จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 203

การแสดงออกของตระกูลฉินในวันนี้ชัดเจนมาก พวกเขาต้องการอำนาจเด็ดขาดในเมืองเหล็กดำ เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีคนแบบผู้อาวุโสฉินซู่โหวปรากฏขึ้นมาอีก

พวกชนชั้นสูงและผู้มีอำนาจที่เข้าร่วมงานได้แต่มองหน้ากันเอง แล้วถอนหายใจยาว ยอมทำพันธสัญญาทาสกับตระกูลฉิน เพราะพวกเขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น

กิจการและทรัพย์สมบัติของพวกเขาล้วนอยู่ในเมืองนี้ ถ้าต้องถูกขับไล่ออกไป นั่นก็หมายถึงการสูญเสียทุกอย่าง

ในขณะที่ฉินป๋ออวิ๋นกำลังจัดการเรื่องราวสำคัญอยู่ที่จวนด้านใน คังหลินก็นำแม่และพี่สาวคนรอง ออกมาต้อนรับแขกคนสำคัญที่หน้าประตูใหญ่

“ แม่ พี่หญิงรอง พี่ชาย…ฉันกลับมาแล้ว ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความดีใจ แล้วพุ่งเข้าไปกอดแม่ของเธอไว้แน่น เธอมีหน้าตางดงามดูสดใส อายุประมาณสิบแปดปี

หญิงสาวคนนี้ มีชื่อว่าฉินลู่เออร์เป็นน้องสาวคนเล็กของคังหลิน เมื่อสองปีก่อนเธอได้เข้าร่วมการทดสอบศิษย์สายนอกของสำนักโบราณ และสามารถผ่านการทดสอบได้สำเร็จ

ถึงแม้ว่าคนบนโลกนี้จะมีขีดจำกัดทางสายเลือดทำให้ไม่สามารถเป็นเซียนได้ แต่พวกสำนักโบราณเองก็ต้องการกำลังคนมาทำงานจิปาถะเช่นกัน

ดังนั้น พวกเขาจึงรับสมัครคนจากโลกหมิงหลงเข้าเป็นศิษย์สายนอก เพื่อส่งไปทำภารกิจง่ายๆ อำนวยความสะดวกให้ศิษย์สายในและศิษย์หลัก

“ เธอกลับมาทันก็ดีแล้ว…รีบเข้าไปหาท่านปู่สิ ท่านรอเธอมาตลอดเลยนะ ” ฉินจือหลัวพี่สาวคนรองพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย

เธอเป็นสาวงามที่ดูเรียบร้อยอ่อนโยน เป็นกุลสตรีในห้องหอ ที่เชี่ยวชาญศาสตร์ด้าน พิณ หมากล้อม การเขียนอักษร แตกต่างจากพี่สาวและน้องสาวที่ชื่นชอบการฝึกยุทธ และเป็นเธอนี่เองที่ฉินเซียวเย่กำลังจับคู่ให้กับจ้าวเทียน

คังหลินมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม ตัวเขาได้ความทรงจำทั้งหมดของฉินหนานมา ทำให้รู้สึกกับพวกเธอราวกับเป็นครอบครัวจริงๆ

หืมม..

สายตาของเขามองไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาพร้อมกับน้องสาวของเขา ดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณสิบแปดปีเท่ากัน

ทั้งที่น้องสาวของเขายังอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญขั้นต่ำ แต่ขอบเขตฝึกตนของชายคนนี้ กลับไปถึงขอบเขตผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงแล้ว

‘ ชายคนนี้…ไม่ใช่คนจากโลกหมิงหลงแน่นอน เขาน่าจะเป็นศิษย์แท้จริงของสำนักโบราณ ลู่เออร์ไปรู้จักกับเขาได้ยังไงกัน ’

เหมือนจะอ่านความคิดของคังหลินได้ ฉินลู่เออร์จึงผละออกจากแม่ แล้วหันมาแนะนำชายหนุ่มให้ทุกคนรู้จัก

“ ทุกคน…นี่คือศิษย์พี่อาวุโสของฉันเอง เขามีชื่อว่าเล่งซิงอี่ เป็นบุตรชายของผู้อาวุโสฝ่ายใน จากสาขากระบี่แห่งสำนักหัวซาน ”

“ คารวะทุกท่าน…เมื่อวานศิษย์น้องลู่เออร์บอกว่า มีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบกลับบ้าน ฉันกลัวกว่าเธอจะมีอันตราย เลยอาสาเดินทางมาเป็นเพื่อน ” เล่งซิงอี่พูดขึ้นด้วยท่าทีสุภาพ

เขาวางตัวได้ดีมาก ไม่มีความเย่อหยิ่งในน้ำเสียงแม้แต่น้อย โดยปกติศิษย์แท้จริงของสำนักโบราณส่วนใหญ่ จะดูถูกผู้คนจากโลกหมิงหลงว่าเป็นเพียงพวกที่ด้อยกว่า

ดังนั้น การแสดงออกของเล่งซิงอี่ จึงทำให้ครอบครัวของคังหลินรู้สึกดีตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรก สายตาที่มองไปทางเขาก็ดูเป็นมิตรยิ่งกว่าเดิม

“ ต้องขอบคุณเธอมาก…ที่ช่วยดูแลลูกสาวฉัน เข้าไปด้านในก่อนสิแล้วพักอยู่ที่นี่ซักสองสามวัน ให้พวกเราได้ตอบแทนเธอบ้าง ” แม่ของคังหลินพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน เธอเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ทำไมจะดูไม่ออกว่าชายหนุ่มคนนี้คิดอย่างไรกับลูกสาวของเธอ

“ นั่นสิ…เธอพักอยู่กับพวกเราซักสองสามวันเถอะ เมืองแห่งนี้มีสถานที่ดีๆมากมาย ให้ลู่เออร์เป็นคนพาเธอไปเที่ยวก็ได้นะ ” ฉินจือหลัวพูดสนับสนุน สายตาเธอมองไปทางน้องสาวที่ยืนหน้าแดงอยู่ แล้วหลุดยิ้มออกมา

“ เอ่อ…งั้นก็ได้ครับ ฉันคงต้องขอรบกวนพวกคุณซักสามวัน ” เล่งซิงอี่อึ้งไปเล็กน้อย ดูเหมือนทุกคนจะคาดเดาความสัมพันธ์ของเขากับลู่เออร์ออก

แต่เขาก็รีบตอบตกลงด้วยความเต็มใจ ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ตัวเขานั้นรักฉินลู่เออร์ด้วยใจจริง เขารังเกียจกฎของสมาพันธ์บู๊ลิ้มที่สุด คนเราจะรักกันทำไมถึงมองแต่เพียงผลประโยชน์อย่างเดียว

คนจากโลกหมิงหลงก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน ทำไมถึงต้องแบ่งแยก

ก่อนที่เขาจะเดินทางออกมาพร้อมกับเธอ ก็ได้ทะเลาะกับพ่อไปแล้วรอบหนึ่ง ดังนั้นต่อให้กลับสำนักหัวซานช้าไปซักสามวัน ก็คงแค่โดนบ่นเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน

ทันใดนั้น

“ ฉินหวง จงออกมารับความตายซะ! ”

เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ดังสะท้านตำหนักเจ้าเมือง และไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะยังมีคลื่นปราณดาบอันแสนชั่วร้ายโจมตีเข้าใส่พวกคังหลินพร้อมกันด้วย

เปรี้ยงง!

คลื่นพลังงานสีดำระเบิดออก ทำให้ประตูด้านหน้าตำหนักเจ้าเมืองเหลือเพียงเศษซาก

แกร่กๆๆๆ

คังหลินถูกซัดกระเด็นกลับมา เขาเซถอยหลังไปถึงเจ็ดก้าว พื้นหินใต้ฝ่าเท้าของคังหลินแตกออกเป็นทางยาว

การลอบโจมตีเมื่อครู่ หากไม่ใช่คังหลินพุ่งเข้าไปต้านเอาไว้ทัน ทุกคนคงถูกฆ่าตายหมดแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้คนอื่นๆตกใจมาก

โดยเฉพาะเล่งซิงอี่ที่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ตัวเขากับคังหลินนั้นอยู่ในขอบเขตเดียวกัน แต่คังหลินกลับรู้ตัวแล้วเคลื่อนไหวก่อนเขาได้อย่างไร อีกฝ่ายเป็นคนของโลกหมิงหลงไม่ใช่เหรอ

“ ทุกคนถอยไป…ศัตรูเป็นปรมาจารย์ขั้นกลาง ” คังหลินพูดออกมาด้วยแววตาเคร่งเครียด เขาเช็ดเลือดออกจากมุมปากของตัวเอง อย่างไม่ใส่ใจนัก

โชคดีที่อีกฝ่ายแค่โจมตีหยั่งเชิงมาเท่านั้น เขาจึงพอฝืนต้านเอาไว้ได้

‘ พวกเขาคงรู้ว่าฉันเชี่ยวชาญค่ายกล…เลยส่งคู่ต่อสู้ระดับปรมาจารย์ออกมาก่อน เพื่อล่อให้ฉันใช้ค่ายกลออกไป จากนั้นศัตรูระดับเซียนคงจะปรากฏตัวออกมา ’

“ หืม…ดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลยนะ ที่ฉันปรากฏตัวออกมา อีกทั้งยังดูออกด้วยว่าฉันมาจากสำนักซงซาน ” เซียนคนนั้นพูดขึ้นด้วยแววตาเฉียบคม เขากำลังสงสัยว่าคังหลินน่าจะรู้ความลับแล้ว

“ นั่นก็เพราะท่านเซียนสวมชุดผู้อาวุโสของสำนักซงซาน…ฉันจึงแยกแยะออกตั้งแต่ที่เห็นครั้งแรก ว่าแต่ท่านเซียนเกี่ยวข้องยังไงกับผู้บุกรุกคนนี้งั้นเหรอ ” คังหลินตอบกลับไปอย่างใจเย็น

ตอนนี้ทั้งสองคนต่างก็จ้องตากัน เหมือนต้องการอ่านความคิดของฝ่ายตรงข้ามให้ออก ซึ่งทำให้พวกที่คุกเข่าอยู่ตกใจเป็นอย่างมาก

ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวเซียนแม้แต่น้อย

“ ในเมื่อเธออยากรู้…ฉันก็จะอธิบายให้ฟังแล้วกัน ชายสวมหน้ากากด้านล่างเป็นหลานศิษย์ของฉัน วันนี้เขาต้องการล้างแค้นแทนบิดาบุญธรรม ”

“ ฉันด้วยความเป็นห่วงจึงติดตามมาด้วย เพื่อช่วยเหลือให้เขาแก้แค้นได้สำเร็จ เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ ”

นี่มัน…

เป็นคำพูดที่เผด็จการมาก เขาไม่ได้สนใจว่าคนตระกูลฉินจะคิดยังไง เขาเพียงต้องการเหตุผลในการลงมือเท่านั้น เพื่อไม่ให้พรรคกระยาจกเข้ามายุ่งเกี่ยว

ในระหว่างที่ทุกคนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

“ คุณคงเป็นผู้อาวุโสหลิ่วฉีใช่ไหม…ฉันเล่งซิงอี่ศิษย์สายในแห่งสำนักหัวซาน พ่อของฉันคือเล่งซู่หยินเป็นผู้อาวุโสลำดับสามสาขากระบี่ ”

“ ในการประชุมห้าขุนเขากระบี่ครั้งที่แล้ว…พ่อของฉันเคยพาฉันไปพบคุณครั้งหนึ่ง ”

“ อ๋อ…เธอคือลูกชายของน้องซู่หยินเองรึ แล้วนี่เธอมาอยู่กับตระกูลฉินได้ยังไงละ ” ผู้อาวุโสหลิ่วฉีถามกลับด้วยแววตาแปลกใจ เขากลัวว่าสำนักหัวซานจะรู้เรื่องเหมืองหินวิญญาณด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยุ่งมากแล้ว

ฝ่ายเล่งซิงอี่เมื่อโดนถาม เขาก็เล่าทุกอย่างให้ฟังแบบไม่ปิดบัง เพราะยังไงสำนักของพวกเขาก็เป็นพันธมิตรกันมาเนิ่นนาน จนถูกเรียกรวมกันว่าห้าขุนเขากระบี่

ผู้อาวุโสหลิ่วฉีเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด ก็แอบถอนใจอย่างโล่งอก ที่ความลับเรื่องนี้ยังไม่หลุดออกไป จากนั้นเขาก็พูดขึ้น

“ เธอต้องการขอร้องแทนตระกูลฉินใช่ไหม…ถ้าอย่างนั้นฉันจะเห็นแก่หน้าน้องซู่หยิน สังหารเพียงสามคนเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือฉันจะปล่อยไป ”

“ ฉินกวงลี่ ฉินหนาน ฉินหวง…พวกแกออกมารับความตายเถอะ เรื่องนี้ฉันจะให้หลานศิษย์เป็นคนลงมือแก้แค้นด้วยตัวเอง แต่พวกแกห้ามตอบโต้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งคนที่เหลือให้ตามแกลงนรกไปด้วย ”

!!

ทุกคนที่ได้ยินมีสีหน้าเปลี่ยนไป โดยเฉพาะคนตระกูลฉิน พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า สามคนที่อีกฝ่ายต้องการสังหารนั้นคือเสาหลักของตระกูล

ถ้าตระกูลฉินเสียทั้งสามคนนี้ไป ก็ทำได้เพียงรอวันล่มสลายเท่านั้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน