บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1418

บทที่ 1418 ตัวตนของจี้อวี๋

บทที่ 1418 ตัวตนของจี้อวี๋

เฉินซีจะถือสาเยว่เหวินถิงได้อย่างไร? “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”

หลังจากที่พูดคุยกันแล้ว เฉินซีก็พบว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่เรียกว่าอวิ๋นอวิ๋นนั้น แท้จริงแล้วมีนามว่า เฉินอวิ๋นจือ และนางเป็นบุตรสาวของเฉินอันกับเว่ยจื่อถง ภรรยาของเขา ตอนนี้นางอายุได้หกขวบแล้ว และมีนิสัยสงบ ค่อนข้างเหมือนบิดาของนาง

ส่วนเด็กน้อยที่เรียกว่าเฉินเป่าเปา แท้จริงแล้วมีนามว่าเฉินเป่าจิ้ง เขาเป็นบุตรชายของเฉินอวี่กับ

เยว่เหวินถิง ตอนนี้เขาอายุได้สามขวบแล้ว ทั้งยังค่อนข้างฉลาดและซุกซน

เว่ยจื่อถงและเยว่เหวินถิง ต่างก็เป็นหญิงสาวที่เฉินอันและเฉินอวี่ได้รู้จักขณะออกท่องแดนภวังค์ทมิฬ จากนั้นความรักก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นคู่บำเพ็ญในท้ายสุด

หลังจากที่ทราบเรื่องทั้งหมดนี้ เฉินซีก็มีความสุขมากเช่นกัน ไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อกลับมา จะสามารถโอบกอดลูกหลานของตนได้จริง ๆ มันช่างเป็นความที่รู้สึกที่น่าปีติยิ่ง

ชายหนุ่มจึงหยอกล้อเฉินเป่าเปาและเฉินอวิ๋นอวิ๋น พลางถามเฉินอวี่ “อันเอ๋อร์อยู่ไหน? ไยข้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของเขาเลย”

“เขาและพี่สะใภ้ได้มุ่งหน้าไปยังชายแดน เพื่อต่อต้านกับพวกกองทัพต่างพิภพ และจะกลับมาในอีกไม่กี่วันขอรับ” เฉินอวี่ตอบแบบสบาย ๆ จากนั้นเชื้อเชิญเฉินซีด้วยท่าทางตื่นเต้น “ท่านลุง บิดาของข้ากำลังปิดด่านบ่มเพาะ หากเขารู้ว่าท่านกลับมา เขาจะต้องยินดีมากอย่างแน่นอน มาเถิด ข้าจะพาท่านไปที่โถงใหญ่ของตระกูล เพื่อพบเหล่าผู้เยาว์ของตระกูลเรา”

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางส่ายหน้า “ไว้ทีหลังเถิด ข้าจะไปพบพวกเขา หลังจากที่อันเอ๋อร์และภรรยาของเขากลับมาแล้ว”

“จริงสิ ท่านลุงเพิ่งกลับมา ดังนั้นท่านควรไปพบท่านพ่อและผู้อาวุโสจี้อวี๋ก่อน” เฉินอวี่พยักหน้า “มาเถิด ข้าจะพาท่านไปพบพวกเขา”

เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาอยู่ที่เกาะใจกลางทะเลสาบในส่วนลึกของเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ใช่หรือไม่?”

เฉินอวี่ยิ้ม “ขอรับ”

ขณะที่กล่าว เขาก็สั่งเยว่เหวินถิง “เจ้ากลับไปที่ตระกูลกับเป่าเปา และอย่าเพิ่งเปิดเผยข่าวการกลับมาของท่านลุง”

เยว่เหวินถิงรีบพยักหน้า และยังคงสำรวมเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี

เพราะนางมาจากแดนภวังค์ทมิฬ ดังนั้นจึงทราบดี ว่าชื่อเสียงของเฉินซีนั่นน่าสะพรึงเพียงใด ถึงขั้นที่เขาถูกยกให้เป็นบุคคลในตำนาน ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหมื่นปี และจวบจนบัดนี้ วีรกรรมอันน่าตื่นตาของคนผู้นี้ในแดนภวังค์ทมิฬ ก็เป็นสิ่งที่นางสามารถสาธยายได้โดยไม่ต้องคิดถึงมันด้วยซ้ำ

ดังนั้นจะไม่ให้นางประหม่าได้อย่างไร?

“ไม่เอา ข้าอยากไปกับท่านปู่!” เฉินเป่าเปาไม่เห็นด้วยกับความคิดของบิดา และร้องโวยวายเสียงดัง

เฉินอวิ๋นอวิ๋นไม่ได้กล่าวอะไร แต่กลับจ้องมองเฉินซีด้วยแววตาคาดหวัง ตอนนี้นางรู้แล้วว่าบุรุษที่อุ้มนาง คือท่านปู่ที่บิดามักกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง นางจึงไม่เต็มใจที่จะแยกจากท่านปู่เช่นกัน

เฉินซียิ้ม “เอาละ เอาละ เอาละ! เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”

ในที่สุด เฉินซีก็เข้าใจความรู้สึกของการเป็นปู่แล้ว เขามองหลาน ๆ ประหนึ่งมองไข่มุกที่สุกใสบนฝ่ามือ ในใจเต็มไปด้วยความรักอันอ่อนโยนที่อธิบายไม่ได้

เมื่อหลายปีก่อน เขาไม่เคยสนใจเฉินอันและเฉินอวี่เลยด้วยซ้ำ

เฉินอวี่ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย เพราะนี่คือการตัดสินใจของผู้เป็นลุง

“จริงสิอวี่เอ๋อร์ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องรบกวนเจ้า” ทันใดนั้น เฉินซีก็นึกถึงโตวเตี่ยน เพราะเมื่อเข้าสู่เมืองหมอกสน เขาได้ทิ้งโตวเตี๋ยนไว้ในภัตตาคารชั่วคราว ตอนนี้เมื่อเขาได้กลับบ้านจึงไม่สามารถละเลยหญิงสาวคนนั้นได้

เมื่อได้ยินคำของเฉินซี แววตาของเฉินอวี่ก็แปลกไปเล็กน้อย

เฉินซีเหลือบมอง “มีอันใดหรือ?”

เฉินอวี่ส่ายหน้าซ้ำ ๆ “ไม่มีอันใด”

ขณะที่กล่าว เขาก็ชำเลืองมองภรรยา “เหวินถิง ข้ารบกวนเจ้าช่วยนำแม่นางโตวเตี่ยนกลับมาที่ตระกูลที อืม… จัดแจงให้นางพักที่ศาลาสระรู้แจ้งด้วย”

เยว่เหวินถิงตกตะลึง จากนั้นพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตกลง รีบพาท่านลุงไปพบท่านปู่และผู้อาวุโสจี้อวี๋เถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

เทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ณ เกาะที่อยู่ใจกลางทะเลสาบ

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เฉินซีออกจากราชวงศ์ซ่ง ครั้งหนึ่งเขาเคยบ่มเพาะอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายปี และยังได้พบกับศิษย์พี่สามที่นี่ รวมถึงได้รับกระดูกล้ำค่าของคุนเผิง ทำให้สามารถบ่มเพาะเคล็ดก่ออัสนีผสานดาราและเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกิน

ในขณะนี้ เมฆปกคลุมท้องฟ้าและมีสายลมโชยผ่านอากาศเบา ๆ จี้อวี๋ซึ่งมีใบหน้าเรียวเล็กนั่งบนเก้าอี้โยกตามปกติ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เขามีชีวิตอยู่มานานหลายปี และคุ้นเคยกับคลื่นลมคลื่นฝน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ชีวิตจะประสบกับความสงบสุขเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงชื่นชอบช่วงเวลานี้มาก

เสียงฝีเท้าดังก้องมาจากระยะไกล ปรากฏชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์สง่างาม คิ้วหนา และดวงตาโตเดินเข้ามา น่าแปลกที่คนผู้นั้นคือเฉินฮ่าว ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลเฉิน

จี้อวี๋ไม่แม้แต่จะหันศีรษะไปมอง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “มีอันใดผิดปกติหรือ?”

“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาของการปิดด่านบ่มเพาะ หัวใจของข้ามิอาจสงบลงได้ ข้ามีลางสังหรณ์ว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น” เฉินฮ่าวขมวดคิ้วขณะที่นั่งลงข้างจี้อวี๋

จี้อวี๋ตกตะลึง จากนั้นดวงตาที่หรี่อยู่ก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แววตาลึกล้ำราวกับสายฟ้าเย็นเฉียบสองสาย รอยยิ้มลึกลับพลันปรากฏขึ้นที่มุมปาก “มีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

“ตามข้ามา” จี้อวี๋ยืนขึ้นและเดินออกไป

เฉินซีมีหลายเรื่องที่จะถามจี้อวี๋เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงติดตามจี้อวี๋ไปแต่โดยดี

ในขณะนี้ แสงอัสดงสาดส่องเต็มท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้า เสียงร้องของปักษาดังก้องบ่อยครั้งจากภูเขาอันห่างไกล บริเวณโดยรอบดูเหมือนจะว่างเปล่าและเงียบสงบเป็นพิเศษ

“เจ้าได้พบกับเนตรทัณฑ์สวรรค์และแผนผังบรรลุเทพหรือ?” ขณะที่ยืนอยู่หน้าทะเลสาบใส จี้อวี๋ก็เอ่ยทำลายความเงียบนี้

เฉินซีตกตะลึง ดูเหมือนไม่เคยคาดคิดว่าคำถามแรกจากจี้อวี๋ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงพยักหน้าทันที “ใช่แล้วผู้อาวุโส ทั้งสองสิ่งเป็นการดำรงอยู่ที่ลึกลับอย่างยิ่ง”

“พวกมันลึกลับมากจริง ๆ ทั้งยังน่าเกรงขามอย่างยิ่ง พวกมันเป็นตัวแทนของพลังเหนือเต๋าแห่งสวรรค์ในสามภพ เมื่อหลายปีก่อน ข้าถูกขับไล่ออกจากสามภพ และถูกประณามว่าเป็นอาชญากรของสามภพ ซึ่งก็เพราะเนตรทัณฑ์สวรรค์” ทันทีที่จี้อวี๋กล่าว ก็พูดเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่ง

เฉินซีพลันตกตะลึงยิ่ง ทั้งไม่เคยคาดคิดว่าผู้ที่ดูแลเคหาบ่มเพาะมานานจนไม่อาจนับ จะถูกข่มเหงโดยเนตรทัณฑ์สวรรค์ในอดีต!

เมื่อเฉินซีตั้งใจที่ซักถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จี้อวี๋ก็เปลี่ยนเรื่อง “ตลอดที่อยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เจ้าสุขสบายดีหรือไม่?”

เฉินซีพยักหน้า “ผู้อาวุโสของสำนักทุกคนค่อนข้างเอ็นดูข้า”

ทันใดนั้น เขาพลันตระหนักได้ว่า แม้ตนจะบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์แล้ว แต่ก็ยังมองไม่เห็นขอบเขตการบ่มเพาะของผู้อาวุโสจี้อวี๋เลยสักนิด

แม้ว่าจะสัมผัสอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่สามารถตรวจจับความลึกล้ำในการบ่มเพาะของจี้อวี๋ได้ และเมื่อรวมกับความเข้าใจหนึ่งที่ได้อนุมานไว้ในเมื่อนานมาแล้ว เขาก็อดที่จะถามไม่ได้ “ผู้อาวุโส แท้จริงแล้ว…การบ่มเพาะของท่านอยู่ที่ขอบเขตใด? ไยถึงเหน็ดเหนื่อยนักตอนที่ถอนภูเขากำราบธาตุเมื่อหลายปีก่อน?”

เฉินซีกำลังกล่าวถึงตอนที่อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้เมื่อหลายปีก่อน เพื่อให้ได้ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากชิ้นแรก จี้อวี๋ไม่ลังเลที่จะเสียสละตนเองเพื่อถอนภูเขากำราบธาตุออกไป

จี้อวี๋ตกตะลึง แล้วหวนถึงเรื่องราวในอดีต เขาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อหลายปีก่อน ข้าก็เหมือนกับเจ้าตอนนี้ อันที่จริงข้ายังด้อยกว่าเจ้ามากด้วยซ้ำ การบ่มเพาะของข้าแทบทั้งหมด ล้วนถูกผนึกไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเต๋าแห่งสวรรค์ ดังนั้นพลังที่ข้าสามารถใช้ได้ จึงน้อยมาก”

เขาหยุดครู่หนึ่งและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้เจ้าได้ก้าวไปสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์แล้ว ทั้งยังได้เห็นความแข็งแกร่งของเนตรทัณฑ์สวรรค์และแผนผังบรรลุเทพ หรือว่าเจ้ายังคาดเดาการขอบเขตบ่มเพาะของข้าไม่ได้อีก?

จู่ ๆ เฉินซีก็ตระหนักได้ฉับพลัน “หรือว่าท่าน… กลายเป็นเทพแล้ว?”

จี้อวี๋ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้บอกเองหรอกหรือ ว่าเจ้าได้เข้าสู่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าแล้ว และได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าจากสระโลหิตอดีตชาติ”

เฉินซีตกตะลึง …หรือว่าจะมีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งนี้กับการบ่มเพาะของผู้อาวุโสจี้อวี๋?

แต่หลังจากนั้น เฉินซีก็มองไปที่จี้อวี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้า และร่างอันทรงพลังที่เคยเห็นที่สระโลหิตอดีตชาติ ก็แวบขึ้นในในใจอย่างอดไม่ได้ ในขณะนี้ เมื่อเปรียบเทียบร่างนั้นกับจี้อวี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คลื่นพายุพลันพัดโหมในใจทันที “ท่านคงไม่…”

จี้อวี๋แย้มยิ้มพลางถอนหายใจ “เจ้าหนู เจ้าเพิ่งคิดออกหรือ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]