บทที่ 142 พระชายาหายตัวไป
คมมีดกรีดแทงเข้าเนื้อ ใบหน้าของกู้อ้าวเวยซีดขาวจนแทบอยากจะถอยหลังหนี
นางถึงขนาดมองไม่เห็นว่าจูเย่นชักมีดออกมาจากตรงไหน ก็ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทงทะลุเข้ามายังกระดูกไหปลาร้า นางทรุดลงกับพื้นอย่างไร้การควบคุม ไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจว่าคมมีดนั้นจะเฉือนเนื้อหนังของนางมากยิ่งขึ้น
จูเซถอนหายใจเสียงเย็นแต่นางกลับไม่ได้เข้ามาห้ามปราม
สมควรตายละ ไข้ลมหนาวของนางยังไม่หายดีด้วยซ้ำ!
ร่างของกู้อ้าวเวยบิดงอ บริเวณกระดูกไหปลาร้าและหัวไหล่ถูกกรีดเฉือนจนเป็นแผล ทว่านางกลับรู้สึกว่าไข้ลมหนาวต่างหากที่ทำให้การหายใจของนางเปลี่ยนเป็นยากลำบากอย่างหาที่ใดเปรียบ จูเย่นนั่งชันเช่าที่เบื้องหน้าของนางและมือทาบที่แก้มของนาง “เจ้าทำไมถึงอ่อนแอเยี่ยงนี้?”
“เจ้าอยากเห็นสีหน้าหวาดกลัวของข้าขนาดนั้นเลยหรือไง?” กู้อ้าวเวยหรี่ตาตอบโต้กลับ มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้าที่จูเซยังได้ตบหน้านางจนแก้มบวมเล็กน้อย และยามที่เห็นสายตาส่องเย็นเยียบของจูเย่น นางจึงได้แต่กัดเรียวริมฝีปากเพื่อบรรเทาผ่อนความเจ็บ ทั้งยังจึงกล่าวต่อ “เพราะว่าตระกูลหยุนเคยทำให้พวกเจ้าต้องอัปยศอดสู นำมาซึ่งความหวาดกลัวแก่พวกเจ้า...ข้าพูดถูกไหมเล่า?”
จูเย่นเหวี่ยงนางลงพื้น กู้อ้าวเวยกระทั่งรู้สึกได้ว่าอวัยวะในร่างสะเทือนไปหมด แต่ยังคงไม่หยุดปากของตัวนาง “พวกเจ้าจึงกล้าดีแต่ลงมือกับข้าแต่กลับไม่กล้าแก้แค้นกับตระกูลหยุนที่แท้จริงไงล่ะ”
“เจ้ารีบหุบปากซะ!” จูเซเดินขึ้นมาถีบนางไปหนึ่งฝ่าเท้า
นางฉวยโอกาสพลิกตัวนอนหงายเอาแต่มองเพดานแล้วค่อยๆหลับตาลง “ข้าง่วงแล้วล่ะ”
จูเย่นพุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย ทว่าจูเซกลับรีบเข้ามาขวาง “พอแล้วพี่! นางจะตายไม่ได้!”
“พวกลูกหลานตระกูลหยุนมันมีศีลธรรมแบบไหนกัน! เจ้าหลบไปซะ! ข้าจะทรมานนางให้ตายไปเลย!!”
“อย่างน้อยที่สุดยามที่อยู่ต่อหน้าผู้คนข้าก็ไม่ได้วางอุบายแยบคายกับใคร ไม่ใช้มีดทำร้ายผู้คน ไม่ว่าพวกเจ้าจะเชื่ออย่างไร ข้าเป็นแค่กู้อ้าวเวยที่ไม่เคยทำร้ายพวกเจ้า”กู้อ้าวเวยหันหน้าไปมองเขา ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใสเป็นอย่างยิ่ง
จูเย่นยิ่งเกรี้ยวกราด เขาผลักจูเซออกแล้วยกร่างนางขึ้นจากพื้น
กู้อ้าวเวยเจ็บจนต้องบิดหน้าเหยเก
“ร่างกายเจ้าไหลเวียนด้วยสายเลือดตระกูลหยุนไงเล่า! ความสำเร็จของพวกเจ้าในยามนี้ล้วนแลกมาด้วยชีวิตของบรรพบุรุษตระกูลจูของพวกเรา! เจ้ากล้าพูดเลื่อนลอยเช่นนี้ได้อย่างไร!” จูเซตบนางเสียงดังฉาด
กู้อ้าวเวยเวียนศีรษะด้วยความมึนงง สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าจูเซโน้มน้าวจูเย่นให้เดินออกไปด้วยวิธีใด เพียงแต่ความหนาวเย็นจากการสูญเสียเลือดค่อยๆคุกคามนางทีละน้อย นางฝืนต้านทานอยู่สักพักจึงได้แต่ยอมจำนน
……
ผ่านมาหนึ่งวันแล้วที่ซ่านจินจื๋อไม่พบเห็นหน้ากู้อ้าวเวย
เดิมทีวันนี้ที่หลังจากเสร็จงานสมรสขององค์ชายสี่ซ่านเชียนหยวนกับลี่วาน เป็นวันแรกที่ควรไปเข้าวังร่วมงานเลี้ยงน้ำชา แต่เวลานี้กู้อ้าวเวยกลับไม่ปรากฎตัว เขาเดาว่านางย่อมต้องดูพวกใบสั่งยาหรือไม่ก็ตำราแพทย์โดยไม่หลับไม่นอนเป็นแน่ จึงไม่ไปรบกวน
ซูพ่านเอ๋อร์ที่กำลังฝนหมึกข้างกาย มองท่าทางของซ่านจินจื๋อที่เหม่ออยู่น้อยๆ บังเกิดความริษยาในใจ
“พี่จื๋อ วันนี้อากาศกำลังดี ท่านไม่สู้พาข้าไปเดินเล่นนอกเมืองกันหน่อยไหมเจ้าคะ?”
“ทิงเฟิงโหลว”(หอสดับลม) ย่อมได้ยินจากเสียงสายลมแห่งเทียนเหยียน” เมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงของฉีหลินหลิ่วเอ๋อร์จึงเก็บสีหน้าในทันที แล้วเผยเพียงรอยยิ้มบางๆ “ในเมื่อท่านอ๋องกับแม่นางซูออกนอกเมืองเทียนเหยียนเพียงลำพัง ไม่อาจกลับมาในเวลาอันใกล้ เรื่องนี้ร้ายแรงยิ่ง คุณชายฉีไม่สู้ไปจวนขององค์ชายท่านอื่นเพื่อขอความช่วยเหลือดู”
“เข้าท่าดี” ฉีหลินพยักหน้ารับ
แม้ว่ายามนี้ไม่สะดวกที่จะไปรบกวนซ่านเชียนหยวน แต่อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นตาย
เขามาถึงคฤหาสน์ขององค์ชายสี่ พ่อบ้านที่นี่ทราบดีว่าฉีหลินกับซ่านเชียนหยวนนับถือเป็นพี่น้อง ย่อมเข้ามาคารวะต้อนรับ
เมื่อมาถึงห้องโถง ซ่านเชียนหยวนและภรรยากำลังทานมื้อกลางวัน ลี่วานเมื่อเห็นฉีหลินพาหลิ่วเอ๋อร์เข้ามาก็ตกตะลึงเล็กน้อย เกิดความไม่พอใจต่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญแต่ก็ทำได้แค่อดทน “คุณชายฉีมายามนี้ด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?”
“เมื่อคืนพระชายาจิ้งถูกคนลักพาตัวออกนอกเมือง ตอนนี้ก็หาอ๋องจิ้งไม่พบ ข้าจึงได้แต่บากหน้ามาหาท่านแล้ว” ฉีหลินคิ้วขมวดแล้วนำหลิ่วเอ๋อร์มาที่ด้านหน้าองค์ชายสี่
โดยนำรายละเอียดทั้งหมดในเมื่อคืนที่นางทราบเล่าออกมาอย่างถี่ถ้วน
ซ่านเชียนหยวนวางตะเกียบลงในทันที ลี่วานก็ลุกขึ้นตาม “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ประตูเมืองไม่สมควรเปิดในเวลากลางคืนสิ”
“บังเอิญเป็นเพราะเมื่อคืนประตูเมืองเปิดออก ข้าจึงได้ทราบข่าวนี้ หลังจากส่งคนไปตรวจสอบ พบว่าหลังจากงานเลี้ยงก็ไม่มีคนพบเห็นพระชายาจิ้งอีกเลย จึงได้มาหาคุณชายฉีให้ช่วยเหลือ” หลิ่วเอ๋อร์ก้มหน้ากล่าว
“ใครก็ได้มานี่” ซ่านเชียนหยวนเดินออกจากที่นั่ง ก้าวเท้ายาวๆไปสั่งคนรับใช้ในคฤหาสห์ “นำเรื่องนี้ไปบอกแก่แม่ทัพทุ้งและผู้บัญชาการเซียว ให้พวกเขาส่งคนออกค้นหา อย่าได้ระคายถึงฝ่าบาท นอกจากนี้รีบไปตามหาที่อยู่ของเสด็จอาด้วย!”
ลี่วานได้แต่มองซ่านเชียนหยวนที่จากไปอย่างเร่งรีบ แล้วมองดูอาหารตรงหน้าที่เย็นชืดด้วยหัวใจที่เหี่ยวเฉา เป็นกู้อ้าวเวยอีกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์
นางเอกเหมือนจะเก่งแต่ก็ยอมให้ผัวทำร้ายร่างกายตลอด...
บางคำแปลแบบ งงๆ อ่านแล้วเหนื่อยเรื่องนี้ พักก่อน...
สรุปแล้วใครคือพระเอก อ๋องจิ้งไม่เหมาะเลย ขอเป็นคนอื่นแทนได้ไหม...