จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 220

หลังจากมอบหมายหน้าที่เสร็จแล้ว เทพกระบี่ฟงอู๋หยางก็ให้คนอื่นออกไปก่อน ส่วนตัวเขากับจ้าวเทียนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

‘ ดูเหมือน เขายังมีบางอย่างจะพูดกับฉัน ’

จ้าวเทียนคิดในใจเงียบๆ เขานั่งจิบชารออย่างใจเย็น

“ ที่โลกภายนอก…ตอนนี้ต้วนมู่เฉียนเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่สามร้อยปีก่อนฉันก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ” เทพกระบี่พูดออกมาด้วยแววตาหวนรำลึก ในอดีตเขาเคยต่อสู้กับต้วนมู่เฉียนครั้งหนึ่ง แต่ไม่รู้ผลแพ้ชนะ

ในตอนนั้น แม้ว่าตัวเขาจะยังไม่ได้สืบทอดเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย แต่ก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือระดับสูงของสำนักโบราณที่หาคู่มือได้ยาก

นอกจากผู้อาวุโสรุ่นก่อนเพียงไม่กี่คนแล้ว ไม่มีใครในรุ่นเดียวกันที่เขาเอาชนะไม่ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น เขาก็ยังไปสู้เสมอกับผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกแบบต้วนมู่เฉียน อย่างไม่คาดฝันมาก่อน

มันช่างเป็นความทรงจำฝังใจที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ…

“ ผู้อาวุโสต้วนมู่เฉียนสบายดี…เพียงแต่ว่า ตัวเขาเองก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วเหมือนกัน เนื่องจากอีกสี่เดือนอายุขัยของเขากำลังจะหมดลง ” จ้าวเทียนตอบเสียงเศร้า เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่เขากังวลอยู่

‘ มีแต่ต้องให้ผู้อาวุโสต้วนมู่เฉียนกลายเป็นเซียนนภาเท่านั้น เขาถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก่อนหน้านี้ฉันเคยเสนอวิธี ให้ผู้อาวุโสกลับชาติมาเกิดใหม่ แต่เขาก็ไม่ต้องการ ’

‘ เนื่องจากการใช้วิธีนี้ ผู้อาวุโสต้วนมู่เฉียนจะต้องแย่งชิงร่างกายของวิญญาณเด็กทารกที่กำลังจะเกิดใหม่ ซึ่งมันผิดไปจากคำปฏิญาณที่เขาเคยให้ไว้ ว่าจะปกป้องประชาชนชาวจีนทุกคน ’

ที่จริงแล้วยังมีเม็ดยาโอสถจิตวิญญาณ ที่ทำให้ผู้ที่กินเข้าไปได้รับอายุขัยอันยืนยาว แต่ก็ต้องแลกมาด้วย การไม่สามารถเข้าสู่เส้นทางฝึกตนได้

จ้าวเทียนรู้ดีว่าต้วนมู่เฉียนไม่มีทางยอมแน่ จึงไม่ได้บอกไป…

‘ น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสต้วนมู่เฉียน ไม่มีญาติมิตรสายเลือดเดียวกันเหลืออยู่อีกแล้ว ไม่อย่างนั้น ฉันคงสามารถใช้วิชาลับของสำนัก ดึงสายเลือดของลูกหลานบางส่วน มาใช้สร้างร่างวิญญาณเทียมให้เขาถือกำเนิดใหม่ได้ ’

“ สี่เดือนงั้นเหรอ…ตัวเขาเองก็หนีไม่พ้นข้อจำกัดห้าร้อยปีเหมือนกันสินะ ” เทพกระบี่ฟงอู๋หยางพึมพำออกมาเบาๆ

“ ผู้อาวุโส…เรื่องอายุขัยของคุณ ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยความกังวล ตั้งแต่เขาได้ย้อนเวลากลับมา มีผู้ฝึกตนบนโลกไม่กี่คนที่เขารู้สึกชื่นชม ก่อนหน้านี้มีต้วนมู่เฉียน ส่วนตอนนี้ก็ได้เพิ่มฟงอู๋หยางมาอีกคน

ทั้งสองคนต่างก็มีพรสวรรค์สูงมาก คนแรกบรรลุแก่นแท้สังหารที่ยังไม่สมบูรณ์ ส่วนคนที่สองก็บรรลุขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่ครึ่งขั้น

แม้เทียบกับยอดอัจฉริยะบนแดนสวรรค์ พวกเขาก็ไม่ด้อยกว่าแต่อย่างใด สำหรับโลกระดับต่ำที่ขาดทั้งทรัพยากรและโอกาสแล้ว นับเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถืออย่างแท้จริง

“ ตอนนี้ฉันมีอายุสี่ร้อยเจ็ดสิบปีแล้ว…อีกสามสิบปีก็ถึงเวลาของฉันเหมือนกัน น่าอิจฉาต้วนมู่เฉียน ที่เขายังมีโอกาสดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย ”

“ ขอเพียงเขาทำลายนภากาศได้…ก็จะบรรลุเป็นเซียนนภา ออกจากข้อจำกัดของโลกใบนี้ไป ลองกลับมาดูที่ตัวฉันเอง แม้โอกาสจะดิ้นรนก็ยังไม่มี ” เทพกระบี่พูดออกมาด้วยท่าทีเยาะเย้ยตัวเอง

จ้าวเทียนที่ได้ยินเขาก็คิดไปถึงเรื่องบางอย่าง ที่รู้สึกคาใจมานานตั้งแต่ได้พบกับเทพกระบี่เป็นครั้งแรก

“ ฉันขอถามผู้อาวุโสหน่อยได้ไหม…เพราะอะไรคุณถึงยังติดอยู่ที่ขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดแบบนี้ ด้วยพรสวรรค์ระดับคุณ น่าจะบรรลุขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาไปตั้งนานแล้ว ”

เมื่อเจอคำถามนี้ของเจ้าเทียน เทพกระบี่ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วพูดขึ้น

“ เหตุผลที่ฉันไม่สามารถบรรลุขอบเขตต่อไปได้…ก็เพราะอาการบาดเจ็บเมื่อร้อยห้าสิบปีก่อน มันได้ทำลายเมล็ดพันธุ์เซียนของฉันไปครึ่งหนึ่ง แม้ว่าภายหลังจะสามารถรักษาจนฟื้นฟูกลับมาได้ ”

“ แต่เมล็ดพันธุ์เซียนของฉัน ก็ไม่สามารถวิวัฒนาการเป็นโลกภายในได้อีก ”

เรื่องนี้เป็นความลับที่มีคนรู้เพียงไม่กี่คน ข้อมูลจากกองกำลังเงาปีศาจเองก็ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ ทำให้จ้าวเทียนไม่เคยรู้มาก่อน

“ ฝ่ายตรงข้ามเป็นใครเหรอครับ…เท่าที่ฉันได้รู้มา เมื่อร้อยห้าสิบปีก่อน ผู้อาวุโสก็น่าจะฝึกเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายสำเร็จไปแล้ว ไม่น่าจะมีใครทำให้ผู้อาวุโสบาดเจ็บได้ ” จ้าวเทียนถามด้วยความแปลกใจ

“ เรื่องนั้นมันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก…ไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินชื่อตำหนักเทวะมาก่อนหรือเปล่า พวกเขาเป็นคนสร้างป้ายประกาศิตทั้งห้าอันให้กับสมาพันธ์บู๊ลิ้ม ”

“ เคล็ดวิชากระบี่ไท่เก๊กของเขาเหมือน ถูกสร้างมาให้เป็นคู่ปรับกับเก้ากระบี่เดียวดายของฉันอย่างไรอย่างนั้น แต่ในวินาทีสำคัญที่จะตัดสินผลแพ้ชนะ ฉันก็สามารถบรรลุขอบเขตคนกระบี่ประสานเป็นหนึ่งได้ ”

“ ขอบเขตใหม่ที่ฉันเพิ่งบรรลุ…คงกระตุ้นความสนใจของอดีตเจ้าสำนักบู๊ตึ้งเข้า เขาก็เลยเผลอตกอยู่ในภวังค์แห่งการรู้แจ้งในระหว่างต่อสู้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะในวินาทีนั้นฉันเองก็ยั้งมือไม่ทันเหมือนกัน ”

“ ดังนั้น…สุดท้ายเขาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ กระบี่ของฉันได้ตัดแขนของเขาขาด ทั้งยังทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสปางตาย ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น ”

“ ในตอนนั้นผู้สืบทอดแห่งตำหนักเทวะเองก็อยู่ด้วย…เขาจึงท้าสู้กับฉันต่อทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว และได้ทำร้ายฉันจนบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าฉันจะรักษาแขนเอาไว้ได้ แต่พลังฝีมือของฉันก็แทบจะถูกทำลายไป ”

“ หากไม่ใช่เพราะเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเข้ามาห้ามไว้ ฉันคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นแล้ว ” เทพกระบี่เล่าออกมาอย่างละเอียด ในใจของเขาเองก็รู้สึกเจ็บแค้นเช่นกัน มันไม่ใช่ความผิดของเขาแม้แต่น้อย

“ ผู้สืบทอดตำหนักเทวะคนนั้น…เขาแข็งแกร่งขนาดไหน ” จ้าวเทียนถามด้วยความสนใจ เขามีลางสังหรณ์ว่าตำหนักเทวะน่าจะเป็นศัตรู สำหรับแผนการในอนาคตแน่นอน

เทพกระบี่ฟงอู๋หยางเหมือนจะคาดเดาความคิดของจ้าวเทียนออก เขาจึงพูดเตือนด้วยความหวังดี

“ เมื่อร้อยห้าสิบปีก่อน…พลังของเขาอยู่ในระดับเดียวกับอดีตเจ้าสำนักบู๊ตึ้ง แต่ในปัจจุบันเขาได้ขึ้นเป็นเจ้าตำหนักเทวะแล้ว พลังฝีมือของเขาคงสูงไปกว่าเดิมมาก ”

“ จากที่ฉันได้รู้มา…ตำหนักเทวะไม่ได้ฝึกวิถีเซียนแบบพวกเรา และด้วยสายเลือดผู้สร้างโลกของพวกเขา ทำให้ไม่มีข้อจำกัดเมื่ออยู่ในโลกใบนี้ ”

“ ดังนั้น…ฉันคิดว่าตอนนี้เขาคงมีพลังอยู่ในระดับเดียวกับขอบเขตเซียนนภาแล้ว ”

จ้าวเทียนมีแววตาเปลี่ยนไปทันที เขาพอจะคาดเดาออกว่าวิถีฝึกตนของตำหนักเทวะ คงจะเป็นแบบเดียวกับแดนสวรรค์

และด้วยทรัพยากรจำนวนมากในโลกใบนี้ อีกฝ่ายคงจะฝึกตนไปได้อย่างรวดเร็ว และไม่ต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ของเซียนนภา

หมายความว่าตราบใดที่อยู่ในโลกหมิงหลง พวกเขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ในขอบเขตแดนเทพ ซึ่งเทียบเท่ากับเซียนนภาเลยทีเดียว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน