จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ นิยาย บท 208

จางซือจู่มองไปยังหลินหยุน สีหน้าแปลกประหลาดมาก เหมือนว่าจะร้องไห้ แต่ก็ดูเหมือนจะหัวเราะ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

มองดูสีหน้าที่ขุ่นเคืองของจางซือจู่แล้ว หลินหยุนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“ไอ้หมอ ถ้าแกเสียใจ งั้นก็ร้องไห้ออกมาเลย!” ไอ้หินที่อยู่ข้างๆพูดเตือนขึ้น

จางซือจู่ชกไปที่หน้าอกของหลินหยุนอย่างแรง “หลินหยุน แกนี่ไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนกันเลย ที่แท้แกกับเทพธิดาก็รู้จักกันมาก่อนแล้ว ยังมาปิดบังพวกเราจนถึงทุกวันนี้!”

หยางเทียนโย่วก็แสดงสีหน้าคับแค้นใจ “พูดถูกที่สุดเลย หลินหยุนปิดบังเรื่องนี้ได้ลึกลับมาก เดิมทีพวกเรายังเป็นห่วงแกที่ยังไม่หายเสียใจที่ถูกเทจากเถียนชุ่ยชุ่ย นึกไม่ถึงเลยว่าแกกลับแอบไปจีบเทพธิดาอีหลิงมาได้แล้ว”

หลินหยุนมองดูสองคนนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “พวกแกไม่โกรธฉันเหรอ?”

จางซือจู่พูดด้วยความโมโหว่า “ทำไมจะไม่โกรธล่ะ? แกแย่งเทพธิดาของฉันไป ถ้าเป็นคนอื่นฉันก็จะเข้าไปสู้ตายกับเขาเลย”

“แต่ว่า พอนึกถึงตอนที่กู้ซิวหรั่นนั่งแบะท่าหมดสภาพอยู่กับพื้น ด้วยอาการท่าทางที่ขวัญหนีดีฝ่อ ฉันก็เลยยอมให้อภัยแกแล้ว”

“ฮ่าๆ กู้ซิวหรั่นปกติชอบวางท่าเหมือนลูกพี่ใหญ่เที่ยวดูถูกคนอื่น แล้วยังประกาศไปทั่วว่าเทพธิดาอีหลงเป็นเพื่อนสาวที่เขาจองไว้แล้ว หน้านี้คงถูกตบจนหน้าแตกหมอไม่รับเย็บไปแล้วมั้ง!”

อย่างไรก็ตาม หลินหยุนพยายามต่อสู้ตามที่คาดหวังไว้ ก็ล้วนไม่ได้มา แต่กลับได้รับคำชมเชยจากเพื่อนเลวๆไม่กี่คน

แต่ว่า เวลาต่อจากนี้ไป มีหลายคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ถึงกับบังคับให้หลินหยุนเล่ารายละเอียดทุกขั้นตอนเกี่ยวกับเรื่องที่เริ่มรู้จักกับอีหลิง

หลินหยุนออกจากงานฉลองของสถาบันเร็วขึ้นกว่ากำหนด ไม่เช่นนั้นแล้วต้องถูกผู้คนรุมล้อมจนหายใจไม่ออกอย่างแน่นอน

หลินหยุนไม่ได้กลับเข้าห้องพัก แต่กลับไปที่ทะเลสาบเยว่หยา

เพื่อนเลวๆที่สถาบันเขาก็ไปพบมาแล้ว ตอนนี้ควรจะเป็นเวลาที่ฝึกฝนบำเพ็ญตนแล้ว

เมื่อกลับมาถึงทะเลสาบเยว่หยาแล้ว ซูหนันกำลังฝึกบำเพ็ญตนอยู่ในสวน หลินหยุนไม่อยากรบกวนเขา จึงค่อยๆย่องขึ้นไปบนดาดฟ้า

ด้วยพละกำลังของหลินหยุนตอนนี้ ภายในหนึ่งเดือนไม่ต้องกินอาหารไม่ต้องดื่มน้ำก็ไม่ใช่ปัญหาเลย

วันรุ่งขึ้น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประชาชนโจวชิงเหอโทรศัพท์เข้ามาหา

“หมอเทพหลิน ท่านอยู่ที่ไหนครับ?” น้ำเสียงของโจวชิงเหอดูเหนื่อยล้ามาก แต่เต็มไปด้วยความหวัง

“ผู้อำนวยการโจว เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?” หลินหยุนถามอย่างเรียบง่าย

“หมอเทพหลินครับ คราวนี้คุณจะต้องมาช่วยแล้ว ช่วยชีวิตของเด็กยี่สิบแปดคนด้วย! นอกจากคุณแล้ว ผมนึกไม่ออกจริงๆว่ายังมีใครที่สามารถช่วยได้อีกแล้ว” น้ำเสียงของโจวชิงเหอเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและจนหนทาง

หลินหยุนสีหน้าหวั่นไหวเล็กน้อย “งั้นเจอหน้าแล้วค่อยคุยกันครับ!”

ตอนเช้าเวลาสิบโมง หลินหยุนและโจวชิงเหอนัดเจอกันที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง

ดวงตาของโจวชิงเหอแดงก่ำ สีหน้าซีดเซียว ถุงใต้ตาห้อยลง ดูราวกับว่าแก่ไปสิบปีเมื่อเทียบกับเมื่อไม่กี่เดือนก่อน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?” หลินหยุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

น้ำเสียงของโจวชิงเหอสั่นเครือ “หมอเทพหลินครับ แผนกเด็กแรกเกิด ของโรงพยาบาลประชาชน มีเด็กยี่สิบแปดคนเกิดอาการปอดติดเชื้ออักเสบ แต่ว่าได้ใช้ยาฆ่าเชื้อทุกชนิดแล้ว อาการก็ไม่เห็นดีขึ้นเลย”

“ทางเมืองหลวงนั้นก็ได้รวบรวมนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงมากมาย จัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญขึ้นมา ได้มาถึงเกือบสามวันแล้ว แต่ก็ยังหาวิธีรักษาไม่ได้เช่นเดิม มองดูเด็กๆทั้งยี่สิบแปดคนนั้นค่อยๆ.....”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ โจวชิงเหอก็แทบจะทนพูดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

หลินหยุนเข้าใจจิตใจของโจวชิงเหอดี รู้ว่าเขาเป็นหมอที่ดีมีจรรยาบรรณวิชาชีพคนหนึ่ง

“พาผมไปดูหน่อยเถอะครับ!”

โจวชิงเหอรู้ว่าหลินหยุนเป็นคนชอบเงียบสงบ เดิมทีคิดจะไปขอร้องหลินหยุนให้ช่วยเหลือ ไม่นึกเลยว่ายังไม่ทันรอให้เขาเอ่ยปาก หลินหยุนก็ตกลงแล้ว

“ได้ครับ หมอเทพหลินเชิญตามผมมาครับ!”

ภายในห้องประชุมใหญ่ โรงพยาบาลประชาชน

ภายในห้องประชุมผู้คนนั่งเต็มไปหมด ล้วนแต่เป็นผู้สูงวัยที่มีอายุห้าสิบปีขึ้นไปทั้งนั้น ทุกคนในที่นี่้ ก็ล้วนมีตำแหน่งระดับสูงในวงการแพทย์ของประเทศจีนทั้งนั้น

ตอนนี้ สีหน้าของทุกคนล้วนแสดงท่าทีจนปัญญาไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไร

ผู้สูงวัยที่ผมหงอกครึ่งศีรษะในชุดจีนสีดำคนหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมยิ่งนัก กวาดสายตาที่น่าเกรงขามมองไปยังทุกคนแล้วพูดว่า “ถ้าหากยังหาสาเหตุของโรคไม่พบ ชีวิตเด็กทั้งยี่สิบแปดคนนี้ก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว”

“อย่าเพิ่งพูดว่าผู้ปกครองของเด็กพวกนี้จะเสียใจขนาดไหน เพียงแค่การรายงานข่าวของพวกสื่อมวลชน ก็มากพอที่จะทำให้วงการแพทย์ของประเทศจีนขายหน้ากันไปทั่วแล้ว”

“นี่มันจะต้องเป็นความอัปยศอดสูงที่ร้ายแรงในประวัติศาสตร์การแพทย์ของประเทศจีนของพวกเราเลยทีเดียว!”

