอาจารย์อัญเชิญ
แต่อสูรกายทิพย์ขั้น 6 จะต้องใช้อาจารย์อัจฉริยะอัญเชิญเป็นผู้เรียกมา แม้แต่คุณหนูใหญ่เย่ยังไม่สามารถเรียกมาได้ เพราะว่ากันว่าการจะเป็นอาจารย์อัญเชิญ ระดับ 6 ได้นั้น จะต้องสามารถเรียกอสูรกายระดับเดียวกันออกมาได้
แต่ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่เย่จะเป็นอาจารย์อัญเชิญระดับ 3 เท่านั้น แต่ก็มีความสามารถเช่นกัน
ดังนั้นทุกคนในที่นั้นต่างไม่มีใครปักใจเชื่อว่าเย่จายซิงและน้องจะเป็นคนที่เรียกอสูรออกมาได้ เพราะความเป็นไปได้ต่ำมาก บางทีอาจจะเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น
หรือว่าจะมีใครบางคนคอยช่วยพวกเขาอยู่เบื้องหลังจริงๆ?
เมื่อท่านหวงถูกล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้เช่นนี้ก็รับมือไม่ทัน ผมของเขาถูกเปลวไฟที่อสูรตนหนึ่งพ่นออกมาจนไหม้ไปครึ่งหนึ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต สีหน้าของเขาโกรธจนดูไม่ได้ เขาเหวี่ยงฝ่ามือออกไป ทำให้อสูรสองตนที่อยู่ใกล้ที่สุดร่างสลายเป็นเถ้าธุลีเหลือเพียงเลือดที่สาดกระเซ็นออกมา
เหล่าอสูรกายเมื่อเผชิญหน้ากับท่านหวงจากแดนมหาจักรพรรดิทิพย์ ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไม้ซีกไปงัดกับไม้ซุง แต่ก็ยังกล้าบุกโจมตีอย่างไม่กลัวตาย
เย่จายซิงกัดฟันเอาไว้แน่น นางจดจำใบหน้าของท่านหวงคนนี้เอาไว้ในใจ จากนั้นเมื่อสบโอกาสจึงพาเย่ยู่หยางหนีไป นางไม่มีทางปล่อยให้อสูรกายที่มาช่วยนางต้องตายเปล่า
ขอแค่มีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวังเสมอ!
“คิดหนีรึ หวังไปเถอะ!”
ท่านหวงยิ้มออกมาอย่างมืดหม่น เขายกคันธนูในมือขึ้นแล้วเล็งไปที่เย่จายซิงสองพี่น้อง
ในตอนนั้นเองเป็นช่วงเวลาที่เย่จายซิงสัมผัสได้ถึงความเป็นตาย นางขนลุกทั้งตัว และรีบผลักเย่ยู่หยางออกไปอย่างเร็วที่สุด
นางหันตัวไปจ้องท่านหวง เขายืนนิ่งอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าเย่จายซิงอาจจะต้องตาย แต่นางก็จะต้องตายอย่างมีเกียรติ
“ท่านพี่! ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน พี่ห้ามทิ้งข้าไป!”
เย่ยู่หยางพยายามยืนขึ้นมา แล้วเดินกะเผลกเข้าไปหานาง
เย่จายซิงซึ้งใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงพลังของความรักและห่วงใย
“ความรักสองพี่น้องผูกพัน เช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปลงนรกพร้อมกันเลย”
ท่านหวงหัวเราะเยาะ พลางง้างคันธนู ลูกธนูติดไฟลุกโชนค่อยๆ ผนึกรวมค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เย่เจียหยูขยำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น สองพี่น้องที่น่ารังเกียจคู่นี้ใกล้จะลงนรกเต็มทีแล้ว! อีกไม่นานจวนแม่ทัพจะตกเป็นของบ้านรองของพวกนาง
รอยยิ้มอันเย็นชาของเจ้าพระยาเซี่ยออกมาอย่างได้ใจ เขาเป็นถึงเจ้าพระยาของแคว้นหงส์แดงอันยิ่งใหญ่ จะให้แต่งงานกับผู้หญิงซื่อบื้ออัปลักษณ์ได้อย่างไร เย่จายซิงอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่ควรได้ ดังนั้นนางสมควรตาย วันหน้าเขาจะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าที่ชวนคลื่นไส้แบบนี้ ตอนนี้เจ้าพระยาเซี่ยก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน
โฮ่ว!!
ในขณะที่ท่านหวงกำลังง้างธนูเต็มที่นั้นเอง ทันใดนั้นเองแผ่นดินก็สะท้านสะเทือน เสียงเสือคำรามลั่น หัวใจของท่านหวงกระตุกวูบ พลังทิพย์ที่อยู่บนคันธนูหยุดชะงัก ลูกธนูเปลี่ยนเป็นลูกธนูธรรมดาและหล่นลงบนพื้นทันที
ทุกคนในที่นั้นต่างพากันเอามือปิดหูเอาไว้ ส่งผลให้อวัยวะภายในของคนที่มีระดับการฝึกตนไม่สูงช้ำเลือด
เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากของเย่จายซิงอย่างต่อเนื่อง นางกำลังตื่นตระหนก นี่คืออสูรกายอะไร ลำพังแค่เสียงคำรามก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับสูงของแดนมหาจักรพรรดิทิพย์สั่นคลอนได้
“อสูรเทพกิเลน!!”
มีเสียงคนกล่าวอย่างตื่นตกใจพลางเอามือชี้ขึ้นฟ้า
เย่จายซิงแหงนหน้าขึ้นจึงเห็นกิเลนสีแดงเพลิงตัวหนึ่งบินโฉบมา พร้อมพลังแห่งเทพอันเข้มข้นและแข็งแกร่งเป็นที่หนึ่ง ทำให้คนส่วนใหญ่พากันนั่งคุกเข่าลง ส่วนอสูรกายขั้นห้าขั้นหกที่มาเพราะนางต่างก็หมอบอยู่บนพื้น
เมื่อกิเลนบินต่ำลงมาแล้วหยุดลงตรงกลางถนน ก็เป็นตำแหน่งที่ขวางตรงหน้าเย่จายซิงเอาไว้พอดี
ตอนนั้นเองนางถึงสังเกตเห็นว่า บนหลังกิเลนมีบุรุษร่างสูงใหญ่ท่วงท่าสง่างามนั่งอยู่บนนั้น เขาใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าสีทองเอาไว้ด้วย เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากน่ามองของเขา
ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่น ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกถึงความเคร่งขรึมดุดันของเขา
เขายังมีดวงตาคู่งามที่ล้ำลึกอยากจะหยั่งถึง ดูเย็นชาและเยือกเย็น ลึกล้ำจนยากจะหาก้นบึ้งเจอ รัศมีอย่างราชาที่ข่มขวัญใต้หล้าได้ปรากฏออกมาจากร่างของเขาอย่างเข้มข้น
ชี่!
เย่จายซิงรีบกุมนิ้วก้อยของตนเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแหวนเก็บของเล็กๆ ไม่โดดเด่นของนางถึงได้ร้อนจี๋ลวกมือเช่นนี้
จวินหยวนมองนาง เย่จายซิงจึงเงยหน้าขึ้นและสบตากับเขา ในดวงตาของเขาปรากฏแสงสลัวๆ ที่นางไม่เข้าใจ
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเกิดความสงสัยขึ้นมา เพราะในความทรงจำ อ๋องเซ่อเจิ้งกับร่างเดิมไม่มีความเกี่ยวพันอะไรต่อกัน แต่สายตาของเขาคล้ายกำลังมองคนรู้จัก
จวินหยวนดึงสายตากลับไปอย่างเงียบเชียบ แล้วมองไปทางเจ้าพระยา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
น้ำเสียงของเขาไพเราะน่าฟัง เสียงที่เปล่งออกมาจากในลำคอทุ้มลึกมีเสน่ห์และสุขุม
เจ้าพระยาเซี่ยรีบอธิบาย “อ๋องเซ่อเจิ้ง เรื่องมันเป็นอย่างนี้พะย่ะค่ะ เย่จายซิงขโมยยาขั้นสี่ของหอยาเสวียนไปสองเม็ด แถมยังขโมยยาขั้นสี่ที่มีมูลค่าสูงที่พ่อของน้องหยูนำมาจากเฉินตูด้วย พฤติกรรมของนางต่ำช้า ทำผิดกฎบ้านเมือง ซึ่งตามหลัก……”
“ท่านเจ้าพระยาเซี่ย ต่อให้ข้าขโมยยา จะต้องลงโทษกันถึงตายเชียวรึ”
น้ำเสียงของเย่จายซิงกระจ่างใส นางยิ้มอย่างเยาะเย้ย ก่อนจะลุกขึ้นยืนตรงราวกับต้นสนที่พร้อมรับลมอยู่ริมผา
“ข้ากำลังพูดอยู่กับอ๋องเซ่อเจิ้ง ใช่เวลาที่เจ้าจะสอดปากเข้ามาหรือไม่ รนหาที่ตายแท้ๆ”
เจ้าพระยาเซี่ยหรี่ตาลง
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเวลาที่จวินหยวนกำลังพูด เขาไม่ชอบให้ใครพูดแทรกขึ้นมา คนที่ไร้มารยาทเช่นนี้มักจะถูกลากออกไปทำโทษอย่างน่าสมเพชทุกครั้ง
แต่ใครจะคาดคิดว่าจวินหยวนกลับมองไปที่เจ้าพระยาเซี่ยอย่างเย็นชา “เซี่ยซือห้าว นางกำลังถามเจ้าอยู่ว่าโทษนี้ถึงตายเชียวหรือ”
เจ้าพระยาเซี่ยชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจวินหยวนจะเข้าข้างผู้หญิงซื่อบื้ออย่างเย่จายซิง จึงกล่าวอย่างร้อนรนว่า “นาง นางทำผิดกฎหมายแถมยังไม่ยอมรับ ทั้งยังคิดหนี จึงเป็นความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ตามหลักแล้ว……”
ตามหลักแล้วต้องจับตัวมาสอบสวนก่อนไม่ใช่สังหารนางทันที แต่เจ้าพระยาเซี่ยกลับพูดไม่ออก เพราะหากพูดออกไปก็จะเท่ากับเขายอมรับว่าเขาทำผิด
“ว่ามา”
น้ำเสียงของจวินหยวนแข็งกระด้างและมีอำนาจ ทำให้เจ้าพระยาเซี่ยหนาวสันหลังขึ้นมาจนกระอักเลือด ก่อนจะทิ้งตัวคุกเข่าลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...