หลังจากที่เข้ามาในหอคัมภีร์ลับแล้ว พวกเขาก็ขึ้นไปชั้นบนสุด แน่นอนว่าชั้นนี้ย่อมได้รับการคุ้มกันเป็นพิเศษ เพราะมีเคล็ดวิชาล้ำค่าที่ตระกูลฉินและกองกำลังเงาปีศาจเก็บรวบรวมมาอย่างยาวนาน
ถึงแม้เคล็ดวิชาที่คนบนโลกนี้คิดค้นขึ้นมาเอง จะมีถึงแค่ขอบเขตปรมาจารย์เท่านั้น แต่หลังจากที่ปรับปรุงแก้ไขมาหลายพันปี เคล็ดวิชาระดับปรมาจารย์ของพวกเขาก็อาจจะแข็งแกร่งกว่าของสำนักโบราณเสียอีก
เพราะเหล่าผู้ก่อตั้งสำนักโบราณต่างก็อยู่ในขอบเขตเซียน พวกเขาเหล่านั้นจึงค้นคว้าและปรับปรุงเคล็ดวิชาระดับตำนานขึ้นไป ไม่ค่อยสนใจเคล็ดวิชาระดับต่ำกว่า แม้แต่ที่แดนสวรรค์เองก็เป็นแบบนี้เช่นกัน
หลังจากที่เข้ามาในชั้นสุดท้าย คังหลินก็ขอแยกตัวออกไปศึกษาเคล็ดวิชาที่เขาสนใจ ส่วนจ้าวเทียนก็ตรงไปยังชั้นวางที่เก็บเคล็ดวิชากระบี่เอาไว้
แม้ว่าตระกูลฉินจะใช้ดาบเป็นอาวุธหลัก แต่ก็ได้มีการรวบรวมเคล็ดวิชากระบี่เอาไว้เช่นกัน เพราะในโลกหมิงหลงแห่งนี้ กระบี่ยังถือเป็นอาวุธอันดับต้นๆ ที่คนส่วนใหญ่เลือกฝึกฝน
‘ มีทั้งหมดยี่สิบเล่ม…เป็นเคล็ดวิชาระดับปรมาจารย์ของโลกใบนี้เจ็ดเล่ม อีกสิบสามเล่มเป็นฉบับคัดลอก ของเคล็ดวิชาระดับตำนานบางส่วนของสำนักโบราณ ’
‘ ไม่เสียที ที่กองกำลังเงาปีศาจได้ชื่อว่าเป็นหน่วยสายลับอันดับหนึ่งในโลกหมิงหลง แม้แต่เคล็ดวิชาขั้นต้นของห้าสำนักใหญ่ พวกเขาก็สามารถหามาได้ ’
จ้าวเทียนคิดขึ้นด้วยความชื่นชม จากนั้นก็หยิบเคล็ดวิชากระบี่ไท่เก๊กของสำนักบู๊ตึ้ง สี่กระบวนท่าแรกขึ้นมาเปิดอ่านดู
ในสมองของเขา คิดไปถึงตอนที่ได้ต่อสู้กับผู้อาวุโสซู่หยาง ด้วยความทรงจำแบบภาพถ่ายของจ้าวเทียน สิ่งใดที่เขาเคยเห็นก็จะจดจำได้ไม่มีวันลืม
‘ เมื่อมีคัมภีร์สี่กระบวนท่าแรก รวมกับประสบการณ์ต่อสู้ที่ผ่านมา ทำให้ฉันพอจะอนุมานเคล็ดวิชากระบี่ไท่เก๊กฉบับสมบูรณ์ได้แล้ว ’
‘ นอกจากนี้…ฉันยังค้นพบจุดอ่อนของวิชานี้ถึงสามอย่าง ถ้าได้ต่อสู้กับผู้อาวุโสซู่หยางอีกครั้ง ไม่เกินสามกระบวนท่าก็คงเอาชนะเขาได้ ’
‘ ผู้ที่คิดค้นวิชานี้ขึ้นมา น่าจะมีความเข้าใจในแก่นแท้แห่งหยินและหยางขั้นแรก ซึ่งมันจัดอยู่ในระดับเดียวกับแก่นแท้มิติเวลา แม้แต่บนแดนสวรรค์ยังหาคนบรรลุได้ยาก ’
