คนที่ลู่จิ้นยวนส่งออกไปตามสืบนั้นสามารถเจอร่องรอยได้ในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งการตรวจสอบเนื้อเยื่อความเข้ากันได้ของไขกระดูกก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ล้วนจะทำได้
“นายครับ ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ ในช่วงเวลานี้คุณแม่ของเวินหนิงได้หาผู้บริจาคไขกระดูกเจอแล้วครับ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนครับ”
เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนงั้นเหรอ.......
นั่นไม่ใช่ช่วงที่หยงซือเหม่ยมาเจียงเฉิงพอดีอย่างงั้นเหรอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดก็กระจ่างแล้ว
หยงซือเหม่ยใช้เรื่องการบริจาคไขกระดูกทำข้อตกลงกับเวินหนิง หลังจากนั้นถึงได้เกิดเหตุขัดแย้งกันแบบเมื่อวาน
เป็นอันแน่ชัดแล้วว่าหลังจากที่เวินหนิงรู้ว่าตัวเขาได้รับบาดเจ็บ เธอก็ได้รีบมาหาในทันที นี่สามารถอธิบายได้ว่าภายในใจของเวินหนิงยังคงคิดถึงเขาอยู่ แต่เธอไม่เคยแสดงมันออกมาเท่านั้นเอง
อีกทั้งยังปฏิเสธเขาอีกด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องราวดังกล่าว ภายในใจของลู่จิ้นยวนก็รู้สึกยินดีมีความสุข แต่ก็มีความรู้สึกทรมานอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
ที่ดีใจก็คือ เวินหนิงไม่ได้รู้สึกหมดใจ แล้วไปรักกับชายอื่นเหมือนกับที่ตัวเขาจินตนาการคิดเอาไว้
และที่รู้สึกทรมานก็เพราะ ในใจของเวินหนิง ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงถูกจัดอันดับไว้รั้งท้ายสุดอยู่ตลอดกาล ถูกวางเอาไว้ในตำแหน่งที่มีความสำคัญน้อยที่สุด
ลู่จิ้นยวนรู้ว่าสุขภาพร่างกายอันแข็งแรงของไป๋หลินยวี่สำคัญกว่า เพียงแต่เมื่อคิดว่าเวินหนิงไปเจอกับเรื่องอะไรเข้า ก็ไม่คิดที่จะมาปรึกษาเขา และยังยอมที่จะไปทำข้อตกลงกับคนที่แปลกหน้าที่ไม่รู้จักอีก
ตัวเขานั้น ไม่สมควรที่จะได้รับความไว้วางใจอย่างงั้นเหรอ
เมื่อคิดได้ดังว่า แววตาของลู่จิ้นยวนก็หมองลง แต่ว่า ในทันทีต่อมาเขาก็ได้สลัดทิ้งซึ่งความหลายอารมณ์ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าทิ้งไป
“ส่งคนไปจับตาดูหยงซือเหม่ย ไม่ว่าต่อไปนี้เธอจะทำอะไร ให้รีบรายงานฉันทันที”
หลังจากที่ลู่จิ้นยวนสั่งการนี้ไปแล้ว เขาก็ลงไปนอนทิ้งตัวอยู่บนเตียง ปิดเปลือกตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด
……..
ทางด้านของเวินหนิงที่อยู่ดูแลไป๋หลินยวี่ที่กำลังทานข้าวเย็น เวินหนิงก็ออกมาพบคุณหมอกับซ่งรั่วอวิ้น ปรึกษาถึงเรื่องเวลาการผ่าตัดและขั้นตอนอย่างละเอียด
เพราะว่าความสอดคล้องของเนื้อเยื่อของซ่งรั่วอวิ้น ประกอบกับสถานะสภาพร่างกายของไป๋หลินยวี่ในตอนนี้ที่ถือได้ว่าคงที่อยู่ ดังนั้น จึงสามารถสรุปเวลาในการผ่าตัดได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะมีขึ้นในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้
อยู่ที่โรงพยาบาลมาเป็นเวลานาน เมื่อมาถึงช่วงเวลาสุดท้าย ภายในใจของเวินหนิงก็รู้สึกแน่นราวกับมีหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้อยู่
“ต่อไปนี้ พวกเธอตัดสินใจจะทำอะไรต่อ? ”
ซ่งรั่วอวิ้นมองไปที่เวินหนิง “เธอไม่คิดที่จะกลับไปทำความรู้จักกับตระกูลแท้ๆ ของเธอเหรอ? ”
เวินหนิงลังเลไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง
หลายปีมานี้ เธอไม่เหมือนกับตระกูลหยงที่ทำให้คนอิจฉาด้วยพลังอำนาจและเงินทองที่มีอยู่มากล้น เธอได้เจอกับเรื่องยากลำบากมามากมาย แต่ก็อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
ตอนนี้เธอยังมีลูกน้อยที่แสนน่ารัก ชีวิตและการงานก็กำลังค่อยๆ มุ่งไปในทิศทางที่ดี
เวินหนิงเป็นคนที่ขาดความรู้สึกปลอดภัยมาโดยตลอด หรืออาจจะบอกได้ว่าเธอไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงที่ขาดการคิดให้รอบคอบเสียก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ที่อยู่ตรงหน้าเธอก็คือบทเรียนจากซ่งรั่วอวิ้นที่ถูกนำไปทิ้งไว้กลางป่าลึกในหุบเขาให้หาทางเอาตัวรอดเอง ด้วยความจริงนี้ ตระกูลหยงจึงไม่ใช่สถานที่ๆ นึกอยากจะเข้าไปก็สามารถเข้าได้
เวินหนิงกังวลเป็นอย่างมากว่าถ้าหากกลับไปที่ตระกูลหยงจริง แล้วกลับไม่ชินกับการรบราฆ่าฟันกันของพวกตระกูลใหญ่ จะกลายเป็นหาเรื่องเข้าใส่ตัวเองเสียมากกว่า
“เรื่องนี้ ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลย”
ซ่งรั่วอวิ้นดูออกว่าเวินหนิงเป็นกังวล “ฉันเองก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรเธอเลย เพียงแค่อยากจะถามความเห็นเธอก็เท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเธอไม่อยากรู้จักพวกเขา ฉันเองก็เข้าใจได้”
“ฉันขอคิดดูก่อนนะ........แต่ ฉันรู้สึกว่าทำผลการตรวจยืนยันดีเอ็นเอไว้ก่อนจะดีกว่า ไม่แน่ว่า อาจจะมีเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมา เช่นฉันไม่ใช่สายเลือดของตระกูลหยง เพราะอย่างงั้นแล้วรีบไปก็อาจจะเป็นการเสียเกียรติไปเปล่าๆ ”
ได้เกิดเรื่องเลวร้ายเช่นเหตุการณ์หยงซือเหม่ยมาแล้ว เวินหนิงในตอนนี้เองก็ระวังตัวขึ้นมากเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินดังว่า ซ่งรั่วอวิ้นเองก็คิดว่ามีเหตุผล “ถ้าอย่างงั้นเรื่องนี้ก็ให้ฉันจัดการต่อเถอะ ปกติแล้วฉันก็เป็นคนพาเถ้าแก่มาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล รอให้หลังจากที่การผ่าตัดเสร็จสิ้น ฉันจะหาโอกาสให้พวกเธอได้ทำการตรวจยืนยันดีเอ็นเอ ทีนี้ผลลัพท์ก็จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดแล้ว”
หลังจากที่เจียงซินเฉียวกลับไปถึงบ้านได้ไม่นานนัก หลี่ซือหมิง สามีของเธอก็รีบกลับมาจากบริษัท ถามเธอถึงเรื่องลูกสาวในอดีตว่ามันเป็นมาอย่างไรกันแน่
เจียงซินเฉียวตื่นตระหนกไปทั้งหัวใจ นึกว่าเวินหนิงเอาเรื่องที่เมื่อก่อนเธอได้มีลูกกับผู้ชายคนอื่นป่าวประกาศไปทั่ว
ถ้าหากว่าคนตระกูลหลี่ทราบเรื่องเข้า เธอก็เป็นอันจบสิ้นแล้ว
ผลปรากฏว่า เมื่อสอบถามอย่างละเอียด กลับกลายเป็นลู่จิ้นยวนใช้เอกสารสัญญาของตระกูลหลี่มาเป็นเงื่อนไขข้อตกลง ให้เจียงซินเฉียวไปเยี่ยมลูกสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีแล้ว
เจียงซินเฉียวไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ลูกสาวที่ถูกเธอทอดทิ้งมานานหลายปีจะกลับไปรู้จักกับผู้มีอำนาจบางคนในตระกูลลู่ได้ ถึงขนาดที่ว่าให้ลู่จิ้นยวนมาพูดด้วยตัวเองเลย จึงได้ตกลงรับเงื่อนไขที่เย้ายวนนี้ไป
แน่นอนว่าตระกูลหลี่ไม่มีทางที่จะทิ้งโอกาสอันดีงามเช่นนี้ไปได้ จึงรีบตอบตกลงไปในทันที
หลี่ซือหมิงยิ่งรู้สึกว่า ในเมื่อไป๋ซินหรานมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลลู่ถึงขนาดนี้แล้ว งั้นไม่สู้รับเธอกลับมา หลังจากนั้น จะต้องได้รับผลประโยชน์กำไรเป็นกอบเป็นกำแน่นอน
ได้ยินเจียงซินเฉียวพูดดังว่า เวินหนิงก็ไม่กล้าที่จะตอบตกลงอย่างไม่คิด รู้สึกว่าเรื่องนี้มีกลิ่นอายที่น่าสงสัยแผ่ออกมาเต็มไปหมด ท่าทางอารมณ์ถึงได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
หรือว่าเหอจื่ออันได้แก้ปัญหาอะไรไปแล้ว
เวินหนิงโทรศัพท์ออกไปถามสถานการณ์กับเหอจื่ออัน
“จื่ออัน นายไปพูดอะไรกับเจียงซินเฉียวเธอถึงได้ยอมมาดูซินหรานได้หรือเปล่า”
เหอจื่ออันขมวดคิ้วยุ่ง “ไม่นะ ฉันเตรียมไปวันพรุ่งนี้ต่างหาก”
ตั้งแต่ปีนั้นที่เวินหนิงสูญเสียความทรงจำไป เหอจื่ออันก็ไม่อยากที่จะคิดถึงเรื่องนั้นเพราะอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ จึงได้ออกมาจากเจียงเฉิงเลย ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ บรรดาสังคมที่เขาได้คบหาในตอนแรกส่วนใหญ่ก็ได้แยกทางออกมาหมดแล้ว
ดังนั้น เมื่อเหอจื่อคิดที่อยากจะทำอะไร ก็ไม่มีทางที่จะได้ทำตามใจชอบแบบเมื่อก่อนได้แล้วจริงๆ
“อื้ม เข้าใจแล้ว”
เวินหนิงได้ยินดังว่าก็ลูบคางของตัวเอง หรือว่าเจียงซินเฉียวจะรู้สำนึกแล้วอย่างงั้นเหรอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก