บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 217

บทที่ 217 ปลายหน้าหนาว

สำรับอาหารเต็มโต๊ะบัดนี้เปลี่ยนเป็นไร้รสชาติไปเสียดื้อๆ

ซ่านจินจื๋อวางชามตะเกียบลงเสียงดังเพล้ง “นี่เจ้าชักจะทุ่มเทกับนางแล้วจริงๆ ปล่อยนางออกไป ก็ยังไม่รู้เลยว่านางจะทำอะไรลงไปบ้าง”

ต่อให้ระยะนี้กู้อ้าวเวยจะอ่อนแอปานนั้น แต่ซ่านจินจื๋อยังคงไม่อาจเชื่อได้ว่าหญิงสาวที่ทั้งฉลาดและแข็งแกร่งคนนี้จะทำเรื่องอะไรออกมาได้ เขาคิดว่าหลังจากนางออกจากวังอ๋องแล้ว คงจะล้างแค้นเขาแน่

“นางก็เหมือนพี่สาวของข้า เสด็จอา ท่านพรากลูกของนางไปแล้ว พักนี้นางยิ้มน้อยมาก หากปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไป ต่อให้ท่านไม่ต้องทำอะไร นางก็จะตายอยู่รอมร่อแล้ว” ซ่านเชียนหยวนรีบสาวเท้าเดินมาอยู่ข้างกายของเขา สายตาจ้องมองที่ซูพ่านเอ๋อเขม็ง “ท่านมีแม่นางพ่านเอ๋ออยู่แล้ว ยังมิอาจปล่อยนางไปได้อย่างนั้นเชียวหรือ”

“หยวนเอ๋อ” ซ่านจินจื๋อทำเพียงเหลือบสายตาขึ้นมองเขา “เจ้าไม่เข้าใจ...”

“ต่อให้เสด็จอาไม่อนุญาต ข้าเองก็จะพานางไป เดิมนางก็ไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของวังอ๋องอยู่แล้ว ถ้าหากเป็นไปได้ ข้ายังหวังกระทั่งให้นางแต่งกับชายหนุ่มที่รักนางได้อย่างอิสระ อย่างน้อยๆ ในฐานะสามี ไม่มีใครสามารถลงมือต่อคนจิตใจเมตตาแบบนางได้หรอก” ซ่านเชียนหยวนกล่าวประโยคนี้จบอย่างหนักแน่น และจากไปใต้แสงจันทร์ทั้งที่ยังมีลมหิมะอยู่

“องค์ชายสี่ช่างบังอาจจริงๆ” สายตาของซูพ่านเอ๋อแปรเป็นน่าสงสารทันทีทันใด และคว้าอาภรณ์ของซ่านจินจื๋ออย่างระวัง “ท่านพี่จื๋อ กู้อ้าวเวยจะต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อมาแก้แค้นข้า อีกอย่างข้ารู้สึกว่าในตอนแรกก็เป็นนางนั่นแหละที่วางพิษให้ข้า นางฆ่าข้าไม่ตายมาแล้วหนึ่งรอบ จะต้องยัง...”

ซ่านจินจื๋อสอดมือของซูพ่านเอ๋อเข้าสู่ฝ่ามือของตนอย่างระวัง “นางจากไปแล้ว ก็มิอาจทำร้ายเจ้าได้”

“ท่านพี่จื๋อ...” ซูพ่านเอ๋อแทบจะถูกโน้มน้าวได้ในชั่วขณะนั้น

ใช่แล้ว ขอเพียงกู้อ้าวเวยออกไปจากวังอ๋องเสีย ออกไปจากข้างกายของซ่านจินจื๋อ อิงจากตำแหน่งพระชายาอันไร้ประโยชน์ใดๆ ของนางแล้ว พอจากไปยังจะทำอะไรได้อีกกันเล่า?

นางมองไม่เห็นแววเจ็บปวดที่ระยับแวบหนึ่งในดวงตาของซ่านจินจื๋อ

คืนนั้น กู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนรถม้าขององค์ชายสี่เพื่อกลับไปที่ร้านยาเหย้าอีกครั้งดั่งที่ปรารถนาไว้

ที่นี่จึงจะเป็นทุกอย่างของนาง

เวลาผันผ่าน ทั่วทั้งเทียนเหยียนก็เงียบเชียบเพราะอากาศอันหนาวเหน็บ

ซ่านจินจื๋อไม่เคยมาดูดำดูดีนางเลยในช่วงฤดูกาลอันหนาวสะท้านนี้ รอจนกระทั่งหิมะสี่ครั้งของหน้าหนาวมลายหายไปจนหมดสิ้น อากาศหนาวเย็นเยียบผันเปลี่ยนเป็นแสงแดดอันอบอุ่น เมืองเทียนเหยียนที่เงียบสงัดก็พลันฟื้นตัวขึ้นมาในบัดดล และข่าวลือที่ซุกซ่อนอยู่ใต้กองหิมะก่อนหน้านี้ก็พลันปะทุออกมา

กู้อ้าวเวยสวมเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ สวมผ้าโปร่งคลุมหน้าและแบกตะกร้ายาหนึ่งใบ ช่วงเอวยังคงแขวนเชือกแดงจี้แมว แล้วยังมีซุปเม็ดบัวอีกด้วย

ตอนที่กินอาหารอยู่ในร้านเกียวแผงลอยนางเองก็ระวังไม่ให้ผ้าคลุมหน้าหลุดลงมา และยิ่งปล่อยให้ผมของตนถูกผืนผ้าสีขาวรวบผมเอาไว้ กระทั่งมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่านางเป็นคนต่างแคว้น

“ก็บอกแล้วไง อ๋องจิ้งเป็นถึงเทพแห่งสงคราม ไหนเลยจะชอบคุณหนูใหญ่อวดดีขี้พยศคนนั้นแห่งตระกูลเฉิงเสี้ยงไปได้”

“ใช่แล้ว เมื่อก่อนนางอวดดีขนาดนี้ ตอนนี้ก็พบกับผลกรรมเข้าให้แล้วจริงๆ”

พวกคนปากสว่างลิ้นยาวเหล่านั้นมักจะมีความสุขในการทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียเสมอ

ถึงแม้จะรู้แก่ใจถึงหลักการข้อนี้ แต่ตอนที่ถูกวิจารณ์ กู้อ้าวเวยก็ยังคงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ พวกเขาคล้ายกับว่าลืมเลือนพระชายาจิ้งคนนั้นที่รักษาโรคให้ผู้คนไปตั้งนานแล้ว แต่นี่ก็คือสัจธรรม

“เถ้าแก่ ข้าเอาเงินวางไว้ตรงนี้แล้วนะ”

กู้อ้าวเวยกินชามนั้นของตนเสร็จแล้วทำเพียงจากไปหลังวางเงินลงเท่านั้น นางลัดเลาะไปบนท้องตลาดที่คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ทำเพียงมุ่งหน้าเดินไปทางประตูเมืองเทียนเหยียนอย่างแช่มช้า นางไม่สนใจว่านายพลที่เฝ้าประตูเมืองเหล่านั้นจะรู้จักนางหรือไม่ เพียงแค่เดินมุ่งออกไปด้านนอกเท่านั้น

“ข้าสูญเสียเขาไปแล้ว เพราะซ่านจินจื๋อ” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นลูบหน้าท้องของตนอย่างจนปัญญา หลุบหน้าต่ำ นับตั้งแต่ตอนนั้นมา นางก็ไม่อาจนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ฝันร้ายนั้นเปรียบดั่งแมลงชอนไชกระดูก

ยัยไง่หงถึงกลับหมดคำพูดไปชั่วขณะ

แต่เคราะห์ดีที่เมิ่งซู่เดินออกมาในเวลานี้พอดี เขามองตรงไปที่หน้าท้องราบเรียบของกู้อ้าวเวย แล้วไหนจะเสื้อผ้าสมถะชุดนั้นอีก ทำเพียงสาวเท้าเดินมาหยุดเบื้องหน้าของนาง “ข้าขออภัยที่มิอาจช่วยธุระใดๆ ท่านได้เลย”

“ไม่เป็นไร บางเรื่องมันก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว” กู้อ้าวเวยโบกมือ ก่อนเดินปาดไหล่ข้างกายของเขาไป มองสำรวจทุกสิ่งท่ามกลางเรือนหลังนี้อย่างละเอียด มองดูดอกไม้เล็กๆ ข้างกำแพงที่ยังไม่ถูกถอนกำจัด ในเรือนยังมีผลงานภาพวาดและงานเขียนพู่กันอีกไม่น้อย “ถ้าหากข้าเองก็สามารถอยู่ที่นี่ได้ทุกๆ วันก็คงดีสินะ”

ยัยไง่หงยังอยากเอ่ยถามต่อ แต่เมิ่งซู่กลับคว้านางเอาไว้อย่างรู้งาน พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ต้องให้นางรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาอีกแล้ว”

“ข้ารู้แล้ว ข้าแค่อยากถามนางว่าทานอะไรมาหรือยัง คิดดูแล้วข้าวปลาอาหารของวังอ๋องขี้เหนียวนั่นก็คงไม่ดีเท่าไรนักหรอก” ยัยไง่หงหัวเราะเบาๆ หลายที ก่อนวิ่งโซซัดโซเซไปหยุดอยู่ข้างกายกู้อ้าวเวย และคว้าแขนของนางอย่างเป็นกันเอง ซ้ำยังเอ่ยว่า “อาหารที่ข้าทำอร่อยมากเชียวนะ หากท่านชื่นชอบล่ะก็ ข้าจะไปทำให้ท่านเลย เพื่อเลี่ยงไม่ให้ข้าไปรับใช้นายน้อยผู้หยิ่งผยองคนนี้ไงเล่า”

เมิ่งซู่ยืนเอามือไพล่หลัง ก่อนหัวเราะอย่างจนปัญญา

เพื่อพะเน้าพะนอให้กู้อ้าวเวยสบายใจ ยัยไง่หงคนนี้ยังกล้าพูดอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ สินะ

“ข้าอยากกินซาลาเปา กลุ่มหมอเถื่อนในเรือนอยากให้ข้ากินแต่มังสวิรัติ” กู้อ้าวเวยกอดหนังสือของเมิ่งซู่ขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน และออกคำสั่งชี้มือชี้เท้ากับยัยไง่หง

“ได้เลย” ยัยไง่หงถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนวิ่งเข้าไปในครัวอย่างกระปรี้กระเปร่า

ผลักไสยัยไง่หงออกไปได้แล้ว กู้อ้าวเวยถึงได้มองไปทางเมิ่งซู่อย่างหนักอกหนักใจ “ดูท่าท่านยังมีอะไรอยากจะพูดกับข้าอยู่นะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์