หมอเทพเย่แห่งเมืองหลวง ได้รับขนานนามว่าราชาเข็มเทพ เป็นสุดยอดของหนึ่งในสี่หมอเทพใหญ่แห่งเมืองหลวง

เป็นที่ร่ำลือกันว่า หมอเทพเย่คนนี้ เป็นทายาทของตระกูลแพทย์แผนจีนที่ลี้ลับในตำนาน

ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่า รูปร่างสูงใหญ่ ทะมัดทะแมง เดินเข้ามาอย่างคล่องแคล่วว่องไว

ตามหลังด้วยชายหนุ่มที่รูปงามคนหนึ่ง

“ผมมาสายไป หวังว่าท่านประธานถังคงไม่ถือโทษโกรธนะครับ!” หมอเทพเย่ยกมือ คารวะ พูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาน

ถังกั๋วหัวรีบเดินไปข้างหน้า จูงมือหมอเทพเย่ด้วยความสนิทสนม พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ไม่สายไม่สายครับ หมอเทพเย่มาได้ทันเวลาพอดีเลย!”

“ท่านหมอเทพเย่!” ทุกคนในห้องประชุมก็ลุกขึ้นมาทำความเคารพหมอเทพเย่

ถึงแม้ว่าหมอเทพเย่ไม่ได้ทำงานประจำอยู่ที่สมาคมการแพทย์แห่งประเทศจีน แต่ด้วยความสามารถที่มีอยู่นั้น ต่อให้เป็นประธานสมาคมการแพทย์แห่งประเทศจีน ก็ยังต้องเคารพนับถือเขาเป็นพิเศษ

หมอเทพเย่ไม่มีท่าทีหยิ่งยโสแม้แต่นิดเดียว ยืนตรงโค้งคำนับตอบรับ “สวัสดีครับ สหายผู้ร่วมอาชีพทุกท่าน!”

ถังกั๋วหัวก็รีบโบกมือ พูดอย่างทนรอไม่ไหวว่า “หมอเทพเย่ อย่าเพิ่งมีพิธีรีตองมากเลย ชีวิตของเด็กยี่สิบแปดคนอยู่ในขั้นวิกฤติ ท่านรีบตามผมไปดูหน่อยเถอะ!”

หมอเทพเย่สีหน้าเคร่งขรึม “รบกวนท่านประธานถังนำทางไปด้วย!”

ภายในห้องฉุกเฉินNICU เด็กทารกจำนวนยี่สิบแปดคนนอนอยู่ในตู้อบ มีหลายคนที่ปอดติดเชื้ออักเสบรุนแรง ก็ได้ต่อท่อออกซิเจนในการช่วยหายใจ

หมอเทพเย่ตรวจชีพจรของเด็กคนหนึ่ง ใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วโมงเต็ม

หลังจากนั้น ก็เดินออกมาจากห้องผู้ป่วย ถามอย่างเคร่งขรึมว่า “ประธานถังช่วยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับรายละเอียดอาการป่วยของเด็กพวกนี้ด้วย!”

ถังกั๋วหัวก็ได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว

เมื่อหกวันก่อน เด็กพวกนี้ทุกคนมีอาการตัวร้อนไข้ขึ้นสูง อาเจียน ลักษณะเป็นอาการปอดติดเชื้อ ใช้ยาฆ่าเชื้อสารพัดชนิดแล้ว ไม่ได้ผลดีขึ้นมาเลย ตามที่คณะผู้เชี่ยวชาญ ได้ลงความเห็นว่า น่าจะเป็นเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่”

“ตอนนี้กำลังเพาะเชื้ออยู่ครับ แต่ว่า ผมกลัวว่าเด็กพวกนี้จะรอไม่ถึงเวลานั้นสิ!”

ถังกั๋วหัวพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด สีหน้าเศร้าสร้อย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์