บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 2030

“ตอนนั้นฮ่องเต้ฮุยจงเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ หน้าที่ที่นั่นของพวกเราก็บรรลุแล้ว หนทางการกลับบ้านที่ตระเตรียมมานานก็มาถึงในที่สุด”

จากการบอกเล่าอย่างต่อเนื่องของพระชายา เรื่องในปีนั้นจึงฉายอยู่ตรงหน้าเซเว่นอัพ

หยู่เหวินเซียวและโล่หมันที่กลับมาถึงยุคปัจจุบัน มีชีวิตที่ค่อนข้างพร้อมด้วยทรัพย์และความอิสรเสรีระยะหนึ่งจริงๆ

และช่วงเวลาอันพร้อมด้วยทรัพย์และความอิสรเสรีนี้ก็คือสามวัน

วันแรกที่กลับมา พวกเขาเอาแต่เริงร่าและกินดื่มอย่างเต็มพิกัด ขนมอันงามวิจิตร สุกี้ เค้ก ชานม อาหารจีนและอาหารตะวันตกต่างๆ นานา

เริงร่าสามวันเต็มๆ

จากนั้นวันที่สี่ทั้งคู่ก็เข้าโรงพยาบาลด้วยโรคกระเพาะลำไส้อักเสบฉับพลัน

ท้องปวดบิดจนพวกเขาต้องจดจำไปตลอดชีวิต ทั้งอาเจียนและท้องร่วง ทรมานได้อย่างที่เรียกว่าสุริยันจันทราอับแสง

พักอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันก็หิวโหยไปหลายวัน ท้องไส้ว่างเปล่า ครั้นออกจากโรงพยาบาลพบเห็นอะไรก็อยากกินทั้งนั้น แต่เพราะทรมานจนเข็ดหลาบ ดังนั้นวันแรกๆ จึงยังพออดทนกินโจ๊กผักได้สักหน่อย

แต่พอกระปรี้กระเปร่าสักหน่อย พยาธิก็เริ่มรับอาหารผักจืดชืดเหล่านั้นไม่ไหว รู้สึกว่าไม่มีเนื้อลงท้องสักหน่อยก็คล้ายชีวิตไร้ความหมาย

ดังนั้นพวกเขาจึงนัดแนะกันออกไปกินสุกี้มื้อหนึ่ง ตกกลางคืนยังกินกุ้งมังกรหมาล่าอีกสองสามชั่ง

ตกดึก รถกู้ชีพก็วี้หว่อดังอยู่ในเขตพื้นที่ของพวกเขา พาพวกเขาไปพักต่อที่โรงพยาบาลอย่างเอิกเกริก

การพักโรงพยาบาลคราวนี้ยังต้องผ่าไส้ติ่งด้วยแน่ะ แย่จริง ไส้ติ่งอักเสบเสียแล้ว

ไหนว่าจะกลับมาร่ำรวยด้วยกันอย่างไร เงินยังไม่ถึงมือก็พากันอักเสบ

ครั้นออกจากโรงพยาบาล บนกายก็หลงเหลือเครื่องหมายไว้ เป็นรูสามรูที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดเล็ก

คราวนี้หิวโหยสองวันจนตาโหล ในที่สุดก็อนทนจนหายดีออกจากโรงพยาบาล เข็ดขยาดแล้วจริงๆ สงบเสงี่ยมแล้ว

เพราะในบ้านยังมีแม่เสืออยู่ หากแม่ลู่หยางวาวโรจน์ขึ้นมา นั่นก็มิใช่เรื่องล้อเล่นเลยทีเดียว

ด้วยการคุมเข้มของคุณแม่ รับประทานโจ๊กไปครึ่งเดือนเต็มๆ

เรื่องน้ำหนักก็ลดจริงๆ แต่เวลาเดินก็มักอ่อนแรง

อ่อนแรงแล้วก็ควรบำรุงสักหน่อย ก็รับประทานโจ๊กมาตั้งครึ่งเดือนนี่

แน่นอนว่าจะบำรุงมากไม่ได้ และจะรับประทานอาหารมันๆ มากเกินไปก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงเก็บเห็ดตอนขึ้นเขามานิดหน่อย กลับไปแล้วก็ตุ๋นเป็นซุปซี่โครงเห็ดหอม นี่ก็ถือเป็นการบำรุงปรับสมดุลได้แล้วกระมัง

ในคืนนั้นเอง พวกเขาไปแคว้นคนแคระนั่งนับมดอยู่ที่นั่น รถกู้ชีพวี้หว่อๆ พาพวกเขาไป

( ไปแคว้นคนแคระนั่งนับมดหมายความว่าพวกเขากินเหตุแล้วเป็นพิษ)

เข้าโรงพยาบาลไปสามรอบ ยอมใจเลย

กังวลว่าจี๋เอ๋อร์จะร้องไห้กลางดึก กังวลว่าพวกเจ้าหกจะไม่ขยันหมั่นเพียร ร้างราการศึกษา

กังวลว่าซูลั่วชิงจะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ดี กังวลว่าท่านน้าทั้งสองและจักจั่นจะเจอะกับผู้ชายเลว

กังวลว่าขนบนหัวเจ้าเสือจะไม่งอกจนเต็ม กังวลว่าหมาป่าหิมะกับซุ่นเฟิงเอ่อร์จะแย่งกันกิน

กังวลว่าแกะในหอหลิงอวิ๋นจะหนีไป กังวลว่าพวกเขาจะลืมไปเก็บไข่ที่แม่ไก่ตกออกมา

กังวลว่าสามปีให้หลังผิงเล่อกงจะลืมให้ค่าอาหาร กังวลว่าแม่ของฉู่เสี่ยวอู่จะเป็นพวกจอมยุ่ง

กังวลว่าฮูหยินเฒ่าตระกูลหยวนจะกระทบกระทั่งกับหลานๆ หนีออกจากบ้านอีก กังวลว่าตระกูลหยวนจะเป็นอันตรพาลระรานต่อ

พวกเขาสนทนากันก็หัวเราะ หัวเราะกันไปก็ร้องไห้

สถานที่แห่งนั้น คนทุกคน ดินแดนทุกกระเบียดนิ้วล้วนเจือไปด้วยไขกระดูก มิอาจลืมแต่ก็กลับไปไม่ได้

หนึ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาพอรู้สึกได้รับการปลอบใจ ก็คือรัชทายาทเจี้ยนจงและโพ่ตี้อวี้ก็อยู่ด้วย สองคนนี้เป็นดั้งที่พักจิตวิญญาณของพวกเขา เมื่อได้เห็นพวกเขา จิตใจจึงผ่อนคลายลงหน่อย

ด้วยเหตุนี้ ขณะที่รัชทายาทเจี้ยนจงดีขึ้นบ้างแล้ว พวกเขาจึงนัดหมายรับประทานอาหารมื้อหนึ่งที่ร้านแผงลอยมุมถนน เพื่อปัดเป่าความอัปมงคล หยู่เหวินเซียวยังเจาะจงไปซื้อสุรามา และเพราะได้รับวิถีปฏิบัติอันดีงามในการประหยัดมัธยัสถ์ที่เป่ยถังมาโดยตลอด ดังนั้นจึงซื้อสุราราคาย่อมเยาสองสามขวด

คืนนั้นเอง รถกู้ชีพก็ดังวี้หว่อๆ ขึ้นอีก นำตัวผู้ดื่มสุราปลอมทั้งสี่ไปส่งโรงพยาบาล กู้ชีพอีกยกหนึ่ง

เอาล่ะ อยากแต่จะกลับมา กลับมาแล้วก็อยากใช้ชีวิตแบบได้นอนอย่างสบายๆ บัดนี้สมปรารถนาแล้ว ได้นอนจนชา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน