ย้อนกลับไปในตอนที่ผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายกระบี่ เพิ่งเข้ามาด้านในค่ายกลป้องกันของยอดเขาเย้ยเมฆา เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เขาเห็น
ชายสวมหน้ากากคนหนึ่ง กำลังต่อสู้กับเทพกระบี่ผู้เป็นอาจารย์ของเขาอย่างสูสี โดยไม่มีท่าทีด้อยกว่าแม้แต่น้อย
‘ การต่อสู้นี่มัน…เหนือกว่าความเข้าใจของฉันไปมาก แม้ท่านอาจารย์จะจำกัดพลังของตัวเองให้เหลือแค่ขอบเขตปรมาจารย์ แต่ด้วยขอบเขตการตระหนักรู้ระดับสูงของท่าน ต่อให้เป็นเซียนขั้นกลางเองก็ยังสู้ไม่ได้ ’
‘ ฉันไม่นึกว่า ฉินหวงซึ่งเป็นคนของโลกหมิงหลงจะสามารถรับมือท่านอาจารย์ ผู้ที่ได้รับสมญานามเทพกระบี่แห่งแผ่นดินได้ ’
ภาพที่หยางเจี๋ยเห็นคือการต่อสู้ของยอดฝีมือสองคนที่บรรลุถึงขั้นสำนึกกระบี่ หรือก็คือคนกระบี่ประสานเป็นหนึ่ง
ทุกท่วงท่าของทั้งสองคน ล้วนแฝงความเปลี่ยนแปลงไร้ที่สิ้นสุด หากมีใครพลาดไปแม้ซักนิดเดียวผลแพ้ชนะจะปรากฏทันที
เมื่อได้ดูการต่อสู้ครั้งนี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกเหมือนได้รับคำตอบของปัญหาที่ไม่เข้าใจในอดีต สำหรับขอบเขตการตระหนักรู้ในระดับสูง การเลียนแบบแนวคิดและคำสอนของผู้อื่น มันก็ไม่สู้ที่เราสามารถคิดได้ด้วยตัวเอง
‘ ฉันเคยคิดว่า…หลังจากสำเร็จเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย ก็จะบรรลุขอบเขตคนกระบี่ประสานเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์แล้ว แต่เมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้รู้เลยว่าความคิดของฉันมันน่าหัวเราะแค่ไหน ’
ทันใดนั้น เขาก็นึกไปถึงคำสอนของเทพกระบี่ ที่เคยพูดไว้หลังจากที่เขาสำเร็จเคล็ดวิชาครั้งแรก
" กระบวนท่าต่อให้ร้ายกาจปานใดก็ย่อมมีจุดอ่อน หากหล่อหลอมกระบวนท่าเข้าด้วยกันแม้จะแทบไร้จุดอ่อน แต่ก็ยังมีจุดอ่อนให้สืบสาวอยู่ดี แต่หากไร้กระบวนท่า ไม่ยึดติดกับกระบวนท่าใด ๆ ก็จะไม่มีจุดอ่อนเพราะไม่มีกระบวนท่าให้ทำลาย "
“ เรียกได้ว่า…ไร้กระบวนท่าคือเคล็ดที่เป็นหัวใจของวิชาชุดนี้ ”
คำสอนนี้ ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะมัวแต่ปลาบปลื้มใจที่ตนเองสำเร็จเคล็ดวิชาที่เป็นตำนานอย่าง เก้ากระบี่เดียวดาย
และเพราะความทะนงตัวแบบนั้น ทำให้ตัวเขาไม่เคยเข้าใจเคล็ดวิชานี้อย่างถ่องแท้เลย แตกต่างกับท่านอาจารย์ ที่สามารถทัดเทียม หรือก้าวข้ามบรรพจารย์ผู้คิดค้นเคล็ดวิชาไปแล้ว
เก้ากระบี่เดียวดาย เป็นเพลงกระบี่ที่ไร้ผู้ต้าน มีด้วยกันทั้งหมดเก้าเคล็ด ซึ่งแต่ละเคล็ดนั้นสามารถทำลายเพลงยุทธต่าง ๆ ในแผ่นดินได้ ทั้งอาวุธทุกชนิด เพลงหมัด เท้า ฝ่ามือ หรือวิชาลมปราณและวิชาเซียน
เนื่องจากเป็นเคล็ดวิชาที่มีแต่รุกไม่มีรับ อาศัยความเปลี่ยนแปลงช่วงชิงจังหวะทำลายเคล็ดวิชาของคู่ต่อสู้
ดังนั้นจึงต้องการผู้สืบทอดที่มีไหวพริบเหนือผู้อื่น มีความคิดริเริ่ม ไม่จมปลักในเคล็ดวิชาจนหยุดอยู่กับที่
ซึ่งตัวผู้อาวุโสสูงสุดหยางเจี๋ยนั้น เขาเป็นคนที่เทพกระบี่คัดเลือกมาด้วยตัวเอง ในตอนแรกเริ่มก็มีคุณสมบัติตรงตามที่เคล็ดวิชาต้องการทุกอย่าง
ทำให้เขากลายเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของเทพกระบี่ และได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์ แตกต่างกับผู้อาวุโสคนอื่นที่ได้รับถ่ายทอดเพียงสามส่วนแรกเท่านั้น
แต่ทว่ายิ่งตัวเขาฝึกฝนเคล็ดวิชานี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหลงทางมากเท่านั้น ทำให้ถูกเคล็ดวิชาผูกมัดเอาไว้ จนไม่สามารถบรรลุขอบเขตคนกระบี่ประสานเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์
และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่สามารถสัมผัสถึงขั้นเจตน์แห่งกระบี่ได้
‘ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว…หลังจากบรรลุเคล็ดวิชาถึงขั้นสุดยอด ก็ไม่จำเป็นต้องจำเคล็ดต่างๆ อีกต่อไป ลืมเคล็ดวิชาไปให้หมด โดยให้เหลือเพียงสำนึกกระบี่ ของเคล็ดนั้นๆก็พอ ’
วูป!
กระบี่เหล็กดำปรากฏขึ้นในมือของเขา มันมีลักษณะแบบเดียวกับเทพกระบี่ไม่มีผิด
“ เก้ากระบี่เดียวดาย เคล็ดทำลายกระบี่! ”
เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ด้วยพลังขอบเขตเซียนขั้นสูงสุด เงากระบี่ดุจอัสนีบาตรเกรี้ยวกราดดุดันหลายสิบสาย ฟาดทำลายไปที่พื้นที่ว่างด้านหน้า ทำให้อากาศฉีกขาดเป็นช่องว่างสีดำทันที ก่อนที่มันจะสมานตัวกันใหม่
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กำแพงมิติได้ถูกทำลายไปแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะซ่อมแซมตัวเอง
แม้ว่าเขาจะแทงกระบี่ไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่มันกลับส่งผลเหมือนการโจมตีอันรุนแรงของเคล็ดวิชาทั้งชุด สิ่งนี้ก็คือสำนึกกระบี่ของเคล็ดวิชาที่เขาได้ตระหนักรู้มาเมื่อครู่
ตอนนี้…หลังจากฝึกฝนมานับร้อยปี ผู้อาวุโสสูงสุดหยางเจี๋ยก็ได้เข้าสู่ขอบเขตเดียวกับเทพกระบี่ผู้เป็นอาจารย์ ที่สามารถต่อสู้ข้ามชั้นกับขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาได้แล้ว
แม้จะยังไม่อาจต่อกรกับพลังที่แท้จริงของท่านอาจารย์ได้ แต่ก็สามารถรับมือได้หลายกระบวนท่า สามารถสืบทอดสมญานามเทพกระบี่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดหยางเจี๋ยก็รีบรับคำอย่างไม่ลังเล แตกต่างกับผู้อาวุโสเล่งซูหยิน เพราะเขาไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จึงรีบทักท้วงขึ้น
“ แต่ฉินหวงเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นกลาง หากเราแต่งตั้งเขาเป็นถึงผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ เกรงว่ามันจะไม่เหมาะนะครับ ”
“ นายนะเงียบไปเลย…เรื่องนี้ฉันจัดการเอง ” ผู้อาวุโสสูงสุดหันมาเตือนเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็ส่งเสียงทางลมปราณเล่าเรื่องการต่อสู้ก่อนหน้านี้ให้ฟัง ทำให้ผู้อาวุโสเล่งซูหยินอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
ตอนนี้ สายตาที่เขามองดูจ้าวเทียนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ชื่นชม และเคารพ
หลังจากเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เทพกระบี่ก็หันไปมองศิษย์เพียงคนเดียวของเขาด้วยแววตาภาคภูมิใจ แล้วพูดขึ้น
“ ในที่สุด…นายก็บรรลุถึงขอบเขตนี้จนได้ แบบนี้หากให้นายสืบทอดฉายาเทพกระบี่ต่อไป ก็นับว่าไม่ผิดต่อบรรพจารย์แล้ว ”
“ ท่านอาจารย์…ฉันจะไม่สร้างความผิดหวังให้คุณเด็ดขาด หลังจากนี้ฉันจะตั้งใจทลายขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาให้ได้ แล้วทำให้เคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายเป็นวิชากระบี่อันดับหนึ่งในแผ่นดิน ” ผู้อาวุโสสูงสุดพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
จากนั้นเขาก็เหมือนกับนึกอะไรได้ จึงหันไปมองจ้าวเทียนด้วยแววตาเคร่งเครียด
‘ ยกเว้นชายคนนี้ไว้ซักคนแล้วกัน ฉันคงไม่สามารถเอาชนะเขาในด้านเคล็ดวิชากระบี่ได้หรอก ’
เทพกระบี่ที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มอ่อนออกมา จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสำนักคุนหลุนให้ผู้อาวุโสสูงสุดกับผู้อาวุโสเล่งซูหยินฟัง
“ ฉันก็แปลกใจว่าโจวจือหยวนหายไปไหน…ช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายจริงๆ หากเรื่องนี้หลุดออกไปชื่อเสียงของสำนักเราต้องมัวหมองแน่นอน ” ผู้อาวุโสสูงสุดพูดออกมาด้วยความโมโห ตัวเขาเองก็สืบทอดนิสัยเกลียดชังความชั่วร้ายมาจากผู้เป็นอาจารย์
“ เรื่องนี้น่าจะลำบากนะครับ…เพราะอีกฝ่ายกุมอำนาจของสำนักเอาไว้อยู่ พวกเราคงไม่อาจสู้กับพวกเขาตรงๆได้ ” ผู้อาวุโสเล่งซูหยินพูดออกมาด้วยความรอบคอบ
“ ไม่ต้องกังวล…โจวไท่หยวนอยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนักไม่นานหรอก หลังจากนี้ฉันจะดำเนินการทันที ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงสำนักหัวซานแล้ว ” ผู้อาวุโสสูงสุดพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มขึ้นด้วยความยินดี หากจัดการเรื่องเจ้าสำนักหัวซานที่เป็นตัวการของแผนร้ายเมื่อแปดปีก่อนไปได้ มันจะช่วยลดความยุ่งยากให้เขาไปได้หลายเรื่อง
‘ อีกไม่นาน…คงได้เวลาที่ฉันจะไปหาแม่ที่สำนักคุนหลุนแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะยังจำลูกชายคนนี้ได้ไหม ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...