สีหน้าของโม่ฉือหานมืดลงในทันที "จะได้ที่หนึ่งก็ต่อเมื่อเข้าสู่การชิงรอบสุดท้าย พึ่งแข่งไปรอบแรกก็จะตัดสินให้ได้ที่หนึ่งได้อย่างไรกัน อีกอย่างยังไม่ได้ลิ้มรสอาหารของผู้อื่นเลย เช่นนี้มันไม่ยุติธรรม"
"ปีนี้กระหม่อมอายุเจ็ดสิบหกปีแล้ว เคยลิ้มรสอาหารแสนอร่อยของทั่วแคว้นมา สิ่งที่คนอื่นทำส่วนมากก็เป็นขนมดอกท้อ โจ๊กดอกท้อ น้ำแกงดอกท้อ และเหล้าดอกท้อ ของเช่นนี้มีเต็มไปทั่ว ไม่มีอะไรแปลกใหม่ นอกจากโจ๊กน้ำแข็งดอกท้อของคุณหนูหยุนกระหม่อมยังพึ่งเคยเห็นครั้งแรก ดังนั้นจึงคู่ควรที่หนึ่งอยู่แล้ว” ท่านกัวอุทาน
คนอื่นๆ ต่างก็เห็นพ้องต้องกัน พวกเขาไม่เคยเห็นโจ๊กน้ำแข็งดอกท้อเช่นนี้มาก่อนจริง
"เสด็จพี่ แม้ว่าอันดับที่หนึ่งจะถูกตัดสินก็ต่อเมื่อรอบแข่งรอบสุดท้าย แต่หากมีที่หนึ่งในรอบการแข่งขันรอบแรกก็ไม่มีข้อขัดแย้งอะไรกัน เพียงแค่ให้รางวัลเล็กน้อยก็พอแล้ว ข้ากล้ารับรองว่าเพียงแค่โจ๊กน้ำแข็งดอกท้อต่อให้เป็นรอบแข่งรอบสุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถทำได้แน่นอน สี่แคว้นยิ่งไม่มีเลย" องค์ชายสี่โม่ฉือเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา
ฝ่าบาทคิดแล้วก็รู้สึกว่าจริง หยุนถิงเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา ทุกครั้งนางก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่วิกฤตด้วยความเฉลียวฉลาดของนาง โดยเฉพาะโจ๊กน้ำแข็งดอกท้อในวันนี้ ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ที่มีต่อนาง
“ฝ่าบาท พอถึงฤดูร้อนก็เสวยโจ๊กน้ำแข็งดอกท้อนี้ คงสดชื่นน่าดู” หลิ่วเฟยพูดไกล่เกลี่ย
"โจ๊กน้ำแข็งดอกท้อถูกใจข้ายิ่งนัก หยุนถิงไม่เพียงแต่ฝีมือการทำอาหารเก่งเท่านั้น ความสร้างสรรค์ก็ไม่เลวนัก เช่นนี้ก็ตัดสินให้โจ๊กน้ำแข็งดอกท้อเป็นที่หนึ่งของการแข่งขันรอบแรกนี้ มอบทองคำร้อยตำลึง” ฝ่าบาทกล่าว
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีปรีชาญาณ” หยุนถิงรีบคารวะทันที
ว่าแล้วนางไม่ได้ใส่ใจทองคำร้อยตำลึงนี้เลย แต่สามารถทำให้โม่ฉือหานไม่สบายใจ สะใจยิ่งนัก
ว่าแล้ว สีหน้าของโม่ฉือหานเย็นชาราวกับเกล็ดน้ำแข็ง ดวงตาคู่แดงจ้องมองหยุนถิงด้วยความโกรธ อยากจะหั่นนางให้เป็นชิ้นๆ ผู้หญิงคนนี้น่าเกลียดยิ่งนัก
กงกงคนนหนึ่งยกแท่งทองคำสองแท่งมา หยุนถิงถือแท่งทองคำเอาไว้ เดินกลับไปอย่างได้ใจ
เมื่อเห็นว่าหยุนถิงได้ที่หนึ่ง มู่ซิวหลันและอู่เสี่ยวหร่านต่างก็ดีใจยิ่งนัก เหมือนตื่นเต้นกว่าที่พวกเขาผ่านการแข่งขันรอบแรกด้วยซ้ำ
“คุณหนูหยุน ท่านชั่งเก่งยิ่งนัก” มู่ซิวหลันพูดอย่างตื่นเต้น
"ใช่ ฝีมือการทำอาหารของคุณหนูหยุนนั้นเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและจะไม่มีอีกในในอนาคตอย่างแน่นอน" อู่เสี่ยวหร่านก็นับถือยิ่งนัก
"เรื่องธรรมดา แล้วเจ้าทำอะไรไป?" หยุนถิงมองไปที่อู่เสี่ยวหร่าน
“ที่ข้าทำคือเหล้าดอกท้อ แต่เดิมอยากให้ท่านช่วยข้าดูหน่อย แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนท่าน” ”อู่เสี่ยวหร่านพูดอย่างเขินอาย
“ไม่ต้องเกรงใจ มา ข้าดูหน่อย”
อู่เสี่ยวหร่านรีบนำไหสุราออกมาแล้วเปิดฝาทันที
หยุนถิงเข้าใกล้แล้วดม กลิ่นจางไปหน่อย หยิบชามสะอาดจากโต๊ะข้างๆมาหนึ่งชาม ให้อู่เสี่ยวหร่านเทออกมานิดหน่อย หยุนถิงชิมดู
“คุณหนูหยุน ท่านรู้สึกเป็นอย่างไร?” อู่เสี่ยวหร่านถามด้วยความตื่นเต้น
"รสชาติจางไปหน่อย ปกติทุกคนทำเหล้าดอกท้อก็เป็นแบบนี้หรือ?" หยุนถิงมองมา
อู่เสี่ยวหร่านพยักหน้า "ข้าก็ทำตามวิธีทั่วไป ปกติแล้วเหล้าดอกท้อก็ต้องใช้เวลาดองอย่างน้อยสองหรือสามปีถึงจะอร่อย อันนี้ของข้าเทียบไม่ได้อยู่แล้ว"
หลักๆแล้วเหล้าต้องผ่านการหมัก อู่เสี่ยวหร่านใช้ความพยายามมากเช่นนี้ก็มีเพียงรสชาติของจางๆของดอกท้อเท่านั้น บอกว่าเป็นเหล้า บอกว่าเป็นน้ำที่มีกลิ่นเหล้าหน่อยดีกว่า
หยุนถิงหลับตาลง และเข้าไปในมิติทันที หาผงยาเพื่อเร่งการหมัก เพียงชั่วพริบตา เมื่อนางลืมตาขึ้นมาอีกที ในมือก็มีขวดยาหนึ่งขวดแล้ว
"ลองนี่ดูสิ" หยุนถิงเปิดฝา เทผงยาขวดนั้นลงไปแล้วปิดฝา
“อย่าเพิ่งเปิด เดี๋ยวถึงแล้วเจ้าค่อยเปิด” หยุนถิงกล่าว
แม้จะไม่รู้ว่าหยุนถิงเทอะไรลงไป แต่อู่เสี่ยวหร่านก็เชื่อนางอย่างอธิบายไม่ถูก "อืม"
สีหน้าของหยุนหลิงมืดครึ้ม ต่างก็เป็นพี่น้องกัน หยุนถิงกลับปฏิบัติต่อพวกนางทั้งสองดียิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นขนม ของว่าง หรือโจ๊กน้ำแข็ง แต่กลับไม่ให้เพียงนางผู้เดียว ในขณะนี้หยุนหลิงเกลียดหยุนถิงยิ่งนัก
“ข้าไม่ได้อยากได้ด้วยซ้ำ” หยุนหลิงทิ้งประโยคนี้ไว้ แล้วจากไปด้วยความโกรธ
ซ่างกวนหรูมองดูยุนหลิงที่จากไปด้วยท่าทางที่โมโห ก็เกิดแผนการบางอย่างขึ้นในใจ หยุนหลิงไม่พอใจกับหยุนถิงมากเช่นนี้ สามารถหลอกใช้นางได้
มู่ซิวหลันกำลังรอคิวให้ผู้ตัดสินชิม ไม่นานก็ถึงเขา ทุกคนเห็นในมือของเขาถือพระพุทธรูปองค์เล็กที่แกะสลักจากไม้ ต่างก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
