จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 233

   เวลาประมาณสองทุ่ม จ้าวเทียนเดินออกมาจากสุสานกระบี่ ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของสำนักหัวซาน โดยที่ด้านข้างมีหยางเจี๋ยเดินตามออกมาด้วย

           “ นายแน่ใจเหรอว่าจะไม่อยู่ต่ออีกหน่อย สำนึกกระบี่ที่ท่านอาจารย์ทิ้งเอาไว้ มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายมากเลยนะ ” หยางเจี๋ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

           ปกติแล้วจะมีแต่คนเข้าไปแล้วไม่ค่อยยอมออกมา  แม้แต่ตัวเขาเอง ครั้งแรกที่เข้าสู่สุสานกระบี่ ก็ใช้เวลาเก็บตัวอยู่ในนี้นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน

          

           เนื่องมาจากผนังทั้งสี่ด้าน ถูกเทพกระบี่ใช้สำนึกกระบี่ขั้นสูงสุด แกะสลักกระบวนท่าเก้ากระบี่เดียวดายเอาไว้

          

           ขอแค่ได้ตระหนักรู้พวกมันก็จะสามารถบรรลุเคล็ดวิชาได้อย่างรวดเร็ว

           “ ไม่จำเป็นหรอก…ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ ไว้คราวหน้าหากมีโอกาสฉันจะมาเยือนที่นี่ไหม่ ” จ้าวเทียนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

         ‘ อันที่จริงขอบเขตกระบี่ของฉันสูงกว่าอาจารย์ของคุณอยู่ขั้นใหญ่  แค่กวาดตามองครั้งเดียวก็เข้าถึงสำนึกเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายได้แล้ว ’

        

         ‘ แต่เรื่องนี้…ฉันคิดว่าเงียบเอาไว้จะดีกว่า ’

         การจะเรียนรู้เคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย จะมีอยู่สองขั้นตอน อันดับแรกจะต้องได้รับเคล็ดวิชาซึ่งมีอยู่ประมาณสามพันคำ  ถ่ายทอดกันด้วยคำพูดเท่านั้น ไม่มีการบันทึกเอาไว้เป็นตัวอักษร

           ส่วนเมื่อได้รับเคล็ดวิชามาแล้ว  ขั้นต่อไปก็จะต้องไปสุสานกระบี่ เพื่อจดจำกระบวนท่าและซึมซับสำนึกกระบี่ที่เทพกระบี่ทิ้งเอาไว้

           ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแต่ละคน อย่างเร็วที่สุดก็เจ็ดวันเหมือนกับหยางเจี๋ย  ถ้าใครมีพรสวรรค์ด้อยมาหน่อยก็อาจจะใช้เวลาเป็นเดือน  ถึงจะเข้าใจเคล็ดวิชาได้อย่างถ่องแท้ และสามารถฝึกฝนด้วยตัวเองได้

           แต่สำหรับจ้าวเทียนนั้น เขาใช้เวลาในสุสานกระบี่ไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เมื่อรวมกับเวลาในการท่องจำเคล็ดวิชาอีกหนึ่งชั่วโมง

          

           ก็เท่ากับว่า เขาใช้เวลาไปเพียงสองชั่วโมงในการบรรลุเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายได้อย่างสมบูรณ์

       “ แต่ฉันก็นึกไม่ถึงเลยนะ ที่ท่านอาจารย์ได้มอบเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์ให้คุณไปตั้งแต่แรกแล้ว นี่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ”

          

           ในตอนแรกที่หยางเจี๋ยได้รู้เรื่องนี้  ก็อดรู้สึกอิจฉาจ้าวเทียนไม่ได้  ที่สามารถได้รับเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์ไปอย่างง่ายดาย

           ต้องรู้ก่อนว่าภายในสำนักหัวซาน ผู้ที่ได้รับโอกาสให้เรียนรู้วิชาเก้ากระบี่เดียวดายฉบับสมบูรณ์นั้น นอกจากหยางเจี๋ยที่ถูกคัดเลือกมาเป็นผู้สืบทอด ก็มีเพียงสี่คน

          

           ซึ่งทุกคนล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสระดับสูง ที่สร้างความดีความชอบให้กับสำนักหัวซาน จึงจะได้รับโอกาสนี้  แม้แต่หลานชายของเขาเองก็ยังถือว่าไม่มีคุณสมบัติพอ

           แต่หลังจากที่ได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของจ้าวเทียน  เขาก็รู้สึกว่าท่านอาจารย์คิดถูกแล้ว มีแต่คนแบบจ้าวเทียนเท่านั้น จึงเหมาะที่จะเรียนรู้เคล็ดวิชาระดับนี้  และทำให้มันประกาศศักดาไปทั่วยุทธภพได้

           หลังจากแยกทางกับหยางเจี๋ย  จ้าวเทียนก็เดินกลับไปยังรับรอง ที่ทางสำนักหัวซานจัดเตรียมไว้ให้

           แต่ที่หน้าห้องของเขานั้น  ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว

           !!

         ‘ กงเสี่ยวเหมย มาหาฉันงั้นเหรอ’

           จ้าวเทียนคิดขึ้นด้วยความแปลกใจ  แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีผิดสังเกต  เพราะเอาเข้าจริงๆ จ้าวเทียนก็ไม่รู้ว่าจะเปิดเผยตัวตนออกไปเลยดีไหม

          

           ใจหนึ่งเขาก็คิดว่ายังไม่ถึงเวลา ให้รอจนกว่าจะจัดการเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อย แล้วตอนที่ไปสำนักสุสานโบราณในอีกห้าวันให้หลัง เขาค่อยรับตัวเธอกลับมาทีเดียว

          

           ฝ่ายกงเสี่ยวเหมยที่เห็นจ้าวเทียน เธอก็มีท่าทีแปลกไปทันที  สายตาของเธอจับจ้องไปที่หน้ากากของจ้าวเทียน เหมือนกับต้องการจะมองให้ทะลุไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา

           ก่อนหน้านี้เธอได้ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดของชายที่ชื่อว่าฉินหวงแล้ว ซึ่งก็พบว่าเขามีตัวตนจริงๆอยู่ในโลกหมิงหลง  ไม่ใช่คนที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาในไม่กี่วัน  เธอจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะใช่คนที่เธอคิดหรือเปล่า

           ซึ่งเหตุผลที่เธอทำแบบนั้น ก็เพราะว่าเธอได้รู้เรื่องประกาศิตล่าสังหารของสมาพันธ์บู๊ลิ้ม  และตัวตนของผู้ที่กำลังถูกตามล่า

           ตอนนี้ผู้ชายที่เธอคิดถึงอยู่ทุกวัน ได้เข้ามาอยู่ในโลกใบเดียวกับเธอแล้ว

         ‘ จากที่ศิษย์พี่เล่าให้ฟัง…ฉินหวงแสดงท่าทีเป็นห่วงฉันมาก เหมือนกับว่าเขามีใจให้ฉัน ซึ่งนั่นมันไม่น่าจะเป็นไปได้  เพราะกองกำลังเงาปีศาจทุกคนต้องทำลายความเป็นชายของตัวเอง  ’

         ‘  อีกทั้งพวกเราก็เพิ่งพบหน้ากัน  เขาไม่สมควรแสดงออกแบบนั้น ยกเว้นเพียงอย่างเดียว ชายคนนี้จะต้องเป็นคนรู้จักฉันจากโลกภายนอก ’

           “ ฉันไม่ได้ มารบกวนเวลาของคุณใช่ไหม ” กงเสี่ยวเหมยเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน  เธออยากจะทดสอบอะไรบางอย่าง

           “ ไม่หรอก… ”  จ้าวเทียนตอบออกไปสั้นๆ  เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน  ในใจเขาตอนนี้กำลังพยายามคาดเดาจุดประสงค์ของเธออยู่

           “ ฉันมีเรื่องบางอย่าง อยากจะถามคุณ  ” เธอพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

           จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้น  ก็เดินไปเปิดประประตูห้องแล้วเชิญเธอเข้ามา  สถานที่แห่งนี้มีคนนอกอยู่มากเกินไป ไม่เหมาะสมจะมายืนคุยกันเท่าไหร่

           หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยและเดินเข้าห้องไปด้วยกัน  ตรงเงามืดของกำแพงที่ห่างออกไปไม่ไกล ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมา

           “ เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้จริงๆ ”  กงหมิงยู่พึมพำออกมาเบาๆ  เธอหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจจากไป 

           เพราะไม่มั่นใจว่า จะสามารถเข้าไปใกล้กว่านี้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัวได้

           ซึ่งความคิดของเธอนั้นถูกต้องแล้ว  ตั้งแต่ที่เจอกงเสี่ยวเหมยยืนรออยู่  จ้าวเทียนก็ใช้เจตจำนงกระบี่ของเขาตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเรียบร้อยแล้ว

          

           แน่นอนว่า กงหมิงยู่ย่อมไม่อาจซ่อนตัวจากจ้าวเทียนได้

          

           หลังจากเข้ามาในห้องเรียบร้อย  จ้าวเทียนก็รินน้ำชาให้กงเสี่ยวเหมยแล้วบอกให้เธอนั่งลงเพื่อที่จะได้พูดคุยกัน

           แต่ทว่า กงเสี่ยวเหมยกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย  เธอยืนจ้องมองใบหน้าที่สวมหน้ากากของจ้าวเทียนเงียบๆ 

           จากนั้น

           “ ฉันดีขึ้นแล้ว…ว่าแต่นายมาที่โลกใบนี้ได้ยังไง ”

           จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง  รวมทั้งบอกถึงแผนการและอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและ  เหตุผลที่เขาไม่อยากดึงเธอเข้ามาเกี่ยวด้วยในตอนแรก

           ซึ่งมันก็ใช้เวลาไปประมาณสามสิบนาที กว่าที่จ้าวเทียนจะพูดจบ  ตลอดเวลากงเสี่ยวเหมยเพียงนั่งฟังเงียบๆ  แต่สีหน้าของเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ในตอนที่จ้าวเทียนเล่าถึงอันตรายที่เขาพบเจอ

           “ แล้วเธอล่ะ  ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง ”  จ้าวเทียนถามกลับไปบ้าง  เขาเองก็อยากรู้เรื่องที่กงเสี่ยวเหมยพบเจอมาในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา  ซึ่งกงเสี่ยวเหมยก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ  ที่จ้าวเทียนเองก็สนใจเรื่องของเธอเช่นกัน

           เวลาประมาณสี่ทุ่ม  หลังจากที่ส่งกงเสี่ยวเหมยกลับไปแล้ว  จ้าวเทียนที่ยังไม่รู้สึกง่วง ก็ทะยานร่างขึ้นมานั่งชมพระจันทร์บนหลังคาที่พัก

           วันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทำให้อารมณ์ของเขาไม่นิ่งสงบอย่างที่เคย โดยเฉพาะเมื่อได้เจอกับกงเสี่ยวเหมย หัวใจของเขากลับคิดถึงหญิงสาวอีกคนหนึ่ง

          

           ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยรู้เลยว่า เธอได้ยึดครองพื้นที่ในหัวใจของเขาไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อต้องแยกจากกันเป็นเวลานาน  ความรู้สึกนี้ถึงได้ชัดเจนขึ้น

           ในสายตาของจ้าวเทียน  ดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าตอนนี้ กลับกลายเป็นภาพใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นแทนที่

           มุมปากของจ้าวเทียนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน

           “ เวลานี้…เธอกำลังทำอะไรอยู่  ใช่มองพระจันทร์ดวงเดียวกับฉันหรือไม่ ”

         “ เหยาเหยา…ฉันคิดถึงเธอ ”

          

           ในเวลาเดียวกัน

          

           เกาะหลักที่เป็นจุดศูนย์กลางของทะเลสาบมรกต  คฤหาสน์ดาราสวรรค์ของจ้าวเทียนตอนนี้ได้มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมาก แตกต่างจากตอนก่อนที่เขาจะจากมาอย่างเห็นได้ชัด

           เนื่องเพราะมันได้กลายเป็นฐานบัญชาการหลัก ของหน่วยงานอันดับหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งมีอำนาจครอบคลุมทั้งฝ่ายทหารและผู้ฝึกตน

           ภายในห้องทำงานของจ้าวเทียน  หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดออกกว้าง จนมองเห็นพระจันทร์ลอยสูงเด่นอยู่บนท้องฟ้า

           “ ตาบ้า…เมื่อไหร่นายจะกลับมา ”  ลี่เหยาเหยาพึมพำออกมาเบาๆ ตั้งแต่ที่จ้าวเทียนหายไป  เวลาไหนที่เธอรู้สึกเหงา ก็มักจะมานั่งอยู่ตรงนี้

          

           ในอดีตจ้าวเทียนมักจะใช้เวลาเกือบทั้งวันอยู่ในห้องทำงาน  ซึ่งก็ยังคงมีกลิ่นอายอันเจือจางตกค้างอยู่

           มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขายังอยู่ข้างๆ  เมื่อได้มองไปยังพระจันทร์กลมโตบนฟ้า ใบหน้าของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา

           “ จ้าวเทียน…ฉันคิดถึงนาย  ”

          

          

        

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน