หน้าประตูพระราชวัง
รถม้าจอดลง จวินหย่วนโยวประคองหยุนถิงลงจากรถม้า ติดตามซูกงกงเดินเข้าไปทางประตูพระราชวัง
แต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้ไปตำหนักด้านข้าง แต่ไปที่วังหลัง
“กงกง นี่ไม่ใช่ทางที่มาครั้งก่อนใช่ไหม?” หยุนถิงถาม
“ใช่แล้ว ฝ่าบาทประทับอยู่ที่ตำหนักของหลิ่วเฟย สั่งให้บ่าวพาคุณหนูหยุนไปที่ตำหนักหลิ่วเฟยโดยเฉพาะ” ซูกงกงตอบ
“หลิ่วเฟย?” หยุนถิงมองไปทางจวินหย่วนโยว
“หลิ่วเฟยเป็นหนึ่งในบรรดาพระสนมทั้งสี่ของฝ่าบาท ลูกสาวของกั๋วเซี่ยง หลานสาวแท้ๆของไท่เฮาองค์ปัจจุบัน เพราะไม่ค่อยสบาย จึงไม่ค่อยพบแขก โดยพื้นฐานแล้วพิธีใหญ่น้อยในพระราชวังก็ไม่เข้าร่วมเช่นกัน ดังนั้นคนจำนวนมากไม่ค่อยได้เคยเห็นหลิ่วเฟยมาก่อน แต่ฝ่าบาททรงใส่ใจหลิ่วเฟยมาก คาดว่าคงต้องการจะให้เจ้าช่วยตรวจสุขภาพให้นาง” จวินหย่วนโยวกล่าวอธิบาย
หยุนถิงเข้าใจในทันที มิน่าจู่ๆฝ่าบาทถึงเรียกพบนาง ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง
บ่อนพนันของซวนอ๋องก็ถูกนางท้าประลองแล้ว พิษกร่อนวิญญาณก็ยังไม่สามารถทำให้นางตายได้ แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ก็สงสัยนางแล้ว ดังนั้นถึงได้เรียกพบนางใช่ไหม
“ภูมิหลังของหลิ่วเฟยคนนี้ทรงพลังเช่นนี้ ทำไมไม่เป็นฮองเฮาล่ะ?” หยุนถิงถามด้วยความไม่เข้าใจ
ซูกงกงตกใจจนแส้ขนหางจามจุรีที่อยู่ในมือสั่นขึ้นมา เกือบจะหล่นลงบนพื้น“เจ้าประคูนทูนหัวของบ่าว คำพูดนี้จะพูดออกมาโดยพลการไม่ได้ หากท่านไหนในวังได้ยินเข้า นั่นเป็นโทษตัดคอเชียวนะ คุณหนูหยุนท่านอย่าทำให้บ่าวติดร่างแหไปด้วยเลย”
“ซูกงกงท่านต้องขนาดนี้เลยหรือ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น แล้วที่นี่ก็มีแค่เราสามคนเท่านั้น ไม่มีใครได้ยินหรอก” หยุนถิงไม่เห็นด้วย
ซูกงกงทำหน้าหมดคำจะพูด“กำแพงมีหูหน้าต่างมีช่อง คุณหนูหยุนโปรดระวังกิริยาและคำพูดเอาไว้ดีกว่า”
“กงกงกล่าวถูกแล้ว ดังนั้นคนอย่างข้าจึงไม่เหมาะกับการเข้าวัง มิเช่นนั้นหนึ่งเดือนก็ต้องสิ้นลมหายใจแล้วมั้ง” หยุนถิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“ท่านยังคิดว่าหนึ่งเดือน เกรงว่าแค่วันเดียวก็ไม่รอดแล้ว” ซูกงกงอดแขวะไม่ได้
หยุนถิงยิ้มอย่างเคอะเขิน“ดังนั้นแล้ว ข้าที่เป็นอิสระไม่เป็นระเบียนเช่นนี้ เหมาะสมกับคนที่คอยเอาใจข้า ไม่ตระหนี่เกินไป และห้ามควบคุมข้ามากเกินไปอย่างเช่นซื่อจื่อของข้าที่สุดแล้ว”
“เกรงว่าทั่วทั้งใต้หล้า คงหาคนอย่างจวินซื่อจื่อไม่เจอเป็นคนที่สองแล้ว” ซูกงกงฮึออกมา
จวินซื่อจื่อดีไปหมดทุกอย่าง แค่อายุไม่ยืนเท่านั้น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องยอมปรับตัวขนาดนี้นี่นา ทำไมถึงได้หาผู้หญิงที่หยาบคายไร้ที่เปรียบ แถมยังอัปลักษณ์อย่างหยุนถิงผู้นี้ ซูกงกงไม่เข้าใจจริงๆ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ซื่อจื่อของข้าโปรดปรานข้าคนเดียว” หยุนถิงกล่าวอย่างได้ใจ
“เจ้านี่นะ” นัยน์ตาของจวินหย่วนโยวมีความจนใจแวบผ่านไป
ทั้งสามคนตรงไปยังลานของหลิ่วเฟยโดยตรง ระหว่างทางเดินผ่านทางเดินแห่งหนึ่ง หยุนถิงได้ยินเสียงด่าว่าเหยียดหยาม
นางหันไปมอง ก็เห็นขันทีน้อยสองคนกำลังข่มเหงรังแกคนผู้หนึ่งอยู่ โยนอาหารทั้งหมดลงไปบนพื้น ยังจงใจกดศีรษะของคนผู้นั้นเอาไว้ให้เขากินอาหารที่อยู่บนพื้น
“ขยะไร้ค่าอย่างเจ้ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปเสียดีกว่า ยังเป็นถึงไท่จื่ออะไรกัน แต่กลับถูกส่งมาเป็นตัวประกันตั้งแต่เด็ก พ่อแม่เจ้าเกรงว่าคงไม่ต้องการเจ้าแล้ว ใช้ชีวิตที่แย่ยิ่งกว่าหมูยิ่งกว่าหมา หากข้าเป็นเจ้าคงเอาหัวโขกกำแพงตายไปแล้ว จะได้ไม่สิ้นเปลืองอาหารของแคว้นต้าเยียนเรา” ขณะที่ขันทีด่าว่า ก็เตะต่อยคนผู้นั้นไปด้วย
ขันทีอีกคนหนึ่ง เก็บอาหารที่หกเรี่ยราดบนพื้นขึ้นมา ยัดเข้าไปในปากของคนผู้นั้น ขณะที่ยัดไป ก็เยาะเย้ยถากถางไปด้วย
และคนที่อยู่บนพื้นคนนั้นถูกคว้าคอเสื้อเอาไว้ ปล่อยให้ขันทีสองคนนั้นด่าว่าทุบตีตามอำเภอใจ แต่กลับไม่ได้โต้ตอบ และไม่ดิ้นรน ราวกับซากศพที่เดินได้
หยุนถิงมองอย่างขมวดคิ้ว“ให้ตายเถอะ ข้าเกลียดพวกที่อาศัยบารมีของนายกดขี่ข่มเหงคนอื่นที่สุด” ขณะที่พูดไป เข็มเงินในมือของหยุนถิงก็ลอยออกไป
“ขอรับ ต่อไปเราไม่กล้าอีกแล้ว” ขันทีสองคนจากไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน
หยุนถิงหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกมายื่นให้กับชางหลันเย่“เช็ดหน่อยเถอะ วันหน้าอย่าทนรับความลำบากอย่างไม่ขัดขืนอีก คนดีถูกคนรังแก ม้าดีถูกคนขี่ หากตัวเจ้าเองยังไม่ตอบโต้ ใครจะมีเมตตาต่อเจ้า”
ชางหลันเย่มองไปทางหยุนถิงอย่างตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ เขาถูกส่งมาเป็นตัวประกันที่แคว้นต้าเยียนตั้งแต่เจ็ดขวบ ทุกคนมีแต่รังแกและเหยียดหยามทำให้เขาอับอาย ไม่เคยมีใครพูดเช่นนี้กับเขามาก่อน
เห็นเขามองตัวเองอย่างตะลึงงัน ไม่มีความเคลื่อนไหว หยุนถิงยัดผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมเข้าไปในมือของเขา“มีชีวิตต่อไปให้ดี สักวันหนึ่งเจ้าจะได้กลับไปยังบ้านเกิดของเจ้า”
ระหว่างที่ชางหลันเย่ตกตะลึง หยุนถิงก็จากไปแล้ว
ไม่ไกลออกไปจวินหย่วนโยวมองดูอยู่ตลอด มองไปทางผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมในมือของชางหลันเย่ สีหน้าของจวินหย่วนโยวเย็นชาลงมาทันที แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
ไม่ว่าหยุนถิงต้องการจะทำอะไร เขาก็สนับสนุนทั้งนั้น แต่ไม่รวมเรื่องที่นางมอบสิ่งของให้ชายอื่น
ชำเลืองไปทางชางหลันเย่ รูม่านตาดำของจวินหย่วนโยวหรี่ขึ้นมาเล็กน้อย
หยุนถิงเดินเข้ามา คล้องแขนของจวินหย่วนโยวเอาไว้“ซื่อจื่อ เราไปกันเถอะ”
“กลับไปมอบผ้าเช็ดหน้าให้ข้าสิบผืน ยังต้องเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าปักเองกับมือด้วย” จวินหย่วนโยวกล่าวด้วยใบหน้ามืดมน
“แต่ว่าข้าปักไม่เป็นนี่นา?” หยุนถิงกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ
“เช่นนั้นก็ฝึกสิ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่หยุนถิงเห็นซื่อจื่อแข็งกร้าวเช่นนี้ นึกถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ก็เข้าใจทันที“ซื่อจื่อนี่ท่านกำลังหึงหวงอยู่ใช่ไหม แต่ว่าข้าปักผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมไม่เป็นจริงๆ กลับไปข้าทำพัดให้ท่านเป็นอย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ
อัพต่อด้วยจ้า...
รอตอนต่อจ้า...
แต่ละบทที่่อ่านแล้ว ควรมีสีหรือเครื่องหมายที่แตกต่างกัน ผู้อ่านจะได้ทราบว่าเรืื่องนี้อ่านไปถึงบทไหนแล้ว...
รำคานโฆษณาที่เลื่อนเข้ามา เข้าใจได้ว่าต้องหารายได้ แต่ควรนำไปวางไว้ด้านล่างสุด ไม่ด้านซ้ายก็ด้านขวา จะได้ไม่เสียอารมณ์ในการอ่าน ปกติโฆษณาที่อยู่ระหว่างหน้าก็ใหญ่และมากอยู่แล้ว...
ขอร้องทงทีมงานช่วยอัพเดทจนจบด้วยนะคะ😭😭😭😭😭...
เรื่องนี้ทางทีมงานจะอัพเดทต่อมั้ยค่ะ😭...
รอตอนใหม่อยู่นะคะ😭🙏🏻...
เมื่อไหร่จะอัพเพิ่มค่ะหายไปเป็นเดือนแล้วนะ...
รอค่ะ ตามเรื่องนี้มานานมาก อัพตอนต่อจาก 1070 ให้หน่อยค่ะ...
สนุกมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะรบกวนลงต่อให้จบด้วยค่ะ กำลังสนุก...