หลังจากเข้าวังแล้ว ก่อนอื่นก็ส่งลูกชายทั้งสามคนไปยังตำหนักบูรพาตงกงก่อน
หลังจากไปถึงแล้ว มู่หรูกงกงกับเลขานุการกรมพิธีการได้นำคนมารออยู่ก่อนแล้ว แม่นมหูที่รับใช้ข้างกายไทเฮาก็อยู่ด้วย
เสื้อผ้าของลูกชายทั้งสามคนได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว เพื่อจะเปลี่ยนให้กับพวกเขา
ซาลาเปาเป็นราชนัดดาองค์ใหญ่ ฉะนั้น เพิ่งจะครบเดือนก็ได้สวมใส่ชุดลายปักมังกรบิน สีม่วงเหลือบแดง สวมหมวกทรงกลมสีเหลืองขอบแดง
ทังหยวนกับข้าวเหนียวที่เป็นพระราชนัดดาก็สวมใส่ชุดสีม่วงเหลือบแดง แต่ละคนมีลายปักเป็นอินทรีย์กับสัตว์เทพในตำนาน หูสองข้างด้านล่างศีรษะกลมมน ยิ่งเสริมให้ดูเหมือนเทพแห่งนักรบ
หยู่เหวินเห้ามองพวกเขา รู้สึกเพียงหัวใจเต็มไปด้วยความยินดี ทำไมลูกจึงน่ารักน่ามองขนาดนี้
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกชื่นชอบมาก หอมไปคนละหนึ่งที ซาลาเปาฉีกยิ้มออกมา ทังหยวนเงียบสงบอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ ข้าเหนียวมีแต่ความงงงวยเต็มใบหน้า
หลังจากสวมใส่ทั้งหมดจนครบแล้ว ก็ไปยังศาลบรรพชนเสินหมิง
ไท่ซ่างหวง ไทเฮา ฮ่องเต้หมิงหยวนและฮองเฮาต่างก็อยู่ที่นั่นแล้ว แน่นอนว่า ท่านหญิงของแต่ละตำหนักก็มาด้วย
ไทเฮารออย่างกระวนกระวายใจอยู่บ้าง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ยินว่ามากันแล้ว “โธ่เอ๊ย ทำเอาข้ารอจนคอยืดยาวแล้ว”
เห็นทั้งสามคนที่มีมาดนักรบอันหล่อเหลา ไทเฮายิ่งรู้สึกชอบใจมาก เรียกแต่ละคนว่ายอดดวงใจ ทำเอาหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงที่จะทำการคำนับเสียเวลาไปหลายครั้ง
ยังคงเป็นไท่ซ่างหวงที่คงความเคร่งขรึมจริงจัง “พอแล้ว ให้พวกเขาพาเด็กๆไปคำนับก่อน ประเดี๋ยวก็มีเวลาของเจ้า ”
ไท่ซ่างหวงกระทั่งรู้สึกรังเกียจ
รู้ว่าตัวเองเป็นแม่เฒ่าที่แก่มากแล้ว กลับเอาริมฝีปากของตัวเองไปแตะที่หน้าของคนอื่นอยู่เรื่อย ไม่รู้สึกสกปรกหรืออย่างไร
เพราะฉะนั้น รอให้หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงพาลูกๆทั้งสามคนเข้าไปคำนับเหล่าบรรพชนที่ล่วงลับไปเสร็จแล้ว ตอนที่อุ้มออกมาคำนับเขา อย่างไม่มีที่มาที่ไปและไม่รู้ว่าเขาไปล้วงเอาผ้าเช็ดมือออกมาจากไหน เช็ดไปที่หน้าของเด็กๆทั้งสามคน เช็ดแล้วเช็ดอีก
ไทเฮามองเห็นแล้ว ก็รู้ว่าเป็นการรังเกียจตน ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่กล้าล่วงเกินไท่ซ่างหวง ได้แต่เอ่ยพึมพำว่า “ราวกับก้อนแป้งข้าวเหนียวอ่อนนุ่ม ใครเห็นแล้วไม่เอ็นดูบ้าง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนจัดระเบียบเสื้อผ้าแล้วนั่งอย่างเป็นระเบียบ หลังจากคุกเข่าคำนับเสร็จแล้ว เขาก็รีบอ้าสองแขนออกกว้าง “มา เสด็จปู่อุ้มหน่อย”
มู่หรูกงกงถามขึ้นว่า “ฮ่องเต้พระองค์ต้องการอุ้มคนไหนพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักต่างมองไปที่ฮ่องเต้หมิงหยวน หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงต่างก็มองเขาด้วย
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาทันที
คนแรกที่เขาอุ้มในวันนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ต้องการแสดงถึงสิ่งอื่นใด แต่คนข้างนอกต้องคิดว่าเขามีแน่
ตามหลักแล้วอุ้มราชนัดดาพระองค์โตถือว่าถูกแล้ว แต่ราชนัดดาอีกสองพระองค์ไม่เท่ากับถูกละเลยไม่ให้ความสนใจหรอกหรือ
เขายื่นมือออกไป ใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังไท่ซ่างหวงด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
ไท่ซ่างหวงไม่อยากจะสนใจเรื่องนี้ เพราะถ้าหากเขาพูดอะไรออกไป นั่นมีความหมายสำคัญมากกว่าฮ่องเต้หมิงหยวนยื่นมือออกไปอุ้มด้วยตนเองเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ ไท่ซ่างหวงจึงหันหน้ามองออกไปทางอื่น ทำเหมือนมองไม่เห็น
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้แต่พูดยิ้มๆว่า “อุ้มทั้งสามคนเลย เอามา ”
เช่นนี้เอง เด็กทั้งสามคนถูกยัดไปไว้ข้างกายเขา เขาใช้มืออุ้มข้างละหนึ่งคน ข้าวเหนียวนอนนิ่งอยู่ที่ ต้นขาใหญ่ ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่กล้าขยับตัว เพราะว่า เด็กที่ครบเดือนแล้ว ได้กินนมอย่างเพียงพอ อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าทั้งสามคนน้ำหนักก็ไม่เบา
แต่ทว่า ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก มองคนนี้ที มองคนนั้นที แล้วพูดว่า “อืม หลานคนนี้เหมือนข้า คนนี้ก็เหมือนข้า”
เหล่าของว่างต่างก็บิดตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน “ปู๊ดๆๆ”ผายลมออกมา เป็นการตอบรับคำพูดของฮ่องเต้หมิงหยวน
โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ที่หลานๆของนางอายุครบเดือน อยู่ในศาลบรรพชนเสินหมิง คิดไม่ถึงว่าจะพูดว่าฮู่เฟยนั้นไร้วาสนาที่จะให้กำเนิดลูก นี่เท่ากับใช้ฝ่ามือตบลงไปบนใบหน้าของฮ่องเต้อย่างรุนแรง
สีหน้าของฮ่องเต้หมิงหยวนขรึมลงทันที แววตาเย็นชามองกวาดนางไปแวบหนึ่ง สายตานั้น เย็นดุจฤดูหนาว ทำให้ใจของเสียนเฟยแข็งทื่อ
เสียนเฟยรู้ตัวว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว แต่ว่าวันนี้นางอัดอั้นตันใจมาก รับบรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าฮ่องเต้หมิงหยวนจะมองนางอย่างเย็นชา แต่นางก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน ยังคงยืนกรานจะระเบิดอารมณ์
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่พูดอะไร ไทเฮาค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “พวกเราไปกันเถอะ เสียนเฟย เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ ขอขมาเหล่าบรรพชนต่อคำพูดเหลวไหลที่เจ้าพูดเมื่อครู่”
พูดจบ ไทเฮาก็เป็นคนลุกขึ้นเดินนำออกไปก่อน
เสียนเฟยตกใจจนหน้าขาวซีด “ท่านน้า”
“เรียกข้าว่าไทเฮา ”ไทเฮาพูดเสียงเย็น “ข้าเป็นแม่ของฮ่องเต้ เจ้าเป็นสนมของฮ่องเต้ ก็ต้องว่ากันตามธรรมเนียมนางสนมก่อนค่อยพูดถึงเรื่องสายเลือดตระกูลมารดา ”
คำว่าสนมทำให้หัวใจของนางแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความหวังพังทลาย ร่างกายสั่นไหวโอนเอน เกือบจะเป็นลมไปแล้ว ความอับอายพุ่งขึ้นจากใจไปยังหัวสมอง เลือดลมที่ระเบิดขึ้นมา กลบความขาวซีดเมื่อครู่ไปอย่างรวดเร็ว
แต่ว่า ไม่มีใครพูดจาแทนนางสักคน แม้แต่หยู่เหวินเห้าก็ไม่ทำ
ทุกคนเดินตามไทเฮาออกไป เหลือเพียงแม่นมหูอยู่ในนี้
แม่นมหูถอนหายใจ “ท่านหญิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย วันนี้เป็นวันอะไร มีหรือที่จะอภัยต่อปากที่ไร้มารยาทของท่านได้ คุกเข่าลงเถอะ อย่าได้ทำให้ไทเฮาต้องโมโหอีกเลย”
เป็นนานกว่าสมองของเสียนเฟยจะได้สติกลับมา นางส่งเสียงออกมาอย่างบ้าคลั่ง เอาศีรษะพุ่งเข้าชนเก้าอี้ ร่างอ่อนล้มลงไปกับพื้น เพียงแต่หน้าผากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
เพราะว่า ข้างๆกันนั้นก็คือโต๊ะแปดเซียน หากนางต้องการฆ่าตัวตายจริงๆ ก็ควรจะพุ่งชนไปที่มุมโต๊ะนั่น
การกระทำนี้ แม่นมหูไม่อยากจะมอง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านหญิงเสียนเฟย คุกเข่าซะดีๆเถอะ ไม่เช่นนั้น หลังจากนี้ท่านคงต้องได้รับโทษแน่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
OMG ไม่คิดว่าจะอ่านจบ 2105 หน้าสุดปัง เรื่องสนุกมาก ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม มีความเรียลจนบางตอนมีน้ำตาซึมตามเพีาะความประทับใจ สนุกมากจริงๆทอยากให้มีภาคลูกไปบ้าง...
กลับมาอ่านอีกครั้ง สนุกจริง...
สนุกมากค่ะ มีต่อไหมคะ...
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...