‘ หยินและหยางคือจุดกำเนิดของจักรวาล หากผู้ใดต้องการที่จะตระหนักรู้เรื่องนี้ อาจต้องใช้เวลาชั่วชีวิตตราบจนสิ้นอายุขัย เพื่อสัมผัสได้เพียงชายขอบเท่านั้น ไม่นึกเลยในโลกมนุษย์จะมีคนทำได้ ’
เวลาสี่ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากเคล็ดกระบี่ไท่เก๊กแล้ว จ้าวเทียนยังได้เปิดอ่านเคล็ดวิชากระบี่ของสำนักโบราณที่เหลือจนหมด
ส่วนตอนนี้ เขาก็กำลังเริ่มศึกษาเคล็ดวิชาของโลกหมิงหลงต่อ จริงอยู่ที่มันเป็นเพียงเคล็ดวิชาระดับต่ำ แต่ประโยชน์ที่จ้าวเทียนได้รับนั้น ไม่แน่ว่า จะน้อยกว่าเคล็ดวิชาของสำนักโบราณ
สำหรับผู้ที่เคยบรรลุแก่นแท้กระบี่อย่างจ้าวเทียน เขาย่อมเคยศึกษาเคล็ดวิชากระบี่ระดับสูงของแดนสวรรค์มามายมาย ซึ่งแนวทางมันก็ไม่ได้แตกต่างจากของสำนำนักโบราณมากนัก เพียงแต่มีอานุภาพเหนือกว่าเท่านั้น
แต่ทว่าในโลกหมิงหลงที่มีข้อจำกัดทางสายเลือด ทำให้พวกเขาไม่เคยสัมผัสพลังระดับสูงอย่างพลังเซียนและพลังเทพ
เคล็ดวิชากระบี่ของพวกเขา ซึ่งถูกคิดค้นและปรับปรุงมาอย่างยาวนาน จึงเน้นไปที่กระบวนท่าอันลึกล้ำและการพลิกแพลงตามสถานการณ์ มันเป็นประโยชน์กับจ้าวเทียนที่กำลังตระหนักรู้คนกระบี่ประสานเป็นหนึ่งมาก
ทันใดนั้น
แวบ!
เหมือนแสงสว่างปรากฏขึ้นในความมืด…
อยู่ดีๆภาพเคล็ดวิชากระบี่ทั้งหมดที่จ้าวเทียนเคยศึกษามาทั้งสองชีวิต ก็ปรากฏขึ้นมาในความคิดอย่างรวดเร็ว
ทั้งจุดอ่อนที่เขาเคยมองข้าม หรือวิธีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ล้วนสามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
‘ นี่มัน…สภาวะรู้แจ้งโดยฉับพลัน ’
จ้าวเทียนรู้สึกยินดีมาก โอกาสแบบนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้บ่อย แม้แต่ช่วงชีวิตของเขา ตลอดเวลานับแสนปีบนแดนสวรรค์ ก็เคยเกิดขึ้นเพียงสองครั้งเท่านั้น
แน่นอนว่า จ้าวเทียนย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสแบบนี้
วูป!
กระบี่ราชันสวรรค์ปรากฏขึ้นตรงหน้าจ้าวเทียน
เขาสื่อสารกับจิตวิญญาณกระบี่ ให้คอยคุ้มกันอย่าปล่อยให้มีผู้ใดมารบกวน จากนั้นก็นั่งลงหลับตาเข้าสู่ภวังค์แห่งการรู้แจ้งทันที
อีกด้านหนึ่ง คังหลินที่กำลังพลิกอ่านคัมภีร์ค่ายกลของพวกสำนักโบราณอย่างเพลิดเพลิน อยู่ดีๆตัวเขาก็สั่นสะท้านโดยไม่ทราบสาเหตุ
!!
เขารู้สึกเหมือนมีคมกระบี่ขนาดยักษ์กำลังชี้ตรงมาทางนี้ มันมีอานุภาพแห่งกฎเกณฑ์ระดับสูงแฝงอยู่ด้วย
‘ เจตจำนงกระบี่ที่ทรงอานุภาพแบบนี้…เป็นศิษย์น้องงั้นเหรอ ’
เพียงพริบตาเดียว คังหลินก็ได้ก็มาถึงจุดที่จ้าวเทียนอยู่
สายตาของเขามองไปยังกระบี่สีทองเป็นอันดับแรก ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้น่าจะมาจากกระบี่เล่มนี้
‘ เกิดอะไรขึ้น…ทำไม่ศิษย์น้องถึงเรียกกระบี่คู่กายออกมา ’
เมื่อลองสังเกตดูดีๆ ที่รอบตัวจ้าวเทียนเหมือนมีม่านพลังบางอย่างขวางกันเอาไว้อยู่
คังหลินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะก้าวเท้าออกจากหอคัมภีร์ลับตระกูลฉิน
สองวันผ่านไป
ภายในคุกลับใต้ดินของตระกูลฉิน ร่างของชายชราคนหนึ่งถูกแขวนเอาไว้ด้วยโซ่เหล็กสีดำ แขนขาทั้งสี่ข้างถูกตัดออกจนหมด
ตามร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่เปิดอ้า มองเห็นกระดูกและเส้นเอ็นที่อยู่ด้านในอย่างชัดเจน และด้วยยาพิษที่ฉาบเอาไว้บนมีดที่กรีดลงไป ทำให้เขาต้องทนรับความเจ็บปวดมากกว่าปกติเป็นสิบเท่า
“ บอกสิ่งที่ฉันอยากรู้มา…แล้วแกจะได้ตายอย่างสมใจ ” คังหลินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ร่างที่ถูกแขวนอยู่ตรงหน้าก็คือผู้อาวุโสฉินซู่โหว เมื่อวานนี้คังหลินได้สั่งให้ผู้คุมทรมานอีกฝ่ายทั้งวันทั้งคืน
ต่อให้ผู้ที่ผ่านการฝึกจากเงาปีศาจจะมีใจที่กล้าแกร่งเพียงไหน แต่เมื่อไร้ซึ่งความหวังและถูกทอดทิ้งจากคนรอบตัว จิตใจของพวกเขาก็จะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
คังหลินไม่รู้ว่าจ้าวเทียนจะฟื้นสติตอนไหน จังตัดสินใจจัดการเรื่องผู้อาวุโสฉินซู่โหวให้เสร็จไปก่อน เพราะอีกหนึ่งวันปู่ของเขาก็จะสิ้นอายุขัยแล้ว มันจะเป็นช่วงที่เมืองเหล็กดำเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
สิ่งที่เขากลัว ก็คือพวกกองกำลังจากภายนอกจะยื่นมือเข้ามา
“ ฆ่าฉัน…ให้ฉันตายเถอะ ” ฉินซู่โหวพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“ ฉันบอกแล้ว…แกต้องบอกความลับมาก่อน แล้วฉันถึงจะให้แกตายได้ ” คังหลินถามย้ำอีกครั้ง
เพียงแค่เขาโบกมือเบาๆ ผู้คุมที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พยักหน้า แล้วหยิบมีดเดินไปหาฉินซู่โหวทันที
“ อย่า…ฉันพูดแล้ว ฉันเป็นสายลับที่สำนักซงซานวางเอาไว้ พวกเขาสั่งให้ฉันยึดครองเมืองนี้ โดยไม่ให้สำนักอื่นรู้ ”
คังหลินที่ได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ ไม่ใช่ว่าสมาพันธ์บู๊ลิ้มแบ่งเขตปกครองให้สำนักเซียนแต่ละสำนักแล้วเหรอ การมายึดครองเมืองนี้มีประโยชน์อะไร
“ แกแน่ใจนะว่าไม่ได้โกหก…พวกเขาจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร ฉันบอกไว้ก่อนนะ อย่าเล่นลวดลาย ไม่อย่างนั้นจะทรมานแกอีกหนึ่งวัน ”
ฉินซู่โหวมีสีหน้าหวาดกลัวทันที เขารีบพูดขึ้นอย่างร้อนรน
“ ฉันพูดความจริง…เหตุผลเพราะเมืองแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเหมืองหินวิญญาณระดับสูง ที่ยังไม่ถูกค้นพบ นี่เป็นสิ่งที่ฉันได้เห็นมากับตาตัวเอง ”
!!
“ ว่าไงนะ…เหมืองหินวิญญาณระดับสูงอยู่ที่ไหน บอกมา แล้วฉันจะให้แกตาย ” คังหลินพูดออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย นี่ถือเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเขา
“ มัน…อยู่ที่สุสานบรรพชนตระกูลฉิน ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...