จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 234

เช้าวันรุ่งขึ้น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ จ้าวเทียนกำลังทำการฝึกฝนรอบเช้า อยู่ตรงลานกว้างด้านหลังของห้องรับรอง ซึ่งเขาได้ตรวจสอบดูแล้วว่าพื้นที่ตรงนี้ไม่มีคนอื่นอยู่รอบๆ

อาจจะเป็นเพราะตำแหน่งผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของจ้าวเทียน ทำให้สำนักหัวซานให้การดูแลเขาเป็นอย่างดี ไม่ให้มีผู้ใดเข้ามารบกวน

ครืนน!

พลังงานความร้อนมหาศาล ได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากเมล็ดพันธ์ุเซียนของเขา จากนั้นเซลล์ทั้งหมดในร่างกาย ก็ดูดซึมเข้าไปอย่างหิวกระหาย เพื่อไปฟื้นฟูอาการบาดเจ็บตกค้างทั้งหมด

แวบ!

สัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์สีทองได้ปรากฏขึ้นตรงกลางหน้าผากของเจ้าเทียน ถึงแม้จะมีหน้ากากปิดบังเอาไว้ แต่แสงสว่างอันเจิดจ้าของมันก็สามารถทะลุหน้ากากออกมาได้อย่างชัดเจน

หลังจากผ่านไปประมาณยี่สิบนาที พลังในร่างกายของเขาก็คงที่ เมล็ดพันธุ์เซียนก็เริ่มสงบลงและกลับเป็นปกติ การตื่นขึ้นมาของมัน ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

‘ ตอนนี้พลังของฉันพื้นขึ้นมาอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นต่ำแล้ว ขอเพียงทำการรักษาตัวเองอีกหนึ่งวันก็น่าจะหายดี ’

เมล็ดโอสถฟื้นฟูที่จ้าวเทียนหลอมขึ้นเมื่อวานซืน มีอยู่ทั้งหมดสามเม็ด ซึ่งเขาได้กินเม็ดแรกไปตั้งแต่ตอนหลอมโอสถเสร็จ ส่วนเม็ดที่สองกินเข้าไปในเช้าวันนี้

เหลือเพียงเม็ดสุดท้ายสำหรับวันพรุ่งนี้ เขาก็จะกลับมาอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดเหมือนเดิม และสามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้ด้วยพลังของตัวเอง

‘ ตัวตนของฉินหวงนี่ยังมีประโยชน์อยู่ ฉันสามารถใช้สถานะนี้ในเวลาที่ต้องการซ่อนตัวจากสมาพันธ์บู๊ลิ้ม ส่วนในตอนที่ต้องไปจัดการศัตรู ก็ค่อยถอดหน้ากากออก แล้วกลับไปใช้ตัวตนเดิม ’

ด้วยวิธีนี้ จ้าวเทียนก็จะสามารถทำเรื่องต่างๆได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าเมืองเหล็กดำจะพลอยรับเคราะห์ไปด้วย

วูป!

ร่างของจ้าวเทียนเปล่งแสงสีขาวจางๆ พลังของเขาลดลงมาอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นกลางอีกครั้ง นี่เป็นวิชาลับปลอมแปลงตัวตนที่คังหลินสอนให้

ทันใดนั้น

จ้าวเทียนก็หันไปทางด้านหนึ่งแล้วยิ้มออกมา เพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยกำลังเดินเข้ามายังห้องรับรองของเขา

‘ เสี่ยวเหมยคงจะมาตามฉัน ไปร่วมพิธีปิดงานชุมนุมกระบี่พร้อมกัน ’

หลังจบการประลองเมื่อวาน ผู้ชนะสิบอันดับแรกทั้งรุ่นปรมาจารย์และรุ่นไม่จำกัด ต่างก็ได้รับรางวัลของตนไปเป็นที่เรียบร้อย แต่งานชุมนุมก็ยังไม่เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์

ยังเหลือพิธีปิด ซึ่งสำนักที่เป็นผู้ชนะเลิศจะได้ประกาศเจตนารมณ์ของตน และเปิดโอกาสให้ทุกสำนักได้รับสมัครเหล่ายอดฝีมือไร้สังกัด ที่ทำผลงานได้ดีในงานประลอง เข้าเป็นศิษย์หรือผู้อาวุโสของสำนักนั้นๆ

หน้าห้องรับรองของจ้าวเทียน

“ ศิษย์น้อง เราเข้ามายืนรอตรงนี้จะไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาทเหรอ ” กงหมิงยู่ถามขึ้นด้วยท่าทีลังเล แต่สายตาของเธอกำลังสังเกตท่าทีของกงเสี่ยวเหมยอยู่

“ ไม่เป็นอะไรหรอกศิษย์พี่ ฉันมีพรสวรรค์พิเศษที่ผู้อาวุโสฉินหวงสนใจ เขาจึงต้องการรับฉันเป็นศิษย์และสอนวิชากระบี่ให้ ดังนั้นหากฉันว่างเมื่อไหร่ ก็สามารถมาหาเขาได้เลย ” กงเสี่ยวเหมยพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีผิดสังเกตอะไรออกมา

เมื่อวานนี้จาวเทียนได้บอกกับเธอแล้ว ว่ากำลังถูกกงหมิงยู่จับตามองอยู่ แถมอีกฝ่ายยังสะกดรอยตามเธอมาอีกด้วย สุดท้ายแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เผยพิรุธ จึงต้องกุเรื่องว่าจะรับกงเสี่ยวเหมยเป็นศิษย์

ตอนนี้เรื่องตัวตนของจ้าวเทียนนั้นเป็นปัญหาอย่างมาก หากเรื่องที่เขาคือคนเดียวกันกับฉินหวงหลุดไปเข้าหูของฝ่ายศัตรู มันจะไม่ใช่เพียงแค่จ้าวเทียนเท่านั้นที่ถูกตามล่า แต่ยังมีคังหลินและตระกูลฉินอีกร้อยกว่าชีวิต ที่จะพลอยรับเคราะห์ไปด้วย

“ เป็นแบบนี้เองเหรอ ” กงหมิงยู่พึมพำออกมาเบาๆ เธอยังคงไม่ปักใจเชื่อเรื่องที่กงเสี่ยวเหมยเล่ามาทั้งหมด แต่ก็ไม่อาจหาเหตุผลอื่นมาแย้งได้ จึงเลือกที่จะไม่พูดถึงอีก

‘ ไม่ว่าเรื่องที่รับเป็นศิษย์จะจริงหรือไม่ แต่การที่ศิษย์น้องได้มีความสนิทสนมกับชายคนนี้นั้น ก็มีแต่ผลดีกับสำนักของพวกเรา ’

‘ แม้ฉินหวงจะเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นกลาง แต่หากให้เปรียบเทียบด้านขอบเขตกระบี่เพียงอย่างเดียว ต่อให้ค้นหาทั่วทั้งสมาพันธ์บู๊ลิ้ม ก็หาคนที่เทียบเคียงเขาได้ยากมาก ’

ในระหว่างที่พวกเธอพูดคุยกัน จ้าวเทียนก็เปิดประตูห้องเดินออกมาพอดี เขาใช้เวลาเล็กน้อยในการล้างหน้าทำความสะอาดร่างกาย

“ คารวะผู้อาวุโสฉิน ” กงหมิงยู่เป็นคนพูดทักทายขึ้นก่อน ตอนนี้สถานะของอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอจำเป็นต้องให้ความเคารพยำเกรง

“ เรียกฉันว่าฉินหวงเหมือนเดิมเถอะ ดูแล้วพวกเราคงมีอายุไม่ต่างกันมาก ” จ้าวเทียนตอบแบบสบายๆ

อันที่จริงเขาดูออกมาว่ากงหมิงยู่น่าจะมีอายุเกินหกสิบปีไปแล้ว แต่เพราะเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนและขอบเขตที่สูง ทำให้หน้าตาของเธอยังดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กสาวแรกรุ่น

หลังจากที่พูดคุยกันอีกเล็กน้อย พวกเขาทั้งสามคนก็เดินไปยังสถานที่จัดงานพร้อมกัน ซึ่งตลอดทางก็ได้รับความสนใจจากผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เนื่องจากจ้าวเทียนเป็นถึงอันดับหนึ่งในการประลองเมื่อวาน

ยิ่งเมื่อรวมกับตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักหัวซาน ทำให้เขากลายเป็นเสมือนไอดอลของใครหลายๆคน

“ นั่นมันผู้อาวุโสฉินหวงนี่ เขาเดินมาพร้อมกับสองเทพธิดาแห่งสำนักสุสานโบราณได้อย่างไร หรือว่า… ”

“ หยุดคิดอะไรบ้าๆได้แล้ว…นี่แกไม่รู้เหรอว่ากองกำลังเงาปีศาจ จะต้องตัด…. ”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ทุกอย่างสงบลงแล้ว จ้อเซียงหยุนก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดต่อด้วยเสียงอันดัง

“ เขตอาคมปกปิดนี้…เป็นฝีมือของฉันเอง เพื่อป้องกันพวกสายลับส่งข้อมูลออกไป ดังนั้นมันจะไม่เป็นอันตรายกับพวกคุณแน่นอน ”

“ ฉันอยากให้พวกคุณฟังเรื่องที่ฉันจะบอกต่อไปนี้ให้ดีๆ และยอมให้ความร่วมมือกับพวกเรา เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญที่จะตัดสินชะตากรรมของสำนักห้าขุนเขากระบี่ทั้งหมด รวมไปถึงสำนักอื่นๆอีกด้วย ”

หลังจากที่เขาพูดประโยคนี้จบลง เสียงพูดคุยก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เต็มไปด้วยความความสงสัยใคร่รู้แทน ก่อนที่จะมีผู้อาวุโสขอบเขตเซียนคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนจากสำนักขนาดเล็กยกมือถามขึ้น

“ เจ้าสำนักจ้อ ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของคุณคนเดียวหรือของเจ้าสำนักอีกสี่คนด้วย ”

คำถามนี้ชี้ไปที่จุดสำคัญ หากเป็นความต้องการของจ้อเซียงหยุนเพียงคนเดียว พวกสำนักเล็กๆก็พร้อมจะขอถอนตัวทันที พวกเขาไม่ต้องการรับรู้เรื่องพวกนี้ เพราะถ้าหากได้รับรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ก็คงไม่สามารถถอนตัวได้อีก

“ เรื่องนี้เป็นความคิดของฉันเอง…แต่เจ้าสำนักอีกสี่คนต่างก็ลงมติเห็นชอบแล้ว คุณคงเข้าใจความหมายนี้ดีใช่ไหม ” จ้อเซียงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้อีกฝ่ายรีบกลับไปนั่งลงทันที

จ้าวเทียนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้ครุ่นคิดขึ้นด้วยความแปลกใจ ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องสร้างเรื่องราวให้ดูใหญ่โตแบบนี้

‘ หรือมันจะเกี่ยวข้องกับตัวฉัน…คงไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสร้างกองกำลังออกตามล่าฉันใช่ไหม ’

เท่าที่จ้าวเทียนคิดออก เรื่องใหญ่ที่กระทบต่อชะตากรรมของสำนักโบราณทั้งหมดก็คงเป็นเรื่องประกาศิตล่าสังหารนี่แหละ

“ เรื่องที่ฉันจะบอกก็คือ…พวกเราได้ข้อมูลลับมาว่า สำนักคุนหลุนได้ให้การช่วยเหลือและให้ที่หลบซ่อนแก่ผู้ที่ถูกประกาศิตล่าสังหาร ”

“ ดังนั้นห้าขุนเขากระบี่ จึงมีมติเห็นพร้อมกันว่าในวันนี้พวกเราจะทำการกวาดล้างสำนักคุนหลุนให้ราบคาบและสังหารมารร้ายจากโลกภายนอก ก่อนที่มันจะรักษาตัวจนหายดี ”

“ และในครั้งนี้ สำนักซงซานของฉันยินดีที่จะเป็นแนวหน้าในการต่อสู้เอง ดังนั้นพวกคุณไม่ต้องกลัวว่าจะพบกับความสูญเสียอย่างไม่จำเป็น ” จ้อเซียงหยุนพูดขึ้นด้วยความชอบธรรม

ท่าทางที่ยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมของเขา ทำให้หลายคนที่ได้ยินต่างก็รู้สึกชื่นชม

ในขณะเดียวกัน

ตอนนี้จ้าวเทียนกำหมัดแน่นด้วยความเดือดดาล เขามองจุดประสงค์ของอีกฝ่ายออกทันที เพราะอีกฝ่ายกลัวว่าเขาจะไปล้างแค้นเรื่องเมื่อแปดปีก่อน จึงต้องการจับแม่ของเขาเป็นตัวประกัน เพื่อบีบให้เขาออกมา

‘ ในเมื่อฉันได้มาอยู่ตรงนี้แล้ว พวกแกก็อย่าได้หวังว่าจะแตะต้องแม่ของฉันได้แม้เพียงเส้นผม ’

‘ วันนี้…ฉันจะส่งพวกแกไปลงนรกเอง ’

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน