ผ่านไปสามสิบนาทีการประลองทั้งห้าสนามก็จบลง นอกจากจ้าวเทียนที่ได้รับชัยชนะอย่างขาดลอยแล้ว การต่อสู้อีกสี่สนามที่เหลือเป็นไปอย่างสูสีดุเดือดมาก ทุกคนต่างงัดเอาความสามารถที่เก็บซ่อนเอาไว้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
เนื่องจากการจับคู่การต่อสู้นั้น จะให้ตัวเต็งทั้งห้าคนเจอกับผู้ท้าชิงที่มีพลังอ่อนกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนผ่านไปได้เพราะโชคช่วย หากเซียนขั้นต่ำสามารถเอาชนะเซียนขั้นกลางได้ นั่นยอมแสดงว่าพวกเขาคู่ควรที่จะติดห้าอันดับแรก
ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่นอกจากจ้าวเทียนแล้ว กลับไม่มีใครสามารถเอาชนะพวกตัวเต็งทั้งห้าคนได้เลย
ดังนั้นรายชื่อของผู้ชนะห้าอันดับแรกจึงเป็นไปตามนี้
“ จ้อไท่สุ่ย สำนักซงซาน เซียนขั้นกลาง ”
“ หม่าผิงฮุย สำนักซงซาน เซียนขั้นกลาง ”
“ หยางถิงเฟิง สำนักหัวซาน เซียนขั้นกลาง ”
“ อวี้เซียนฉี สำนักหานซาน เซียนขั้นกลาง ”
“ ฉินหวง ไร้สำนักปรมาจารย์ขั้นกลาง ”
หลังประกาศชื่อผู้ชนะห้าอันดับแรกไปเรียบร้อย ก็จะเป็นการประลองจัดอันดับที่หกถึงสิบ โดยจะเป็นการต่อสู้แบบพบกันหมด ซึ่งก็แน่นอนที่โจวซีห่าวหมดสิทธิ์ไปโดยปริยายเพราะอาการบาดเจ็บ
จ้าวเทียนไม่ค่อยสนใจการต่อสู้รอบนี้ซักเท่าไหร่ ในใจเขาตอนนี้กำลังคิดถึงการต่อสู้รอบชิงชนะเลิศมากกว่า
‘ สำนักซงซานมีสองคนที่ผ่านเข้ารอบ…แต่คนที่ใช้โอสถต้องห้ามคงจะเป็นจ้อไท่สุ่ย เพราะเขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนัก ’
‘ จนถึงตอนนี้…อีกฝ่ายก็ยังคงเก็บซ่อนพลังเอาไว้ คงมีจุดประสงค์ร้ายจริงๆ ’
เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนถึงเวลาประมาณห้าโมงเย็น เมื่อการต่อสู้บนสนามประลองจบลง หยางถิงเฟิงก็เดินมานั่งลงข้างๆจ้าวเทียน แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ ผู้อาวุโสฉิน…หากพวกเราได้เจอกันในรอบชิง คุณช่วยสู้กับฉันด้วยพลังที่แท้จริงได้ไหม ฉันอยากท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง เพื่อบรรลุขอบเขตที่สูงขึ้น ”
“ นายแน่ใจเหรอ…ฉันอาจจะยั้งมือไม่ทันนะ ในการต่อสู้ที่ผ่านๆมา ฉันเพิ่งจะใช้พลังออกไปไม่ถึงห้าส่วนด้วยซ้ำ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เขาอยากลองทดสอบอีกฝ่ายดูว่ามีความเด็ดเดี่ยวพอไหม
“ ห้าส่วน…ที่ผ่านมาคุณใช้พลังไปแค่ห้าส่วนเหรอ ” หยางถิงเฟิงถามด้วยแววตาเคร่งเครียด เขาคิดว่านั่นเป็นพลังทั้งหมดของจ้าวเทียนแล้ว
“ ใช่ แค่ห้าส่วนเท่านั้น…ถ้ามากกว่านี้โจวซีห่าวคงกลายเป็นศพไปแล้ว เพราะถึงเป็นฉันเองก็คงยั้งมือไม่ทันเหมือนกัน ” จ้าวเทียนตอบตามตรง มีแค่ตอนประลองกับเทพกระบี่ที่ลดพลังลงมา เขาถึงใช้พลังที่แท้จริง
ความเร็วของกระบี่บินในตอนนั้น แม้แต่เทพกระบี่เองก็ยังต้านทานเอาไว้ได้แค่สิบวินาทีเท่านั้น ผู้อาวุโสสูงสุดเองก็พลาดฉากนี้ไป เขาจึงไม่ได้เล่าให้หยางถิงเฟิงฟัง
“ ฉัน…แบบนั้นฉันคงรับไม่ไหวหรอก ” หยางถิงเฟิงพูดออกมาอย่างยอมแพ้ เขายังไม่กล้าเสี่ยงชีวิตถึงขนาดนั้น
“ งั้นเหรอ…น่าเสียดาย ” จ้าวเทียนถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เขาค่อนข้างชอบนิสัยของหยางถิงเฟิง จึงคิดจะส่งเสริมให้บรรลุความตั้งใจ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถอดใจไปง่ายๆแบบนี้
‘ หากเป็นเฉินจิ้งและพวกที่ฉันฝึกฝนมา…ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิต พวกเขาก็จะคว้าโอกาสไว้แบบไม่ลังเล เพราะหากขาดจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ก็ย่อมไม่สามารถทะลวงขีดจำกัดของตัวเองได้ ’
ซึ่งเมื่อลองคิดดู จ้าวเทียนก็พอเข้าใจได้ ศิษย์รุ่นหลังของสำนักโบราณเกิดมาพร้อมกับฐานะอันสูงส่งและทรัพยากรฝึกตนจำนวนมาก พวกเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนผู้ฝึกตนในโลกภายนอก ทำให้จิตใจของพวกเขานั้นอ่อนแอ
‘ ในขอบเขตพลังเดียวกัน…หน่วยรบพิเศษเซียนเทียนของฉัน ที่ผ่านการต่อสู้เสี่ยงชีวิตมามากมาย ไม่มีทางแพ้กองกำลังของสำนักโบราณแน่นอน ’
ทันใดนั้น
ตึง!
เสียงกลองสัญญาณรอบชิงชนะเลิศดังขึ้น ทำให้พวกจ้าวเทียนลุกขึ้นทันที
“ ขอเชิญยอดฝีมือรุ่นเยาว์ห้าอันดับแรกขึ้นไปบนเวที ฉันจะอธิบายกฎกติกาใหม่ของรอบชิงชนะเลิศให้ฟัง ” ชายชราคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง เขาเป็นตัวแทนผู้ตัดสินของสำนักห้าขุนเขากระบี่
“ กฎกติกาใหม่เหรอ…นี่มันหมายความว่ายังไง เท่าที่ฉันรู้มามันไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงกฎการประลองมาก่อนนะ ” หยางถิงเฟิงถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงแผนการร้ายบางอย่าง
“ เสียใจด้วย…นี่เป็นความเห็นตรงกันของเจ้าสำนักทั้งห้า พวกเธอไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ” ชายชราพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ชั่วขณะหนึ่งสายตาเขาก็จ้องไปทางจ้าวเทียนอย่างประสงค์ร้าย
ซึ่งแน่นอนว่าจ้าวเทียนเองก็รู้สึกได้ เขารีบกวาดตามองไปยังผู้เข้าประลองคนอื่นอีกสามคน ก็พบว่าไม่มีใครแสดงอาการแปลกใจออกมาเลยแม้แต่คนเดียว
‘ นอกจากหยางถิงเฟิงกับฉัน…คนอื่นดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว นี่คงเป็นแผนการที่เล็งเป้าหมายมาที่ฉันแน่นอน ’
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดแย้งแล้ว ชายชราก็พูดต่อ
“ กฎของการประลองในรอบนี้ก็คือ ผู้เข้าร่วมทั้งห้าคนจะต้องต่อสู้กันจนเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว ผู้ที่หมดสภาพต่อสู้เป็นคนแรกจะได้อันดับที่ห้า ”
“ เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือผู้ทีายืนอยู่บนเวทีเป็นคนสุดท้ายก็จะได้ตำแหน่งยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งไป ”
ซึ่งการที่จะมีความสามารถเข้าตาเทพกระบี่ได้ มันยากมาก โชคดีที่งานชุมนุมครั้งนี้มีรางวัลชนะเลิศเป็นสามส่วนแรกของเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย ทำให้หยางถิงเฟิงต้องยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้มา
เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆๆ
ในขณะที่เขาถอยจนแทบจะถึงขอบเวทีนั้นเอง มืออันแข็งแกร่งข้างหนึ่งก็คว้าตัวเขาแล้วดึงหลบไปด้านข้าง
จากนั้นแผ่นหลังของจ้าวเทียนก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
“ วงจรกระบี่! ”
เปรี้ยงง!ๆๆๆๆ ตูมม
ครืนนนน!ๆๆ
ม่านกระบี่ได้ปกคลุมพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ ต้านทานการโจมตีทั้งหมดอย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นพายุกลีบดอกไม้ หรือรังสีกระบี่สังหาร ล้วนแต่ถูกสลายไปจนหมด
จนสุดท้ายเมื่อเห็นว่าการลอบโจมตีไม่ได้ผล ฝ่ายตรงข้ามจึงต้องหยุดมือลง แล้วถอยกลับไปยืนรวมกัน
“ ฮ่า ฮา ตอนแรกพวกฉันคิดว่าจะโจมตีหยางถิงเฟิงให้ตกเวทีไปก่อน แล้วค่อยไปจัดการแกทีหลัง ไม่นึกว่าแกจะคาดการณ์ออกนะเนี่ย ” จ้อไท่สุ่ยพูดออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจแผนนี้เท่าไหร่ เพราะเขามั่นใจในพลังของตัวเองมากกว่า
จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็หันไปส่งเสียงทางลมปราณบอกให้หยางถิงเฟิงจัดการเซียนจากสำนักหานซาน ส่วนพวกตัวปัญหาที่เหลือเขาจะรับไว้เอง
ถึงตอนนี้ หยางถิงเฟิงก็ไม่มีความเห็นอื่น เขารีบพุ่งแยกออกไปหาคู่ต่อสู้ที่เล็งไว้ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามเองก็เหมือนจะคิดตรงกัน และทะยานร่างเข้าต่อสู้กันทันที
“ หืม…นี่แกคิดว่าจะรับมือพวกฉันสองคนด้วยตัวคนเดียวงั้นเหรอ ” จ้อไท่สุ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ ดูเหมือนแกจะมั่นใจในตัวเองมาสินะ…เอาสิ รีบปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาซักที ฉันอยากจะรู้เหมือนกัน ว่าโอสถต้องห้ามที่แกกินเข้าไป มันจะช่วยอะไรได้ไหม ”
!!
“ นี่แกรู้ได้ยังไง… ” จ้อไท่สุ่ยมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที นี่ถือเป็นความลับที่มีคนไม่กี่คนที่รู้ เขาต้องการจะใช้เป็นไม้ตาย จัดการอีกฝ่ายโดยไม่ให้ตั้งตัว
“ หยุดพูดมาก แล้วมาสู้กัน…แสดงให้ฉันเห็นหน่อยว่าแกมีความสามารถพอให้ฉันเอาจริงไหม ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...