"นี่คือสิ่งของที่เจ้านำมาประกวดหรือ?" ผู้ตัดสินคนหนึ่งถาม
“ใช่” มู่ซิวหลันตอบ วางไม้แกะสลักไว้บนโต๊ะแล้วกดนิ้วของมัน
ทันใดนั้น ก็มีน้ำสีชมพูไหลออกมาจากยอดศีรษะของพระพุทธรูป ไหลไปสู่ใบไม้บนมือซ้ายของเขา และสุดท้ายก็ไหลลงสู่ชามที่อยู่หว่างขานั้น โดยไม่ติดขาด แถมไหลวนไปวนมาอย่างไม่สิ้นสุด
ทำเอาทุกคนตกตะลึงกันหมด ไม่คาดคิด หันมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“สิ่งที่ทุกคนทำล้วนเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นขนมหรือข้าวหมักต่างก็ธรรมดาเกินไปแล้ว คิดว่าผู้ตัดสินทุกคนต่างก็ได้ชิมมามากพอแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ทำของกิน แต่กลับทำเป็นกลอน
อันโพธิ์พฤกษ์แท้ทีมิมีต้น เรือนคันฉ่องนิรมลหามีไม่ แท้ทุกอย่างว่างเปล่าสิ้นไร้ แล้วไฉนพานต้องฝุ่นผงคลี หนึ่งดอกดั่งหนึ่งภพ หนึ่งใบดั่งหนึ่งโพธิ์ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าอยากสื่อ"มู่ซิวหลันอธิบาย
มือที่อยู่ในแขนเสื้อของเขาตื่นเต้นจนกำแน่นเป็นกำปั้น ในฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ
ฝ่าบาทที่ทรงนั่งอยู่บนที่สูงนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มเพียงเท่านี้ก็เข้าใจกลอนเช่นนี้ สามารถเห็นกฎและการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินอันกว้างใหญ่ผ่านดอกไม้ดอกเล็กๆดอกหนึ่งได้ ช่างทำให้เขาน่าทึ่งยิ่งนัก
“กลอนเมื่อครู่นี้เจ้าไปฟังจากไหนมา?” ฝ่าบาทถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ
อัพต่อด้วยจ้า...
รอตอนต่อจ้า...
แต่ละบทที่่อ่านแล้ว ควรมีสีหรือเครื่องหมายที่แตกต่างกัน ผู้อ่านจะได้ทราบว่าเรืื่องนี้อ่านไปถึงบทไหนแล้ว...
รำคานโฆษณาที่เลื่อนเข้ามา เข้าใจได้ว่าต้องหารายได้ แต่ควรนำไปวางไว้ด้านล่างสุด ไม่ด้านซ้ายก็ด้านขวา จะได้ไม่เสียอารมณ์ในการอ่าน ปกติโฆษณาที่อยู่ระหว่างหน้าก็ใหญ่และมากอยู่แล้ว...
ขอร้องทงทีมงานช่วยอัพเดทจนจบด้วยนะคะ😭😭😭😭😭...
เรื่องนี้ทางทีมงานจะอัพเดทต่อมั้ยค่ะ😭...
รอตอนใหม่อยู่นะคะ😭🙏🏻...
เมื่อไหร่จะอัพเพิ่มค่ะหายไปเป็นเดือนแล้วนะ...
รอค่ะ ตามเรื่องนี้มานานมาก อัพตอนต่อจาก 1070 ให้หน่อยค่ะ...
สนุกมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะรบกวนลงต่อให้จบด้วยค่ะ กำลังสนุก...