บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 550

บทที่ 550 นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

บทที่ 550 นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

แดนภวังค์ทมิฬ!

ภพอันกว้างใหญ่ไพศาลและงดงามยิ่งนัก เป็นภพมหัศจรรย์ที่มีตำนานและวัฒนธรรมมากมาย

ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ผู้บ่มเพาะชั้นนำที่สั่นสะเทือนโลกาจำนวนมากมายเกิดขึ้นในภพนี้ สิ่งนี้ได้สร้างระบบการบ่มเพาะที่หลากหลายซึ่งซับซ้อนเหมือนดวงดาวบนท้องนภา มรดกและวิชาล้ำลึกมากมายราวกับพื้นทะเลอันกว้างขวางได้รับการสืบทอด…

เต๋าเซียน เผ่าอสูร และนิกายอสูรอยู่ร่วมกันที่นั่น มีตระกูลอยู่นับไม่ถ้วนเติบโตขึ้นมาด้วยกันราวกับพฤกษาในป่า ปรมาจารย์จำนวนมากต่อสู้เพื่อแก่งแย่งชิงดีกัน อารยธรรมในตำนานที่เจิดจรัสราวกับมหากาพย์ถูกสร้างขึ้นที่นี่

มันเป็นสถานที่ที่ใกล้กับภพเซียนมากที่สุด

ภายในเส้นทางมิติที่ถูกเปิดออก แสงหลากสีที่น่าสะพรึงกลัวคดเคี้ยวขณะที่วิปลาสหลิ่วกำลังพาเฉินซีไปตามเส้นทางมิติสายนี้

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีเข้าสู่เส้นทางมิติที่มุ่งสู่โลกหลัก เขาจึงรู้สึกตกใจเล็กน้อย

มีแสงที่สวยงามและเจิดจรัสยิ่งไหลเวียนรอบเส้นทางมิติ แสงเหล่านี้คดเคี้ยวไปมาพร้อมปล่อยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว เพียงแค่สัมผัสเบา ๆ ก็คงจะสร้างหายนะได้แล้ว

“นี่คือพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ปกคลุมกำแพงมิติ และมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่สามารถควบคุมร่องรอยของมันได้ส่วนหนึ่ง” วิปลาสหลิ่วอธิบายด้วยสีหน้าเหม่อลอย

“พลังแห่งกฎเกณฑ์…” ทันใดนั้นเฉินซีก็เข้าใจ เมื่อเต๋ารู้แจ้งสมบูรณ์ มันจะเปลี่ยนเป็นกฎเกณฑ์ แต่ผู้นั้นจะต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์เพื่อที่จะควบคุมมัน นี่คือสิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต้องเผชิญ ซึ่งยังคงเป็นเรื่องห่างไกลจากเขามาก

“ผู้อาวุโส อีกนานแค่ไหนหรือขอรับ?” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “ไม่ใช่ว่าเส้นทางมิติจะพาไปถึงที่ในทันทีหรือ?”

“มันไม่เหมือนกัน” ชายชราส่ายศีรษะ “ปกติข้าอาจเปิดใช้พลังเคลื่อนย้ายพุ่งผ่านเส้นทางมิติได้ แต่ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าไปยังแดนภวังค์ทมิฬ มันเป็นโลกที่กว้างใหญ่ ดังนั้นเราต้องผ่านกำแพงมิติของมันก่อนจึงจะไปถึงที่นั่นได้”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เฉินซีพยักหน้าเล็กน้อย

“อย่าประเมินกำแพงมิติเหล่านี้ต่ำไป เพราะว่าพวกมันถูกสร้างมาอย่างดี ผู้คนจากต่างภพจึงรุกล้ำเข้ามายังภพที่สามแห่งนี้ได้ยาก พลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ปกคลุมกำแพงจะกำจัดทุกคนที่เป็นภัยต่อภพที่สามโดยตรง” วิปลาสหลิ่วอธิบาย

“โลกต่างภพ? อยู่ที่ใดหรือขอรับ?” ชายหนุ่มห้ามใจไม่อยู่จึงถามด้วยความสงสัย เพราะว่าเขามาจากโลกใบเล็ก จึงแทบจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับภพที่สามแม้แต่น้อย

“ข้าไม่เคยไปที่นั่น จึงไม่รู้เหมือนกัน” คำตอบของชายชรานั้นตรงไปตรงมา

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจะถามต่อ เขาจึงรีบดึงแผ่นหยกสีฟ้าออกมาก่อนส่งมาให้ “นี่คือคู่มือแดนภวังค์ทมิฬ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับแดนภวังค์ทมิฬจะถูกบันทึกไว้ในนั้น”

เฉินซีตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนที่จะยกมือรับมัน มีเพียงอักขระธรรมดาสามตัวบนแผ่นหยกเท่านั้น คือคำว่า ‘คู่มือแดนภวังค์ทมิฬ’

หลังจากเขาเปิดใช้งานแผ่นหยก มันก็เหมือนกับตำราที่ถูกแทนที่ด้วยเงาแสง มันสะท้อนภาพมากมาย และมีเนื้อหาเรียงกันเป็นแถว

สิบนิกายมหาเซียน!

หกสายเลือดนิกายอสูร!

ตระกูลบรรพกาล!

ทะเลบำเพ็ญทุกข์!

ดินแดนแกนพิพากษา!

สารพัดเรื่องเล่า!

ภูมิศาสตร์ของโลก!

ตำหนักแห่งการบ่มเพาะ!

เนื้อหาหลายพันบรรทัดเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า เฉินซีสำรวจเนื้อหาทั้งหมด แล้วเขาก็รู้สึกตกตะลึงจนหัวใจแทบวายเพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าภพนี้จะกว้างใหญ่อย่างนี้

ตำราเล่มนี้ไม่เพียงบันทึกเกี่ยวกับพลังอำนาจต่าง ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬเท่านั้น แต่ยังมีแผนที่ภูมิศาสตร์ ความลับโบราณ ดาราศาสตร์ เรื่องเล่าขาน และแม้แต่เรื่องเบ็ดเตล็ดทั่วไป…มันบรรจุและรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้

ไม่ต่างอะไรจากสารานุกรม

หากต้องการจะศึกษาหมดทั้งตำราโดยอาศัยการบ่มเพาะจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ อาจจะต้องใช้เวลานานนับปีเพราะเนื้อหานั้นมากมายจนเรียกได้ว่ากว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทร

ในขณะนี้ เฉินซีเข้าใจว่ามีราชวงศ์อยู่มากมายคล้ายธารดาราในแดนภวังค์ทมิฬ ทว่ามีเพียงแค่สิบนิกายมหาเซียน นิกายอสูร ตระกูลอสูร และตระกูลบรรพกาลเท่านั้นที่ปกครองภพนี้อย่างแท้จริง

พวกเขาอยู่เหนือสรรพสิ่งซ้ำยังมีมรดกที่เก่าแก่อย่างยิ่ง ทว่าไม่มีกองกำลังใดที่กล้าเอ่ยปากว่าครอบครองแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมดได้เพียงผู้เดียว

เนื่องจากแดนภวังค์ทมิฬนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเกินจินตนาการของทุกคน

นอกจากนี้ การแข่งขันที่นี่ก็ดุเดือดไม่แพ้กัน มีนิกายนับไม่ถ้วนถูกทำลายเกือบทุกวัน และยังมีกลุ่มอำนาจใหม่ที่ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาเหมือนหน่อไม้หลังฝน

ทว่าโดยรวมแล้ว ยังคงเป็นสิบนิกายมหาเซียน นิกายอสูร ตระกูลอสูร ตระกูลบรรพกาล และกองกำลังอื่น ๆ ที่ยังคงมีพละกำลังที่น่าเกรงขาม ครอบครองภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬอยู่

นิกายกระบี่เก้าเรืองรองตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแดนภวังค์ทมิฬ มีเทือกเขาครอบคลุมพื้นที่นับแสนลี้ ชื่อของมันคือเทือกเขาเก้าเรืองรอง

ตัวหุบเขาแห่งนี้เป็นเหมือนมังกรที่ขดตัว… สูงตระหง่านและงดงาม มีน้ำตก น้ำพุ และต้นสนเขียวขจีที่ปลิวไสวตามสายลม

เส้นทางขรุขระบนหุบเขาปกคลุมด้วยขั้นบันไดหินปูนที่เรียบเหมือนกระจก สภาพแวดล้อมถูกปกคลุมด้วยไม้ดอกสีม่วงและพืชพรรณที่อุดมสมบูรณ์ มีสมุนไพรวิญญาณมากมายที่เติบโต เปล่งแสงหลากสี และส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมา พวกมันคือสมุนไพรวิญญาณระดับเต๋า!

“ยอดเขานี้เรียกว่ายอดเขาสัประยุทธ์ ตำหนักหลักของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองตั้งอยู่บนนั้น จำไว้ว่าเมื่อมาถึงยอดเขานี้แล้วต้องเดินขึ้นเท่านั้น ห้ามบิน มิฉะนั้นจะไม่มีใครช่วยเจ้าได้แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ตาม” วิปลาสหลิ่วกล่าวพลางเดินขึ้นบันได

“ดูเหมือนว่าหุบเขาทั้งลูกนี้มีข้อจำกัดอันน่าเกรงขามที่บุคคลทรงอำนาจตั้งขึ้นมา แม้กระทั่งใช้กำจัดเซียนสวรรค์ก็ย่อมได้” เฉินซีกำลังนึกอะไรบางอย่างในขณะที่เดินตามหลังชายชราไปจนสุดทาง

ตลอดเส้นทาง เขาสังเกตว่ามีมังกรวิญญาณอาศัยอยู่ตามหน้าผา มีรังปักษาตามต้นไม้ใหญ่ มีนกกระเรียนมงกุฎแดงกระพือปีกในป่า มีเต่าว่ายไปมาในแม่น้ำลำธาร

อาจกล่าวได้ว่ายอดเขาสัประยุทธ์งดงามราวกับวิหารเซียน มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์แปลกประหลาดและหายากอาศัยอยู่มากมาย นอกจากนี้ยังพบเห็นสัตว์หลากหลายประเภทอยู่ทุกที่

แม้ว่ากลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะถูกจำกัดไว้ แต่ไม่ว่าจะถูกจำกัดอย่างไร พวกมันก็ยังทำให้เฉินซีรู้สึกเกรงกลัวอย่างยิ่ง ซึ่งดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

“ภูมิหลังของศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้านั้นไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอสูร ภูตผี หรือเผ่าบรรพกาล พวกเขาสามารถบ่มเพาะที่นี่ได้” วิปลาสหลิ่วกล่าว

เฉินซีพยักหน้า เขาเปิดดูคู่มือแดนภวังค์ทมิฬที่ได้มาก่อนหน้านี้และเข้าใจพอสมควร มีเผ่าพันธุ์ในแดนภวังค์ทมิฬมากมาย มีทั้งมนุษย์ อสูร ภูตผี วิญญาณ อสุรกาย และอื่น ๆ อีกมากมาย

ซ้ำยังมีตระกูลบรรพกาลที่น่ากลัว นั่นเป็นเพราะพวกเขาคือตระกูลโบราณที่มีการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคบรรพกาล อาทิตระกูลมนุษย์ฉลาม ตระกูลเก้าหาง ตระกูลวิหคเพลิงนภา ตระกูลอสูรยักษ์ และอีกมากมาย

ตระกูลเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วแดนภวังค์ทมิฬเช่นเดียวกับมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีเผ่าอื่น ๆ มาบ่มเพาะในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

“ไอ้ขอนไม้ เอ็งอย่าขยับสิ!” ทันทีที่เฉินซีมองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นของวิปลาสหลิ่ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นชายหนุ่มที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้ากำลังมองชายชราด้วยท่าทางหวาดกลัว

ชายหนุ่มคนนี้มีศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมสีเขียวซึ่งเคลียอยู่บนไหล่ของเขาเหมือนสาหร่าย รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าอ่อนโยน เป็นชายหนุ่มขี้อายที่ดูบริสุทธิ์ใจไร้มลทิน

“เจ้าโดนอัดจนน่วมจนต้องวิ่งมาซ่อนตัวอยู่ที่ยอดเขาสัประยุทธ์อีกแล้วหรือ?” วิปลาสหลิ่วโกรธเกรี้ยว สีหน้าของเขาเคร่งขรึมพลางดุใส่หน้าชายหนุ่ม “เจ้านี่มันหัวแข็งชะมัดยาก มีคนมาทำร้ายเจ้าแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร? เหตุใดข้าถึงรับศิษย์ที่ไร้ประโยชน์เช่นเจ้าเข้ามาได้!?”

ชายหนุ่มผมเขียวถูกดุจนหัวหด ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยสีหน้าเขินอายราวกับนกกระจอกเทศที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฝังศีรษะลงไปในทราย

“เจ้ามันน่าหงุดหงิดฉิบหาย! ขอให้ขวัญไม่หายสักรอบจะได้หรือไม่!?” เผ่าวิหคเพลิงนภากำลังจะเสียหน้าเพราะเจ้านี่แหละ!” วิปลาสหลิ่วรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาเห็นสภาพของชายหนุ่มในตอนนี้ก่อนจะยกมือขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะตบอีกฝ่ายหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ห้ามใจไว้ได้

“ผู้อาวุโส…” เฉินซีไอแห้ง เขาไม่อาจทนเห็นสิ่งนี้ได้เล็กน้อย “ศิษย์พี่คนนี้เป็นคนสงบเสงี่ยม ละตนจากความสำเร็จทางโลก การถามเขาเช่นนี้จะเป็นการขัดกับธรรมชาติของเขา และมันจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี”

ชายหนุ่มชำเลืองมองเฉินซีด้วยความปลื้มปีติเมื่อได้ยินสิ่งนี้ราวกับว่าต้องการเป็นมิตรสหายที่ดีกับเขา

“เหอะ! ธรรมชาติเชี่ยอะไร? ถ้าเขาไม่รู้วิธีต่อสู้เพื่อสิ่งต่าง ๆ ก็จะถูกคนอื่นรังแกไปตลอดชีวิต” วิปลาสหลิ่วตะคอก ผิดกับสีหน้าของเขาที่สงบลงมากแล้ว

เฉินซียิ้มและค่อย ๆ ผงกศีรษะไปทางชายหนุ่ม เขากล่าวในใจ “ดูเหมือนการแข่งขันระหว่างศิษย์ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]