บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 2065

โพ่ตี้อวี้คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตั้งทีมเขียนบท แต่สามารถหาผู้ที่มากด้วยประสบการณ์ในการเขียนบทแนะแนวทางให้เซเว่นอัพ

ผู้จัดการใหญ่ติดต่อผู้มากด้วยประสบการณ์คนหนึ่งทันที เขาบอกกับทุกคน ว่านักเขียนบทคนนี้มีประสบการณ์แน่นเอียด มีประสบการณ์เขียนบทเมฆ(*ชื่อแพลตฟอร์มการสร้างผลงานอัจฉริยะแบบครบวงจรของจีน)มากถึงสิบกว่าปี

โพ่ตี้อวี้สงสัย “เขียนบทเมฆ? อะไรคือเขียนบทเมฆ”

ผู้จัดการใหญ่หัวเราะเอ่ย “ใช้หัวเขียนบทยังไงล่ะครับ เห็นว่าแต่ละปีเธอใช้หัวเขียนบทตั้งสิบกว่าเรื่องเลยนะ”

“ใช้หัวเขียนบท? เขียนยังไง” แม้แต่เซเว่นอัพก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์ด้วย

“ก็...คิดบทในหัวทีหนึ่ง ก็ถือว่าเขียนเสร็จแล้ว”

ทุกคนอ้าปากตาค้าง ฉะนั้น เงินทุนอัตคัดเช่นนี้เชียวหรือ ได้แต่หาไก่อ่อนหัดที่ไม่มีประสบการณ์

โพ่ตี้อวี้ไม่เห็นด้วย “ไม่ได้ ต้องหาคนที่มีประสบการณ์ จุดประสงค์ของฉันคือชี้แนะหลานชายฉันสักหน่อย เขียนบทเมฆอะไร พูดตามตรงแม้แต่ผลงานที่ให้เห็นระดับก็ยังไม่มี จะมีคุณสมบัติชี้แนะหลานชายฉันได้ยังไง”

แต่เซเว่นอัพกลับเห็นด้วย เพราะเขามีสิทธิ์ควบคุมบทโดยสมบูรณ์ นักเขียนบทชื่อดังมากด้วยประสบการณ์มักมีรูปแบบของตนเอง จะเกิดประกายไฟได้ง่าย...อื่ม ประกายไฟแห่งการชกต่อย

หาคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาเป็นผู้ช่วยก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะเขายังต้องเรียนหนังสืออีก

“นักเขียนบทนี้ชื่อว่าอะไรเหรอครับ” เซเว่นอัพถาม

“หวางลิ่วเยว่” ดวงตาผู้จัดการใหญ่ทอประกาย บ่งบอกท่าทางที่ไม่ค่อยมั่นใจ

จะให้ท่านประธานรู้ว่าหวางลิ่วเยว่เป็นญาติห่างๆ ของเขาไม่ได้ เฮ้อ ลำบากจัง เขาเป็นชายหงส์(*ผู้ที่ประสบความสำเร็จจากศูนย์)ตามมาตรฐาน ปีนั้นแม่ของหวางลิ่วเยว่ยืมสามร้อยหยวนเป็นค่าเดินทางให้เขาไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย ดังนั้น ป้าอิงแม่ของหวางลิ่วเยว่มักพูดกับคนทั้งหมู่บ้านว่าถ้าไม่ใช่เงินสามร้อยต้าหยวน(*ชื่อเรียกเงินหยวนในสมัยก่อน)ของเธอ เขาก็เข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ และจะไม่มีความสำเร็จในตอนนี้ด้วย

ตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน นังเด็กอ้วนหวางลิ่วเยว่ก็สาบานว่าต้องเขียนผลงานก้องโลกให้ได้ ไม่ยอมไปทำงาน เกาะพ่อแม่กิน กินจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ มุดหัวอยู่แต่ในบ้านหลายปีขนาดนี้ ผลคือยังหลบไม่พ้น

“หวางลิ่วเยว่?” โพ่ตี้อวี้กับเซเว่นอัพมองกันทีหนึ่ง ทำไมชื่อนี้คุ้นๆ นะ

เซเว่นอัพคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับเคยได้ยินที่ไหนว่าปีนั้นมีคนหนึ่งตามจีบปู่องครักษ์เงาดำอย่างหนัก ที่บ้านขายเนื้อหมู บังเอิญจริง ชื่อแซ่เดียวกันเลย

เซเว่นอัพพูดหยอก “บ้านหวางลิ่วเยว่นึ่คงไม่ได้ขายเนื้อหมูกระมัง”

ผู้จัดการใหญ่เบิกตาโต “เธอรู้ได้ยังไง ตระกูลเขาขายเนื้อหมูมาทุกรุ่น บรรพบุรุษเป็นคนขายเนื้อที่มีชื่อเสียงเลยล่ะ”

พอโพ่ตี้อวี้เห็นเธอแล้ว อารมณ์ก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะบุคลิกบนตัวเธอกับบุคลิกของหอจัยซิงคล้ายกันมาก คือบุคลิกยากจนข้นแค้นอย่างนั้น แทบจะพุ่งมาถึงตรงหน้า พุ่งมาจนแทบแสบตา

ครั้นเอ่ยปาก ก็มีบุคลิกทะนงตนแบบจอมปลอมแบบอย่างหอจัยซิง “ฉันกลับมาจากการสัมผัสชีวิตที่ชนบทค่ะ นักเขียนจำเป็นต้องใกล้ชิดคนทำงานให้มากที่สุด ใกล้ชิดกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริง สัมผัสความโศกเศร้าและความสุขในชีวิตจริงถึงจะสามารถเขียนผลงานที่ดีออกมาได้”

พอโพ่ตี้อวี้ได้ยินคำพูดนี้ก็รับไม่ไหวแล้ว สั่งให้เซเว่นอัพขบคิดบทกับเธอ เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับคนที่มีบุคลิกเช่นนี้อีก

ผู้จัดการใหญ่ก็หมุนตัวกลับไปด้วย เฮ้อ ไม่ไหวจริงๆ เลย ให้เงินสองสามร้อยไล่กลับไปเถอะ

เซเว่นอัพเดินเข้าไปทักทายกับเธอ ยังไม่ทันพูดอะไรก็เห็นประกายวิบวับอยู่ในดวงตาเธอ เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น “พวกเรานั่งลงคุยเรื่องบทกันดีๆ เถอะ มีความคิดอะไรไหม ถ้ายังไม่มีความคิด ฉันที่นี่มีเนื้อเรื่องอยู่”

เธอพูดพลางหยิบต้นฉบับปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายออกจะเหลืองยื่นมา เมื่อเห็นเซเว่นอัพไม่รับ ก็ยัดใส่อกเขาโดยตรง “ดูสิ เนื้อเรื่องดีนะ”

เซเว่นอัพก้มหน้ามองทีหนึ่ง อยากยัดกลับไปให้เธอ แต่พอเห็นตัวละครหลักตรงปกแล้ว ชื่อที่คุ้นเคยเหล่านั้นก็ทำเขาผงะในฉับพลัน

หยู่เหวินเซียว ซูโล่หมัน องครักษ์เงาดำ องครักษ์ฟ้าผ่า องครักษ์ลับผี…

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน