บรรยากาศภายนอกเงียบสงบ ทั่วทั้งเหิงหลิ่งราวต่างกำลังหลับใหลอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
สายตาของฉินเทียนไม่เหมือนคนทั่วไป และด้วยฝีเท้าอันเบาหวิวของเขา เขากระโดดขึ้นไปยืนตระหง่านบนชายคาบ้าน และลงสู่พื้นได้อย่างเงียบเชียบไม่เกิดเสียง ราวกับเสือชีต้าที่คล่องแคล่วตัวหนึ่ง
เมื่อครู่เขาบอกหม่าหงเทากับชุยหมิงว่ารอฟ้าสางแล้วจะไปฆ่าล้างตระกูลฉีความจริงแล้วเป็นการโกหกพวกเขา
ตระกูลฉีทำความชั่วมานักต่อนัก จำเป็นต้องฆ่าทิ้งซะ
แต่ไม่ใช่พรุ่งนี้ เป็นคืนนี้ต่างหากเล่า!
ฉินเทียนไม่อยากรอต่อไปอีกแล้ว จึงตัดสินใจเดินทางไป ตระกูลฉีด้วยตัวเอง และฆ่ามันแบบไม่ให้ทันตั้งตัว!
ตัวของหม่าหงเทาและชุยหมิงได้รับพิษพิษกู่หากเกิดการต่อสู้อีก เกรงว่าจะได้รับผลกระทบ
ฉินเทียนไม่อยากให้พวกเขาต้องได้รับบาดเจ็บอีก จึงเดินทางไปโดยลำพัง และตัดสินใจที่จะทำลาย ตระกูลฉีในคืนนั้นเลย!
จากนั้นค่อยให้ ตระกูลฉีถอนพิษกู่ออกจากตัวของหม่าหงเทาและชุยหมิง ส่วนซูเหวินเฉิงกับซูเป่ยซาน ก็เป็นแค่ตัวแถมเท่านั้น
ตระกูลฉีที่ไม่เจียมตัว ตั้งแต่วันที่กล้าทำร้ายพี่น้องของฉินเทียนของเขาแล้ว เท่ากับว่าขาข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าสู่วิหารพญายมไปแล้ว!
ในใจของฉินเทียน ไม่อยากเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายอีกต่อไปแล้ว
ครั้งนี้ เขาต้องลงมือจู่โจมจริงๆแล้วหล่ะ!
ร่างของฉินเทียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ท่ามกลางความมืด ผ่านไปสิบนาทีกว่า ก็ตามฉีเฟยที่กลับมาด้วยความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับได้ทัน
เขาลดความเร็วของฝีเท้าลง และติดตามอยู่ด้านหลังของฉีเฟยไปอย่างเงียบเงียบ
มีคนนำทางพาเขาเข้าตระกูลฉีมันสะดวกขึ้นเยอะเลย
ฉีเฟยไม่รู้ตัวว่าถูกฉินเทียนสะกดรอยตามเข้าให้แล้ว เขาเดินโซซัดโซเซไปมาตลอดทาง
ผู้ติดตามด้านหลังของเขานอกจากฉินเทียนแล้ว ยังมีกองทัพตะขาบสีดำทมิฬที่แบกโครงกระดูกเปื้อนเลือดอันน่าสยดสยองไว้อีกด้วย!
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดฉีเฟยก็หยุดฝีเท้าลง
เบื้องหน้า คือ ตระกูลฉีที่ปลูกสร้างใกล้ภูเขานั่นเอง
ลูกน้องสองคนของฉีเฟยที่ยืนเฝ้าประตูอยู่นั่น พอเห็นฉีเฟยแล้ว ก็ชะงักไปครู่หนึ่งและรีบวิ่งเข้ามาทันที “ลุงฉี ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บแบบนี้หล่ะ?”
ในตระกูลฉีตำแหน่งห้าผู้อาวุโสพิษ นับว่าเป็นตำแหน่งอันสูงส่งที่สุด
พวกเขามีลูกศิษย์ลูกหาอยู่จำนวนไม่น้อย บางคนพึ่งเข้ามาได้ไม่นานก็เรียกฉีเฟยว่าอาจารย์อาไปโดยอัตโนมัติ
ฉีเฟยจ้องมองสองคนนั้นด้วยสายตาอันโหดเหี้ยม “ไสหัวไป! อย่ามาขวางทางกู!”
ศิษย์ทั้งสองคนนั้นจ้องตากัน และไม่กล้าที่จะล่วงเกินฉีเฟยเลยรีบหลีกทางให้ทันที
ฉีเฟยที่แขนขาดไปข้างหนึ่ง ค่อยๆ เดินโซซัดโซเซเข้า ตระกูลฉีไป
ฝูงตะขาบที่ติดตามอยู่ด้านหลังเขา ต่างช่วยกันแบกอาหนูที่เหลือเพียงกระดูกเดินตามเข้าไปด้วย
“นี่....นี่มันคืออะไรหน่ะ?”
ศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นเบาๆ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เขาพึ่งเข้ามา ตระกูลฉีได้ไม่นาน ยังไม่เคยได้สัมผัสกับวิชาแมลงพิษ แค่เริ่มเรียนวิชาเพียงผิวเผินไปบ้างเท่านั้น
อีกคนที่อยู่ข้างๆ รีบดึงชายเสื้อของเขาทันที “เบาๆ หน่อย บางทีอาจจะเอาไปใช้กลั่นแมลงพิษก็ได้”
“พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน พูดให้น้อย ทำให้มาก จะได้ไม่ต้องตายโดยไม่รู้ตัว”
“แกพูดถูก อะไรไม่ควรถามก็อย่าถาม อะไรไม่ควรพูดก็อย่าพูด”
ศิษย์สองคนนั้นทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และยืนเฝ้าประตูด้านนอกต่อไป
ส่วนฉินเทียนเห็นเหตุการณ์นี้อย่างเต็มตา เขายิ้มอย่างเหยียดหยาม และเขย่งเท้ากระโดดเข้าไปในลานบ้านของ ตระกูลฉีได้อย่างสบาย
เขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เพื่อความปลอดภัย เขาจึงไม่เดินเพ่นพ่าน และตามฉีเฟยไปอย่างใกล้ชิด
ฉีเฟยเดินผ่านลานบ้านไปสองแห่ง ในที่สุดก็มาหยุดตรงหน้าบ้านหลักที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะหลังหนึ่ง
“อาจารย์ ท่านอาจารย์!”ฉีเฟยตะโกนเสียงดัง
ไม่นานนักแสงไฟภายในบ้านก็สว่างขึ้น ประตูไม้ที่ทั้งหนาและหนักถูกเปิดออกจากด้านใน
ฉีกงหาวและเดินออกมา พร้อมกับตำหนิฉีเฟยอย่างไม่พอใจว่า “ดึกดื่นขนาดนี้ เอะอะโวยวายอะไร?”
“หรือว่าเอาหัวฉินเทียนกลับมาด้วยแล้ว? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่ ชักจะอุกอาจมากขึ้นทุกวันแล้วนะ!”
พูดจบฉีกง เตรียมที่จะปิดประตูและกลับเข้าไปในห้อง
แต่ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นสีหน้าของฉีเฟยที่มีบางอย่างไม่ปกติ
“ท่านอาจารย์ ท่านดูไม่ผิดหรอก โครงกระดูกนั้นคืออาหนูเอง”
ฉีเฟยเล่าความจริงว่า “เขาถูกฉินเทียนใช้เท้าเตะจนตาย ส่วนฉันเองได้รับบาดเจ็บสาหัส เพื่อไม่ให้ร่างของเขาไม่มีที่ฝังศพ ฉันเลยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะนำเขากลับมา ตระกูลฉีด้วย ”
ฉีกงโกรธจนแทบจะระเบิด “ไอ้ฉินเทียนตัวกะเปี๊ยกคนนั้น สามารถรอดพ้นจากวิชาแมลงพิษของพวกเราตระกูลฉีไปได้อย่างนั้นเชียวหรือ? มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!”
“บอกมาสิ เป็นเพราะความหยิ่งผยองมากเกินไปของแกใช่ไหม ที่ไม่ได้ลงมือใช้แมลงพิษ เลยถูกเขาทำร้ายกลับมาอย่างนี้?”
“ฉีเฟยเอ๋ยฉีเฟยเสียแรงที่เมื่อก่อนฉันตั้งความหวังกับแกไว้สูงมาก แต่แกกลับไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแบบนี้ คนอย่างแก รอให้ฉันอายุอีกร้อยปี ก็คงไม่ได้รับตำแหน่งห้าผู้อาวุโสพิษคนใหม่ได้หรอก!”
ฉีกงตำหนิฉีเฟยอย่างรุนแรง เขารับลูกศิษย์มาเพียงสามคนเท่านั้น
ศิษย์คนโตคือฉีเวย เป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าบ้านตระกูลฉี ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องได้รับตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไป
ศิษย์คนรองฉีเฟยแม้ว่าจะมีความหยิ่งผยองมาโดยตลอด แต่ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเขาโดยตรง โดยเฉพาะวิชาแมลงพิษของเขาเก่งกาจมากๆ
ส่วนศิษย์คนที่สามฉีอวี่ เป็นน้องชายแท้ๆ ของฉีเฟยมีนิสัยลังเลไม่เด็ดขาด ขี้ขลาดไร้ความสามารถ กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องได้รับความคุ้มครองจากฉีเฟย
ดังนั้นก่อนหน้านี้ ฉีกงจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการสั่งสอนเลี้ยงดูฉีเฟยรอจนตัวเองอายุร้อยปี โดยมีฉีเฟยสืบทอดวิชาความรู้ของเขา
และด้วยเหตุผลนี้เองฉีกง ถึงได้มาอยู่ในงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ได้ และให้ฉีเฟยไปฆ่าฉินเทียนซะ
ประการแรกเพื่อช่วยฉีเฟยสร้างคุณงามความดี ประการที่สอง เพื่อความประจักษ์ชัดว่าฉีกงสั่งสอนเขามาอย่างดีอย่างเหมาะสม และยังเป็นการกดดันผู้อาวุโสพิษอีกสี่คนด้วย
แต่ใครจะไปคาดคิดหล่ะว่า ไอ้ฉินเทียนตัวกะเปี๊ยกคนนั้น จริงๆ แล้วจะมีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้!
ไม่เพียงแค่ตัดแขนศิษย์รักของเขาไปเท่านั้น แต่ยังใช้เท้าเตะอาหนูจนตายอีกด้วย!
น่ารังเกียจเป็นที่สุด!
ฉีกงเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ กำหมัดด้วยความโกรธ “ฉินเทียน! แกแน่มาก ฉันจำไว้หมดแล้ว!”
“พรุ่งนี้ฉันจะไปบอกนายน้อย จะต้องให้เขาตายอย่างไร้ที่ฝังศพ!”
“รวมถึงครอบครัวของเขาด้วย อย่าคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแม้แต่คนเดียว! มันต้องตายไปด้วยกันทั้งหมด!”
ค่ำคืนอันเงียบสงบ ทุกคำพูดของฉีกง เค้นออกมาด้วยความแค้น คนที่ได้ยินเป็นต้องรู้สึกกลัวจนขนพองสยองเกล้า
อย่างไรก็ตาม ไม่รอให้ฉีกง พูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะดังลอยมาจากกลางอากาศ “ไม่ต้องรอพรุ่งนี้ให้ยุ่งยากหรอก ตอนนี้แหละ ฉันจะส่งแกขึ้นสวรรค์เอง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัญชามังกรเดือด
บท 656 มีไหน...
จะหาอ่านต่อได้ยังไงครับ...
ตอน 656 ไปไหน...
เรื่องนี้ไม่อัพเดทต่อแล้วหรอค่ะ...
เลิกเขียนแล้วใช่ไหมครับ...
นิยายเขียนต่อมั้ยครับ...